หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 542 เลือดนองที่ว่าการเฟิ่งเทียน (4)
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะ” คนฝ่ายตวนอ๋องต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก ขอเพียงรักษาชีวิตตวนอ๋องไว้ได้ เสียเพียงแค่บุตรชายของอนุคนเดียวก็นับว่าคุ้ม
“ฮึฮึ…ฮ่าฮ่า…” หรงฮ่าวที่เหม่อลอยอยู่ จู่ๆ ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา สายตาดุเดือดจ้องไปที่ผู้คนที่อยู่ตรงหน้า พยายามดิ้นรนที่จะลุกขึ้นมา เขาเสียมือไปหนึ่งข้าง เดิมทีความสามารถในการทรงตัวก็แย่มากแล้ว เพียงแค่ข้าหลวงที่อยู่ข้างๆ กดเขาลงกับพื้นเขาก็ไม่สามารถต่อสู้ได้แล้ว มู่ชิงอีที่นั่งอยู่ด้านข้างครุ่นคิด ยกมือขึ้นส่งสัญญาณเล็กน้อยให้ข้าหลวงที่ควบคุมตัวหรงฮ่าว ข้าหลวงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะปล่อยมือออก
หรงฮ่าวพยายามลุกขึ้นยืน กล่าวเสียงแข็งว่า “ฝ่าบาท ข้ามีหลักฐาน! ข้ามีหลักฐาน พวกเขา…พวกเขาล้วนเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด!”
“หรงฮ่าว! เจ้าบ้าไปแล้วหรือ” ตวนอ๋องซื่อจื่อสีหน้าเปลี่ยน แน่นอนว่าเขารู้ว่าจวนตวนอ๋องจะเป็นอันตรายแค่ไหนหากเรื่องนี้ลากบรรดาองค์ชายและหลานๆ ในเชื้อพระวงศ์ทั้งหมดเข้าไปเกี่ยวข้อง หรงฮ่าวส่งยิ้มแปลกประหลาดให้เขา “แน่นอนว่าเจ้าหวังให้ข้าตายไปคนเดียว น่าเสียดาย…ข้ากลับไม่ชอบตายคนเดียว หากจะตายทุกคนต้องตายด้วยกันทั้งหมด!”
“ฝ่าบาท ข้ามีหลักฐานว่าพวกเขาเป็นคนหานักฆ่าพวกนั้นมา ฝ่าบาทสามารถส่งคนไปตรวจสอบได้ มือสังหารซ่อนอยู่ใกล้จวนตระกูลกู้แต่กลับไม่ถูกค้นพบ ก็เป็นพวกเขาที่เป็นคนจัดการ ข้าเก็บหลักฐานไว้ทั้งหมด! อยู่ในห้องตำราข้าที่จวนตวนอ๋อง” สีหน้าของทุกคนดูแย่อย่างหาที่เปรียบไม่ได้โดยฉับพลัน มีเพียงหรงจิ่นที่นั่งอยู่ด้านบนเท่านั้นที่อารมณ์ดีเป็นที่สุด มองไปยังผู้คนที่มีสีหน้าแตกต่างกันด้วยรอยยิ้มราวกับเห็นเรื่องตลกจอมปลอม
“ซิวจู๋ เจ้าไปดูซิ” หรงจิ่นสั่งอย่างอารมณ์ดี
เซี่ยซิวจู๋ที่อยู่อย่างเงียบๆ ข้างหลังมู่ชิงอีมาตลอดพยักหน้ารับคำสั่ง เงาของเขาหายไปท่ามกลางความมืดในพริบตา เมื่อเซี่ยซิวจู๋ไปที่นั่นด้วยตัวเอง ต่อให้ใครบางคนต้องการขัดขวางฆ่าเขากลางทางก็ต้องชั่งน้ำหนักว่าตัวเองมีความสามารถพอหรือไม่ หรงเหยี่ยนหลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง สายตาที่มองหรงฮ่าวเต็มไปด้วยความเย็นชา
ท่ามกลางความมืดมิด ทุกคนนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ราวกับถูกครอบงำด้วยบรรยากาศที่กดดันจนหายใจไม่ออก
ในมุมหนึ่ง ภายใต้แสงจันทร์ไท่สื่อเหิงอาศัยโอกาสนี้เขียนบันทึก สีหน้าหมกหมุ่นเช่นนี้ทำให้ใบหน้าของเขาดูแปลกพิกลเมื่ออยู่ใต้แสงจันทร์ พลอยทำให้คนรอบข้างอดถอยห่างจากเขาไม่ได้
“เจ้ากำลังเขียนอะไร” เว่ยอู๋จี้ที่โผล่มาจากข้างหลังตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ถามด้วยความประหลาดใจ โดยปกติเมื่อคนอย่างเว่ยอู๋จี้ปรากฏตัวก็จะต้องเป็นจุดสนใจของทุกคน แต่ตอนนี้สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องไปยังผู้คนที่อยู่ตรงหน้า ไหนเลยจะมีเวลามาสนใจคนที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นในมุมที่อยู่ห่างออกไปอย่างกะทันหัน
ไท่สื่อเหิงเก็บพู่กันและกระดาษในมือ ยิ้มให้เว่ยอู๋จี้อย่างซื่อบื้อ “คุณชายเว่ย คิดไม่ถึงว่าท่านก็มาดูความครึกครื้นด้วย”
เว่ยอู๋จี้เลิกคิ้วเอ่ย “แม้แต่คุณชายเหวินหวาก็ยังมา แล้วข้าจะไม่มาได้อย่างไร”
ไท่สื่อเหิงยังคงคลี่ยิ้ม เขาติดตามอัครมหาเสนาบดีกู้มาตลอดอย่างเปิดเผย เพียงแต่เขาไม่โดดเด่นเมื่อเทียบกับบรรดาบุคคลสำคัญชั้นสูงจึงถูกผู้คนละเลย
“ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์หน้าแดงด้วยความโกรธ เลือดของราชวงศ์นองไปทั่วที่ว่าการเฟิ่งเทียน?” เว่ยอู๋จี้กล่าวอย่างขบขัน สายตาของเขาเฉียบคมมาก ต่อให้ไท่สื่อเหิงเก็บพู่กันกับกระดาษรวดเร็วแค่ไหนเขาก็ยังมองเห็นเนื้อหาด้านบนสุดได้อย่างชัดเจน ในเวลานี้พลันคิดไม่ถึงเลยว่าคุณชายเหวินหวาผู้มีความรู้รอบด้านชื่อดังในยุทธภพ ที่แท้แล้วยังมีพรสวรรค์ด้านการเขียนบทนิยาย
“แหะๆ” ไท่สื่อเหิงหัวเราะเจื่อน “คุณชายเว่ยสายตาดีเสียจริง” หากให้ผู้คน ณ ที่นี้เห็นสิ่งที่เขาเขียน ไม่ต้องรอให้หรงฮ่าวถูกโทษทัณฑ์เลาะกระดูก เขาคงจะถูกคนฆ่าตายเสียก่อน
เว่ยอู๋จี้เลิกคิ้วเอ่ยถาม “คิดว่าหรงจิ่นจะฆ่าพวกเขาหรือไม่”
ไท่สื่อเหิงประหลาดใจ “หรือว่าคุณชายเว่ยคิดว่า…แค่ทำให้พวกเขาตกใจ?” องค์ชายเก้าไม่ใช่คนน่าเบื่อเช่นนั้น เขามีแต่จะคิดว่าฆ่าน้อยเกินไป ไม่มีทางคิดว่าฆ่ามากเกินไป
เว่ยอู๋จี้เพียงแต่ยิ้มไม่ได้กล่าวอะไร
ไท่สื่อเหิงเก็บสมุดบันทึกของตัวเองอย่างระมัดระวัง “เหตุใดคุณชายเว่ยจึงมาอยู่ที่นี่เล่า” เว่ยอู๋จี้ยืนพิงกำแพงพลางกล่าวอย่างเกียจคร้าน “ดูความครึกครื้น”
ไท่สื่อเหิงเช็ดเหงื่อ “ก็ครึกครื้นจริงๆ นั่นแหละ”
เว่ยอู๋จี้มองหรงจิ่นที่นั่งอยู่บนบันไดด้านหน้าอย่างเงียบเชียบ แม้ว่าเขาจะดูเหมือนยิ้มอย่างเกียจคร้าน แต่เว่ยอู๋จี้สัมผัสได้ถึงไอสังหารรุนแรงจากเขาได้อย่างชัดเจน ไท่สื่อเหิงพูดถูก คืนนี้ต้องมีคนเลือดนองที่นี่ ตอนนี้หรงจิ่น...ไม่ใช่องค์ชายไม่เอาไหนและประมาทเหมือนในอดีตอีกต่อไป สีหน้าไม่ใส่ใจที่เผยให้เห็นความเย็นชาและดุดัน ยิ่งเหมือนฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ที่พึ่งสิ้นพระชนม์ไปมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่สิ แต่ก็มีสิ่งที่ไม่เหมือน ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์องค์ก่อนไม่มีทางมองใครอย่างอ่อนโยนเช่นนั้น บางที…อาจเคยมี แต่นี้นั่นก็นานมากแล้ว
“ข้าไปล่ะ” เว่ยอู๋จี้ยืนขึ้นพลางเอ่ยเสียงเรียบ
“???” ไท่สื่อเหิงมองเว่ยอู๋จี้ที่จากไปด้วยความไม่เข้าใจเล็กน้อย หรือว่าคุณชายเว่ยมาที่นี่กลางดึกเพียงแค่เพื่อทักทายตนเท่านั้น? เมื่อเห็นเงาของเว่ยอู๋จี้หายลับไปในความมืด ไท่สื่อเหิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ในที่สุดก็ล้มเลิกความอยากรู้
เนื่องจากเซี่ยซิวจู๋ยังไม่กลับมา หรงจิ่นก็ไม่ได้มีท่าทีใดๆ ผู้คน ณ ที่แห่งนี้จึงไม่กล้าเอ่ยอะไร เพียงแต่สีหน้าของบรรดาองค์ชายและหลานๆ เริ่มแย่ขึ้นเรื่อยๆ หากไม่ใช่เพราะมีทหารองครักษ์จ้องมองอย่างไม่ให้คลาดสายตา เกรงว่าคนเหล่านี้คงจะรีบฉีกหรงฮ่าวเป็นชิ้นๆ ไปแล้ว แต่หรงฮ่าวกลับดูเหมือนไม่สนใจเลยสักนิด จ้องมองผู้คนด้วยรอยยิ้มแปลกแระหลาดพร้อมท่าทางเย้ยหยัน มู่ชิงอีที่นั่งอยู่ด้านข้างเห็นดวงตาของหรงฮ่าวที่รูม่านตาขยายออกและสีหน้าที่ตื่นตระหนกอย่างชัดเจน เห็นได้ชัดว่าจิตใจของเขาพังทลายลงแล้ว บางทีสำหรับหรงฮ่าวแล้วการถูกบิดาทอดทิ้งอาจเป็นการโจมตีที่รุนแรงกว่าการถูกประหารชีวิตก็ได้
มู่ชิงอีถอนหายใจอย่างแผ่วเบา หากเป็นเพียงเพราะเรื่องที่นางถูกลอบสังหาร นางคงไม่เห็นด้วยกับหรงจิ่นที่พาดพิงถึงผู้คนจำนวนมาก แม้ว่าคนเหล่านี้จะไม่นับว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ก็ตามแต่ตอนนี้…สิ่งที่จำเป็นไม่ใช่แค่จัดการกับเรื่องนี้เท่านั้น แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือหรงจิ่นต้องสร้างอำนาจ ต้องบอกขุนนางชั้นสูงเหล่านี้ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ การเอาชนะด้วยคุณธรรมและความเมตตาเป็นของบุคคลที่มีพรสวรรค์ในด้านนี้ แต่หรงจิ่นไม่มีพรสวรรค์เช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงทำตรงกันข้าม บอกผู้คนที่ต้องการเอาใจทั้งสองฝ่ายอย่างชัดเจนว่าควรยืนอยู่ฝั่งไหนกันแน่!
“ฝ่าบาท” เมืองหลวงชั้นในจะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก เซี่ยซิวจู๋กลับมาอย่างรวดเร็ว ในมือยังถือกล่องไม้ลวดลายเรียบๆ มาด้วยหนึ่งกล่อง
ปรากฏว่าเมื่อหรงจิ่นมองดูก็ยิ้มอย่างเย็นชา โยนให้คนที่คุกเข่าอยู่กับพื้นอย่างไม่ใส่ใจพลางกล่าวว่า “ดูเอาเถิด ข้าจะรอคำอธิบายจากพวกเจ้า”
ความสิ้นหวังปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทุกคน แน่นอนว่าพวกเขารู้ว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไร จะดูหรือไม่ดูก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว บรรดาคนที่ขี้ขลาดพากันเข่าอ่อนล้มลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
“พวกเจ้ากล้ามากเกินไป หรือเป็นเพราะว่าข้าอ่อนโยนกับพวกเจ้ามากเกินไปจนทำให้พวกเจ้าเหิมเกริม” เสียงของหรงจิ่แผ่วเบาแต่กลับทำให้ผู้คนสั่นสะท้าน “พวกท่านบรรดาพี่น้อง ข้าก็รอคำอธิบายจากพวกท่านเช่นกัน หากพวกท่านมีใครคิดว่าข้าไม่คู่ควรกับตำแหน่งนี้ก็เดินออกมา ข้าจะยกบัลลังก์ให้”
ยิ่งน้ำเสียงของหรงจิ่นนุ่มนวลเท่าไร ในใจของทุกคนก็ยิ่งตึงเครียดขึ้นเท่านั้น