หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 87 ชะตากรรมของจูหมิงเยียน (5)
หม่อมฉัน และจวนซู่เฉิงโหวขอแสดงความเคารพต่อโหรวเฟยเพคะ มู่ฮูหยินผู้เฒ่าก้มโค้งคำนับพร้อมกล่าวขึ้น
มู่เฟยหลวนรีบรองรับมู่ฮูหยินผู้เฒ่าอย่างรวดเร็ว เอ่ยด้วยรอยยิ้ม พวกท่านทั้งหลายก็ล้วนแต่เป็นสมาชิกในตระกูลทั้งนั้น เหตุใดจึงทำเรื่องเป็นทางการเช่นนี้ ท่านแม่ น้องสอง น้องหญิงสาม อวี่เฟย สุ่ยเหลียน ลุกขึ้นเร็วเข้า
หลังจากได้ยินคำพูดของมู่เฟยหลวน ทุกคนก็กล่าวขอบพระทัยและลุกขึ้นยืน เมื่อเห็นมีคนล้อมหน้าล้อมหลังมู่เฟยหลวนเช่นนี้ มู่อวิ๋นหรง มู่สุ่ยเหลียน และมู่อวี่เฟย ทั้งสามต่างอดไม่ได้ที่จะเผยความอิจฉาผ่านทางสายตาของพวกนาง มู่อวิ๋นหรงยิ้ม พี่หญิงใหญ่ ได้ยินมาว่าพี่หญิงมีองค์ชายน้อย ขอแสดงความยินดีกับพี่หญิงใหญ่ด้วยเพคะ มู่เฟยหลวนยิ้มบางพลางมองลงไปยังหน้าท้องที่ยังคงแบนราบของนาง รอยยิ้มอันอ่อนโยนปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของนาง ก่อนจะเอ่ยตอบเบาๆ ว่า ขอบคุณน้องหญิงสาม ทุกคนนั่งลงพูดคุยกันเถิด
ทุกคนต่างนั่งลง สายตาของมู่เฟยหลวนกวาดมองไปยังพวกเขาทั่วถ้วน นางยิ้มและพูดขึ้นว่า เหตุใดจึงไม่เห็นน้องหญิงสี่เลยเล่า
มู่ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มแล้วกล่าวว่า ทั้งหมดนี้เป็นความเลินเล่อของชิงอีโดยแท้ สองวันก่อนนางไม่ระวัง พลาดไปทานละอองเกสรโดยไม่ได้ตั้งใจ จึงมีผื่นขึ้นเต็มใบหน้า ดูไม่ได้เลย ฉะนั้นจึงตัดสินใจห้ามนางไม่ให้มาร่วมงาน ได้โปรดอภัยโทษด้วย
ดวงตาของมู่เฟยหลวนเป็นประกายเล็กน้อย จากนั้นนางก็ยิ้มและพูดขึ้นว่า ท่านย่ากล่าวเกินไปแล้ว ในเมื่อน้องหญิงสี่ป่วยก็ให้นางอยู่จวนรักษาตัวเถิด เราคงจะได้มีเวลาพบกันในอนาคต มู่ฮูหยินผู้เฒ่ามองไปยังมู่เฟยหลวนในชุดปักวิหคสีม่วงสำหรับตำแหน่งพระสนมอันแสนสง่างามและสูงส่งด้วยรอยยิ้ม ลำดับการยืนในงานพิธีการจะเห็นนางปรากฏตัวยืนถัดจากฮองเฮา ตอนนี้หญิงชราเพียงแต่แอบเสียดายอยู่ในใจที่หลานสาวผู้ยอดเยี่ยมคนนี้เกิดมาช้าไปสักหน่อย มิฉะนั้นถ้าหากนางอายุมากกว่านี้สักสองสามปี เกรงว่าการยืนในตำแหน่งฮองเฮาก็คงไม่ใช่เรื่องเกินคาดนัก
หลานสาวผู้นี้ช่างเพียบพร้อมเสียจริง มู่ฮูหยินผู้เฒ่าภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนั้นเมื่อมู่เฟยหลวนให้กำเนิดโอรสมังกรเช่นนี้ นางก็ย่อมสามารถเลื่อนขั้นเป็นกุ้ยเฟยผู้สูงศักดิ์ภายใต้ฮองเฮาได้ ในอนาคตตระกูลมู่อาจต้องพึ่งพาหลานสาวคนนี้ เมื่อหวนคิดไปถึงเรื่องนี้ ในใจของมู่ฮูหยินผู้เฒ่าก็ได้มองข้ามมู่ชิงอีที่นางไม่ถูกใจมากนักและเอนเอียงไปทางฝั่งของมู่เฟยหลวนอย่างสมบูรณ์
เมื่อสีหน้าของมู่ฮูหยินผู้เฒ่าเปลี่ยนไปมีหรือจะซ่อนจากสายตาของมู่เฟยหลวนได้ เมื่อเห็นแววตาที่จ้องมองมาของมู่ฮูหยินผู้เฒ่าที่ดูรักและเมตตานางมากขึ้น มู่เฟยหลวนก็ยิ้มบางๆ พลางหันไปมองที่มู่หลิงซึ่งนั่งอยู่ถัดจากมือของนางไปและถามอย่างนุ่มนวลว่า น้องรอง ช่วงนี้สบายดีหรือไม่
ดวงตาของมู่หลิงเป็นประกาย ตอบเสียงเข้ม ขอบคุณพี่หญิงที่ห่วงใย หลิงเอ๋อร์สบายดีพ่ะย่ะค่ะ
มู่เฟยหลวนพยักหน้าและตอบกลับว่า เช่นนั้นก็ดีแล้ว เจ้าต้องเชื่อฟังคำสอนของท่านพ่อและท่านย่าให้ดี อย่าดื้อรั้น
กระหม่อมจะทำตามคำแนะนำของพี่หญิงขอรับ มู่หลิงพยักหน้า การสอนสั่งน้องชายด้วยวิธีเช่นนี้ของมู่เฟยหลวนทำให้มู่ฮูหยินผู้เฒ่าพึงพอใจมากขึ้นไปอีก สายตาที่มองไปยังมู่หลิงไม่มีความไม่สบอารมณ์และแปลกแยกอีกต่อไป
หลังจากพูดคุยกันไปสักพัก มู่ฮูหยินผู้เฒ่าก็บอกว่าตนค่อนข้างเหนื่อยแล้วจึงให้มู่สุ่ยเหลียนและมู่อวี่เฟยพาไปพักผ่อน ทางด้านมู่เฟยหลวนย่อมรู้ดีว่ามู่ฮูหยินผู้เฒ่าได้จงใจให้เวลาตนได้พูดคุยกับมารดาและพี่น้อง นางลุกขึ้นส่งมู่ฮูหยินผู้เฒ่าไปพักผ่อน ก่อนจะหันกลับไปพูดคุยกับครอบครัวต่อ
เมื่อเห็นท่าทีที่ระแวดระวังของมู่เฟยหลวน สะใภ้ซุนก็ค้านขึ้นมาว่า พระสนม ตอนนี้ก็เป็นโหรวเฟยแล้วเหตุใดยังต้องระแวดระวังตัวมากขนาดนั้นด้วย มู่เฟยหลวนส่ายศีรษะเล็กน้อย พลางยิ้มให้กับความคิดเห็นของสะใภ้ซุน กล่าวว่า พูดเช่นนั้นก็มิถูก ท้ายที่สุดแล้วท่านย่าก็คือผู้อาวุโสในจวน ดังนั้นจึงไม่ควรประมาท ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าหลวนเอ๋อร์จะเป็นโหรวเฟยในวังแล้ว แต่ท่านแม่กับน้องสองและน้องสามก็ยังคงอาศัยอยู่ในจวน นอกจากนี้ ท่านแม่ที่วางตัวดีต่อหน้าท่านพ่อได้หลายปีขนาดนี้ จะไม่น่าเสียดายหรือถ้าต้องมาล้มเหลวในตอนท้าย?
อันที่จริงสะใภ้ซุนจะไม่รู้ความจริงเรื่องนี้ได้อย่างไร เพียงแต่มันเป็นเรื่องยากเกินไปสำหรับนางที่จะทนได้ เพียงเพราะว่านางมีชาติกำเนิดต่ำต้อยจึงยอมสยบต่อมู่ฮูหยินผู้เฒ่ามาหลายปี ที่ผ่านมานางต้องยอมมาตลอด เพื่อเอาใจมู่ฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว ตนแทบไม่เคยได้หยิบจับสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันเลย อย่างไรก็ตามมู่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับไม่เคยไว้หน้าทำดีกับนางด้วยซ้ำ ทว่าเพื่อรักษาภาพลักษณ์อ่อนโยนและเข้าอกเข้าใจต่อหน้ามู่ฉังหมิง นางไม่สามารถแม้แต่จะบ่นกับมู่ฉังหมิงว่ามู่ฮูหยินผู้เฒ่าทำให้ตนลำบากใจยิ่งนัก ถึงตอนนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะขึ้นไปสู่จุดสูงสุด แต่สะใภ้จังก็ตายจากไปแล้ว ส่วนบุตรสาวคนโตของนางก็เป็นถึงพระสนม ขณะที่บุตรสาวคนเล็กก็กำลังจะได้เป็นพระชายา แน่นอนว่านางจะไม่ยอมทนอีกต่อไป
ถ้าจะถามว่าใครรู้จักสะใภ้ซุนดีที่สุดก็น่าจะเป็นมู่เฟยหลวน มู่เฟยหลวนเป็นเด็กที่ฉลาดที่สุดในจวนซู่เฉิงโหวมาตั้งแต่ยังเล็ก นางมองออกอย่างชัดเจนว่ามารดาของนางก้าวทีละขั้นมาจากสาวใช้คนโปรดของผู้เป็นพ่อได้อย่างไร กระทั่งต่อมาก็ได้นั่งในระดับเดียวกันกับจังฮูหยิน นอกจากนี้ประสบการณ์ของมารดาของตนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ยังทำให้มู่เฟยหลวนมีความอดทนอดกลั้นและวิเคราะห์เรื่องในวังได้มากขึ้น ถ้าหากนางไม่ได้ผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมา มีหรือที่นางจะกลายเป็นโหรวเฟยที่โปรดปรานของฮ่องเต้ได้ กระทั่งถึงกับได้รับคำมั่นจากฮ่องเต้แคว้นหวา จากการให้กำเนิดพระโอรส ให้เป็นกุ้ยเฟยอีกด้วย
สะใภ้ซุนกัดฟันกรอด ตัวเองย่อมรู้ดีว่าในทุกวันนี้นางยังรู้สึกหนักใจอยู่ไม่น้อย ก่อนจะกำผ้าเช็ดหน้าในมือและกัดฟันพูดว่า ที่หลวนเอ๋อร์กล่าวเตือนมานั้นแม่จำได้ แต่มู่ชิงอีนังเด็กสารเลวคนนั้น! ท่านพ่อของท่านยังเข้าข้างนางอยู่…นางทำร้ายอวิ๋นหรงซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่พ่อของท่านก็ยัง…
มู่เฟยหลวนถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า น้องหญิงสี่ยังคงเป็นบุตรสาวของท่านพ่อ ถ้าเขาปล่อยวางจากน้องหญิงสี่ไปง่ายๆ ข้าเกรงว่า… ถ้าแม้แต่บุตรสาวโดยสายเลือดยังสามารถละทิ้งไปได้โดยไม่สนใจอันใด เช่นนั้นจะมีอะไรที่ไม่สามารถละทิ้งได้อีกเล่า หัวใจของคนเป็นพ่อที่สามารถละทิ้งมู่ชิงอีได้ เขาก็ย่อมจะสามารถละทิ้งมู่เฟยหลวนในวันถัดไปได้เช่นกัน การอยู่ในวังทำให้มู่เฟยหลวนรู้ซึ้งถึงความสำคัญถึงการสนับสนุนจากจวนซู่เฉิงโหวที่มีต่อนางเป็นอย่างดี
มู่เฟยหลวนหัวเราะเบาๆ พลางก้มศีรษะลงและลูบท้องของตน ท่านแม่ อย่าได้กังวลไป รอให้ข้าให้กำเนิดมังกรน้อยก่อนเถิด ท่านพ่อของข้าย่อมรู้วิธีเลือกตามสัญชาตญาณ ส่วนมู่ชิงอี…นางคงไม่เหลือชื่อเสืองหน้าตาอันใดอีก…
ดวงตาของสะใภ้ซุนเป็นประกาย ในไม่ช้านางก็พ่นลมหายใจออกมาเล็กน้อย พลางมองไปที่มู่อวิ๋นหรง เจ้าส่งคนไปทำอย่างไรกับเกสรนั่น เหตุใดท่านหมอถึงบอกว่าจะดีขึ้นหลังจากผ่านไปถึงสองสามวัน
มู่อวิ๋นหรงมีท่าทีลังเลเล็กน้อย ก่อนจะตอบด้วยด้วยน้ำเสียงสะใจ มู่ชิงอีก็คงจะทานของสองสิ่งที่ส่งไป มิฉะนั้นจะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรเล่า!
ดวงตาของมู่เฟยหลวนเป็นประกายเล็กน้อย กล่าวขึ้นอย่างแผ่วเบาว่า คงจะไม่ถูกนางจับได้ใช่หรือไม่
มู่อวิ๋นหรงขมวดคิ้วและพูดอย่างดูแคลน นางน่ะหรือจะจับได้? ข้างกายนางมีเพียงสาวใช้ตัวเล็กๆ สองคนที่ไม่รู้สิ่งใดเลย พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรกัน กลอุบายเหล่านี้ล้วนแต่เป็นวิธีการของผู้ที่อยู่ในวังมาเกือบตลอดชีวิต มู่อวิ๋นหรงไม่เชื่อว่ากลอุบายนั้นจะถูกจับสังเกตได้โดยเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่ไม่เข้าใจกลยุทธ์ใดเลย
มู่เฟยหลวนพูดอย่างแผ่วเบาว่า ระมัดระวังเอาไว้ ข้ารู้สึกได้ถึงเรื่องแปลกๆ บางอย่างรวมทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นที่วัดเป้ากั๋วเมื่อครั้งก่อน… สีหน้าของมู่หลิงยากที่จะมองออกได้เมื่อกล่าวถึงวัดเป้ากั๋วในตอนนี้ คำสามคำ ‘วัดเป้ากั๋ว’ นั้นได้กลายเป็นคำต้องห้ามและรอยแผลเป็นในหัวใจของมู่หลิงไปแล้ว แต่มู่เฟยหลวนก็พูดออกมา อย่างไรก็ตามมู่หลิงย่อมไม่กล้าที่จะโกรธเคืองใดๆ ดังนั้นจึงได้แต่ฟังโดยไม่แสดงอารมณ์
มู่เฟยหลวนเหลือบมองมู่หลิงและกล่าวอย่างแผ่วเบา อย่าเสียใจกับเรื่องนี้ไปเลย อย่าว่าแต่ท่านพ่อ แม้แต่ข้าก็ยังอยากจะต่อว่าเจ้า เหตุใดเจ้าถึงจะใช้อุบายเช่นนั้นจัดการกับน้องหญิงสี่ หากสุดท้ายแล้วประสบความสำเร็จขึ้นมาจริงๆ แต่เจ้าคิดว่าหลังจากนั้นน้องหญิงสามจะมีชื่อเสียงที่ดีในอนาคตอีกหรือ ข้าจะยังมีหน้ามีตาอีกหรือ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะสามารถขโมยไก่โดยไม่เสียข้าว แต่กลับถูกคนวางแผนเล่นงานคืนอีก!