หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 83 ชะตากรรมของจูหมิงเยียน (1)
หรงจิ่นเอ่ยพร้อมพยักหน้าด้วยท่าทางอ่อนแรง ไม่เป็นไร
มู่ชิงอีมองหรงจิ่นอย่างรู้สึกผิดอยู่บ้าง หรงจิ่นแหงนมองนางอย่างเนือยๆ ยิ้มพร้อมเอ่ยว่า ชิงชิงไม่ต้องขอโทษหรอก ข้าคงไม่ได้เพิ่มภาระให้เจ้าหรอกกระมัง
คุณชายท่านนี้คือ? กู้ซิ่วถิงที่เอนพิงอยู่บนรถม้าลืมตามองหรงจิ่นที่กำลังส่งเสียงอยู่ มู่ชิงอีมองไปที่หรงจิ่น หรงจิ่นเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้มเนือยๆ ข้าน้อยแซ่หรง หรงจิ่น คารวะท่านพี่ใหญ่กู้
กู้ซิ่วถิงขมวดคิ้ว คิดตลอดว่าคำที่หรงจิ่นเรียกว่าพี่ใหญ่กู้ต้องมีความแฝงบางอย่าง ทว่าพอมองไปที่มู่ชิงอีที่ยอมให้เขาพิง กู้ซิ่วถิงก็พอจะเข้าใจขึ้นมา จึงพยักหน้าพลางตอบไปว่า ที่แท้ก็เป็นองค์ชายแห่งแคว้นเย่ว์นี่เอง กระหม่อมขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ
ถึงแม้กู้ซิ่วถิงจะถูกกักขังมาหลายปี แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องของโลกภายนอก เมืองหลวงในปัจจุบันนี้ แซ่หรงก็บังเอิญติดอยู่อันดับที่เก้าของรายชื่อ อีกทั้งบุรุษที่มีรูปลักษณ์โดดเด่นปานนั้น หากไม่นับหรงจิ่น องค์ชายเก้าที่เป็นชายรูปงามอันดับหนึ่งแห่งแคว้นเย่ว์ก็ย่อมไม่มีคนอื่นใดอีกแล้ว ถึงแม้จะไม่รู้ว่าชิงอีไปรู้จักกับหรงจิ่นได้อย่างไร แต่พอดูท่าทีสองคนนี้ที่ค่อนข้างสนิทสนมกัน ซ้ำวันนี้ยังยอมให้หรงจิ่นเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องเช่นนี้ด้วยก็น่าจะเชื่อใจได้ หรงจิ่นเองก็ดูเหมือนไม่ได้รู้สึกไม่ดีแต่อย่างใด ถึงแม้กู้ซิ่วถิงจะยังคงสงสัยอยู่บ้าง แต่เพียงสักพักก็คลายความสงสัยลง
หรงจิ่นหัวเราะอย่างไม่มีพิษภัย พี่ใหญ่กู้เกรงใจไปแล้ว ข้ากับชิงชิงเป็นสหายคนสนิท พี่ใหญ่ของชิงชิงก็นับเป็นพี่ใหญ่ของข้าเช่นกัน สมควรแล้ว
อ้อ กู้ซิ่วถิงยิ้มแล้วมองไปที่มู่ชิงอี เอ่ยว่า อีเอ๋อร์มีเพื่อนแบบองค์ชายเก้าเช่นนี้ ย่อมนับว่าเป็นเรื่องที่ดีพ่ะย่ะค่ะ มู่ชิงอีแสดงสีหน้าเรียบเฉย พี่ใหญ่ อย่าไปฟังเขาพูดจาไร้สาระ ข้ากับองค์ชายเก้าเพียงแค่มีข้อตกลงกันเท่านั้นเจ้าค่ะ
หรงจิ่นมองค้อนไปที่มู่ชิงอี ชิงชิง เจ้าช่างใจร้ายเสียจริง
มู่ชิงอีกลอกตาใส่เขาอย่างเบื่อหน่าย อย่าให้ต้องบอกเลยว่ายามนี้องค์ชายหรงจิ่นมีท่าทีกระตือรือร้นเพียงใด ช่างเป็นเรื่องที่น่าขันสิ้นดี
หรงจิ่นลุกขึ้นมองมู่ชิงอีด้วยสายตาจริงจังพร้อมเอ่ยว่า คุณชายซิ่วถิงร่างกายเจ็บหนัก หลายวันมานี้ จวนของพระชายากงจะต้องมีการสอบสวนกันเป็นเรื่องเป็นราวแน่ๆ ชิงชิงวางแผนจะพาคุณชายซิ่วถิงไปซ่อนไว้ที่ใด
มู่ชิงอีกล่าวว่า เรื่องนี้หม่อมฉันจัดการเรียบร้อยแล้ว ขอบพระทัยองค์ชายเก้าที่ทรงเป็นห่วงเพคะ
หรงจิ่นย่อมรู้ดีว่าอำนาจของตระกูลกู้ในเมืองหลวงที่หลงเหลืออยู่นั้น แท้จริงแล้วไม่ได้มีเพียงแค่ที่ตัวเองเห็นแน่ๆ แต่ตอนนี้มู่ชิงอีก็คงไม่บอกให้เขารู้อย่างแน่นอน ถึงแม้จะสนิทสนมกัน แต่ภายในจิตใจลึกๆ แล้วก็ยังคงต้องการปกป้องตัวเองตามที แม้ว่าเขาจะรู้สึกผิดหวังอยู่บ้างที่ชิงชิงไม่ได้เชื่อใจเขาทั้งหมด แต่หรงจิ่นก็รู้ว่ามันต้องเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว แต่ถ้าหากชิงชิงเชื่อใจเขาง่ายขนาดนั้น เกรงว่าเขาก็คงจะรู้สึกผิดหวัง
หรงจิ่นพยักหน้า พร้อมกับยิ้มแล้วกล่าวว่า ดีแล้ว หากชิงชิงต้องการความช่วยเหลือ บอกกับอู๋ซินตามตรงก็พอ เขารู้สถานที่ที่ใช้หลบซ่อน ใกล้ถึงเมืองหลวงแล้ว ข้าขอตัวก่อนก็แล้วกัน
หม่อมฉันเข้าใจแล้ว ขอบพระทัยเพคะ อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้หรงจิ่นช่วยเหลือนางไว้มาก มู่ชิงอีรู้สึกขอบคุณจากใจจริง องค์ชายเก้าโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ ซ้ำยังไม่เรียกให้คนรถหยุด เพียงแค่เปิดม่านแล้วกระโดดลงจากรถม้าไป
ในรถม้าจึงกลับมาเหลือแค่สองคนอีกครั้ง มู่ชิงอีมองไปที่รอยแผลเหวอะหวะบนใบหน้าอันหล่อเหลาของพี่ใหญ่ รู้สึกได้ถึงเสียงลมหายใจที่ทั้งแห้งทั้งเจ็บจนพูดออกมาแทบจะไม่ได้ กู้ซิ่วถิงพอที่จะรู้ว่านางอยากจะพูดสิ่งใดก็ยิ้มบางๆ ให้แล้วกล่าวว่า ชิงอี ตอนนี้ข้าดีขึ้นมากแล้ว ทุกอย่างได้ผ่านไปแล้ว
มู่ชิงอีพยักหน้าตอบ เจ้าค่ะ พี่ใหญ่พูดถูกต้องแล้ว ตอนนี้ทุกอย่างผ่านพ้นไปแล้ว
หลังจากนี้มันจะต้องดีขึ้น รอวันที่ตระกูลกู้ได้แก้แค้นจริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมต้องดีขึ้นเอง ไม่ว่าจะเป็นนางหรือพี่ใหญ่ก็จะไม่ต้องมาแบกรับความรับผิดชอบและความทะเยอทะยานอันหนักหน่วงเช่นนี้อีก พวกเขาจะต้องได้ใช้ชีวิตอย่างดีแน่นอน…
ณ เรือนกงอ๋อง ริมแม่น้ำหยางหลิ่ว
พิธีฉลองในวันคล้ายวันพระราชสมภพของโอรสสวรรค์เพิ่งจะเสร็จสิ้นไป มู่หรงอวี้ก็รีบกลับไปที่จวนอย่างรวดเร็ว แต่พอกลับไปถึงจวนก็เห็นสภาพเละเทะราวกับเพิ่งเกิดการสู้รบกัน บนพื้นและกำแพงของสวนนั้นเต็มไปด้วยซากศพและคราบเลือด ทว่าสิ่งที่ทำให้มู่หรงอวี้ตกใจไปมากกว่านั้น คือซากศพเหล่านี้นอกจากจะเป็นองครักษ์ที่อยู่ในจวนของตนแล้วก็ยังมีองครักษ์ของจวนหนิงอ๋องด้วย ถึงแม้ว่าเสื้อผ้าที่ฝ่ายนั้นสวมใส่จะไม่ใช่จวนหนิงอ๋องก็ตาม แต่มู่หรงอวี้มักจะเข้าไปจวนหนิงอ๋องอยู่บ่อยครั้ง องค์รักษ์หลายคนที่เคยเห็นหน้าค่าตาบ่อยๆ จึงพอจดจำได้
บัดซบ! มู่หรงอวี้โกรธจนแทบกระอักเลือด ขณะอยู่บนเรือมังกร ตนพยายามทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือเขาจากเสด็จพ่อ ทว่าเขากลับแทงข้างหลังตนเพื่อชายผู้หนึ่ง! และเขาผู้นั้นที่หมายถึงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากน้องชายคนสนิทของตน เป็นครั้งแรกในชีวิตของมู่หรงอวี้ที่ได้สัมผัสกับรสชาติของการถูกทรยศ
ใช้เท้าถีบไปที่ประตูห้องของกู้ซิ่วถิง ภายในมีแต่ความว่างเปล่า เหลือแค่เชือกที่เปื้อนเลือดอยู่บนพื้นเส้นหนึ่ง คล้ายกับกำลังหัวเราะเยาะเขาอยู่
ยังมีผู้รอดชีวิตอยู่อีกหรือไม่ มู่หรงอวี้ถามด้วยเสียงหนักแน่น
ทูลท่านอ๋อง พบคนที่ยังมีชีวิตอยู่หน้าจวน แต่…ได้รับบาดเจ็บสาหัส เกรงว่า…จะอยู่ได้อีกไม่นานพ่ะย่ะค่ะ
พาขึ้นมา
เพียงชั่วครู่องครักษ์ที่ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดก็ได้ถูกพาขึ้นมา มู่หรงอวี้เหลือบมองพร้อมเอ่ยถามเสียงหนักแน่น เกิดเรื่องอันใดขึ้น องครักษ์ที่ลมหายใจรวยรินคนนั้นมองไปที่มู่หรงอวี้ เอ่ยเสียงแหบพร่าว่า หนิงอ๋อง…หนิงอ๋อง…
หนิงอ๋องพาคนบุกเข้ามาอย่างนั้นหรือ มู่หรงอวี้ถามกลับ
องครักษ์คนนั้นพยักหน้าอย่างยากลำบาก มู่หรงอวี้จึงถามต่อว่า หนิงอ๋องไปอยู่ที่ใดแล้ว องครักษ์ส่ายหัวเล็กน้อย ภาพที่มองเห็นและแรงหายใจเริ่มแผ่วลง แม้แต่แรงขยับปากตอบก็หมดสิ้นแล้ว มู่หรงอวี้รู้ว่าถามอะไรไปก็คงไม่ได้ความจึงโบกมือเรียกคนมาแบกเขาออกไป
ท่านอ๋อง มีข่าวคราวของพระชายาพ่ะย่ะค่ะ มู่ฉังหมิงวิ่งปรี่เข้ามา พร้อมเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่น
มู่หรงอวี้เปลี่ยนสีหน้า ขมวดคิ้วถาม ซู่เฉิงโหวท่านมาได้อย่างไร เกิดเรื่องอันใดขึ้น แล้วพระชายาอยู่ที่ไหน สีหน้าของมู่ฉังหมิงดูไม่ค่อยดีนัก หอบหายใจพร้อมพูดว่า เมื่อครู่…พระชายาถูกคนโยนลงไปใต้ต้นไม้ริมแม่น้ำ ท่านอ๋อง ท่านอ๋องรีบไปดูเร็วพ่ะย่ะค่ะ ตอนที่เดินเข้ามาเมื่อครู่ มู่ฉังหมิงย่อมรู้ว่าในจวนนั้นเกิดเรื่องใหญ่ เลยไม่กล้ารีบเอ่ยปากพูดพร่ำ
พระชายาเป็นอย่างไรบ้าง มู่หรงอวี้นั่งนิ่งไม่ขยับ ถามด้วยเสียงหนักแน่น
มู่ฉังหมิงทำหน้าไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี
พอเห็นสีหน้าของเขา มู่หรงอวี้พอจะคาดเดาได้ เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ ยกมือขึ้นกุมขมับเพราะรู้สึกปวดตุบๆ ตรงเบ้าตา ลางสังหรณ์ของเขาแม่นมากทีเดียว ครั้งนี้ต้องมีคนใช้กลอุบายต่อจวนกงอ๋องแน่ๆ เป็นเรื่องบังเอิญมากที่เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในวันเดียว พอหลับตาลงจิตใจจึงเริ่มสงบตาม มู่หรงอวี้ลุกขึ้นพร้อมเอ่ยว่า ส่งคนออกไป ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม หาตัวหนิงอ๋องให้เจอ ข้าจะไปดูพระชายาเอง
มองตามหลังมู่หรงอวี้ที่ก้าวเท้าเดินออกไป มู่ฉังหมิงขมวดคิ้วครุ่นคิด อยู่ๆ ก็เกิดความสับสนว่าควรจะตามไปดีหรือไม่
ต้องมีคนมาแอบจัดการจวนกงอ๋องเป็นแน่
มู่ฉังหมิงไตร่ตรองอยู่เงียบๆ ว่าต้องเป็นคนแบบใดกันที่โหดร้ายได้เพียงนี้ ขณะครุ่นคิดสีหน้าของเขาแทบไม่เปลี่ยนเลย จากนั้นจึงรีบเดินตามไปอย่างกังวล