หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 95 ความรักในครอบครัวที่น่าขยะแขยง (4)
ท่านอ๋อง ฝูอ๋อง ผิงอ๋อง จื้ออ๋อง รวมถึงองค์ชายเจ็ดได้อยู่ที่นี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ที่ด้านนอกประตู พ่อบ้านของจวนหนิงอ๋องรีบกล่าวรายงาน
มู่หรงอวี้ขมวดคิ้ว ยืนขึ้นพร้อมกล่าวว่า ข้ารู้แล้ว เชิญพวกเขาเข้ามา
ไม่นานหลังจากนั้น องค์ชายทั้งหลายก็ทยอยเรียงกันเดินเข้ามาตามหลังพ่อบ้าน ฝูอ๋องมู่หรงเค่อยังคงเป็นพี่น้องที่เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง น้องหก น้องแปดเป็นอย่างไรบ้างแล้ว
มู่หรงอวี้ส่ายศรีษะแล้วกล่าวว่า ขอบคุณพี่น้องทุกคนที่ห่วงใย น้องแปด… กว่าครึ่งชั่วยามแล้วตั้งแต่ที่ท่านหมอเข้าไปแต่กลับยังไม่มีผู้ใดออกมารายงานแม้สักคำ แต่ว่ามู่หรงอวี้นั้นเข้าใจท่าทางของพวกเขาตั้งแต่แรกแล้ว มู่หรงอานเกรงว่าจะแย่แล้ว
เมื่อมองเห็นสีหน้าของเขา มู่หรงเค่อก็เข้าใจได้บางส่วน เขายกมือขึ้นตบไหล่มู่หรงอวี้พร้อมกล่าวว่า น้องแปดเป็นคนดีฟ้าย่อมคุ้มครอง น้องหกอย่าได้กังวลนักเลย
คนอื่นๆ ก็ทยอยเอ่ยคำปลอบโยนมู่หรงอวี้ แต่องค์ชายเจ็ดมู่หรงจ้าวนั้นมาเยี่ยมเยียนมู่หรงอานตามรับสั่งของฮ่องเต้ ถึงแม้ว่าเอ่ยคำพูดปลอบโยนเช่นกัน แต่กลับทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเขาพึงพอใจที่ผู้อื่นเกิดความโชคร้าย เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ คนอื่นๆ ก็พากันขมวดคิ้วแล้วเบือนตามองไปทางอื่นด้วยท่าทางสงบนิ่งราวกับว่าไม่เคยได้ยินคำพูดที่เกี่ยวกับมู่หรงอวี้ในคำพูดของมู่หรงจ้าวแม้แต่น้อย ต่างพากันส่ายหัวอยู่ในใจ
อุปนิสัยของน้องเจ็ดนั้นค่อนข้างที่จะหยิ่งยโส เกรงว่าวันหนึ่งอาจจะพลาดท่าให้กงอ๋องได้
ขณะที่เหล่าพี่น้องกำลังพูดคุยกัน ท่านหมอสองสามคนก็ได้เดินออกมา เมื่อเห็นเหล่าองค์ชายที่นั่งอยู่ภายในห้องพวกเขาต่างก็ตกใจเดินออกมาอย่างระมัดระวัง ถวายบังคมท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ
ฝูอ๋องโบกมือพลางเอ่ยว่า ลุกขึ้นเถิด อาการบาดเจ็บของน้องแปดบาดเป็นอย่างไรบ้าง?
คือ… ท่านหมอหลายคนลังเลใจไม่รู้จะเริ่มพูดอย่างไรดี มู่หรงจ้าวเลิกคิ้วขึ้นและกล่าวอย่างทะนงตัว ให้พวกเจ้าพูดก็พูดมาตามความจริง น้องแปดของข้าเป็นอย่างไรกันแน่ ข้าให้คำมั่นว่าพวกเจ้าจะไม่มีความผิดใดๆ
บรรดาท่านหมอต่างยินดีปรีดาขึ้นในทันทีเหลือบมองไปยังมู่หรงอวี้ เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้พูดอะไร หมอหลวงที่เป็นผู้นำคนหนึ่งก็ก้าวไปข้างหน้าพร้อมเอ่ยว่า ทูลท่านอ๋อง กระหม่อมนั้นไร้ความสามารถ…อาการบาดเจ็บของหนิงอ๋องสาหัสเกินไป…
จื้ออ๋องมู่หรงเสียขมวดคิ้วพลางเอ่ยถามว่า แท้ที่แล้วอาการบาดเจ็บของน้องแปดเป็นอย่างไร
หมอหลวงกล่าวว่า หนิงอ๋องนั้นมีกระดูกซี่โครงหักถึงสองซี่ น่าจะเกิดจากการกระแทกกับวัตถุแข็งขณะตกลงมาจากหน้าผา แต่นี่ไม่ได้หนักหนาอะไรมาก พักฟื้นเพียงไม่กี่เดือนก็จะดีขึ้น นอกจากนี้เกรงว่าจะมีอาการบาดเจ็บภายในช่องท้องบางส่วนซึ่งส่งผลต่อบาดแผลที่ยังไม่หายเป็นปกติเมื่อครั้งก่อน หากท่านอ๋องได้สติและค่อยๆ บำรุงรักษาร่างกาย สักวันหนึ่งก็จะฟื้นคืนเป็นปกติ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือตอนนี้ท่านอ๋องยังไม่ได้สติไม่ว่าจะต้มยาอะไรให้ดื่มก็ตาม…สิ่งนี้ทำให้อาการบาดเจ็บภายในของท่านอ๋องนั้นรักษาได้ยากพ่ะย่ะค่ะ
น้องแปดจะฟื้นขึ้นมาเมื่อใด มู่หรงอวี้ถามอย่างแผ่วเบา ขณะตั้งคำถามดวงตาของเขาก็ค่อยๆ มองผ่านท่านอ๋องไปทีละคนอย่างรวดเร็ว ท่านหมอส่ายหัวอย่างลำบากใจและเอ่ยว่า ดูเหมือนว่าหนิงอ๋องจะได้รับบาดเจ็บทางสมอง กระหม่อมได้สั่งเทียบยาสำหรับกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตและขจัดภาวะเลือดอุดตัน แต่หนิงอ๋องจะฟื้นขึ้นเมื่อใดนั้น…กระหม่อมไร้ความสามารถ เป็นการยากที่จะกำหนดเวลาแน่ชัด อาจเป็นไปได้ว่า…
องค์ชายเจ็ดเลิกคิ้วขึ้นแล้วพูดว่า อาจเป็นไปได้ว่าจะไม่ฟื้นขึ้นมาเลยตลอดชีวิต?
หมอหลวงถอนหายใจเอ่ยว่า นี่ยังไม่ใช่สิ่งที่แย่ที่สุดพ่ะย่ะค่ะ สิ่งที่แย่ที่สุดคือถ้าหากท่านอ๋องไม่ฟื้นขึ้นมาภายในหนึ่งเดือนแล้วล่ะก็อาการบาดเจ็บภายในร่างกายของท่านอ๋องจะแย่ลงไปอีก ก็… จะไม่มีคำว่าตลอดชีวิตแล้ว หากภายในหนึ่งเดือนมู่หรงอานยังไม่ฟื้นขึ้นมาเขาคงจะต้องกลายเป็นคนป่วยติดเตียงที่ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะใด
มู่หรงเค่อขมวดคิ้วพูดขึ้นว่า เพียงแค่ตกจากหน้าผาเหตุใดถึงร้ายแรงขนาดนั้น ไม่ได้บอกว่าหน้าผาไม่ค่อยสูงชันหรอกหรือ วรยุทธของน้องแปดก็ไม่เลวเลยนะ ท่านหมอส่ายหัวไปมา มู่หรงเสียคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า น้องแปดมีอาการบาดเจ็บอื่นใดอีกหรือไม่
ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ ท่านหมอพูดอย่างมั่นใจว่า หนิงอ๋องมีเพียงซี่โครงหักและบาดแผลจากการกระแทกจากการตกลงมาบางส่วน อาการบาดเจ็บนี้…หากหนิงอ๋องไม่ได้รับบาดเจ็บมาก่อนหน้านี้ล่ะก็ถือว่าไม่ร้ายแรง แต่น่าเสียดายที่… เรื่องที่เกิดขึ้นกับหนิงอ๋องที่ทำให้เขาเกือบสิ้นชีวิตเมื่อหนึ่งเดือนก่อนและตอนนี้ยังได้รับบาดเจ็บเพิ่มอีก และเนื่องจากยังหลับไม่ได้สติทำให้ผลของยาไม่อาจออกฤทธิ์ได้ ราวกับว่าสวรรค์ต้องการจะทำลายเขา อีกอย่างคือที่ศีรษะของหนิงอ๋องพบว่ามีอาการบาดเจ็บทางสมอง ไม่ใช่ว่าจะอธิบายไม่ได้ว่าเหตุใดมู่หรงอานถึงยังไม่ได้สติทั้งๆ ที่ไม่พบบาดแผลภายนอกใดๆ บริเวณศรีษะของหนิงอ๋อง แต่ท่านหมอทั้งเจ็ดแปดคนต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าหนิงอ๋องต้องได้รับบาดเจ็บภายในสมองอย่างแน่นอน
เพียงไม่นาน โถงรับรองก็ตกอยู่ในความเงียบงัน เป็นที่แน่นอนว่าตอนนี้มู่หรงอวี้กำลังอารมณ์ไม่ดีและคนอื่นๆ ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร แต่ในเวลานี้ไม่ว่าจะพูดอะไรออกไปก็ดูเหมือนยินดียินร้ายไปกับความโชคร้ายของผู้อื่น
ในท้ายที่สุดก็ยังคงเป็นมู่หรงเค่อที่โบกมือพร้อมเอ่ยขึ้นว่า ช่างเถิด พวกท่านออกไปก่อน ดูแลน้องแปดให้ดี
ท่านหมอหลายคนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก ต่างพากันขอตัวจากไป
ที่กล่าวกันว่าฝูอ๋องนั้นคำพูดคำจาดีที่สุดเห็นทีว่าจะไม่ใช่ความเท็จ
เมื่อรอท่านหมอออกไปจนหมด ภายในโถงรับรองก็เงียบงันเนิ่นนาน มู่หรงจ้าวลุกขึ้นยืนอย่างไม่อดทนพลางเอ่ยขึ้นว่า เสด็จพ่อยังคงอยู่ในวังเพื่อรอข่าว ข้าขอตัวกลับก่อน มู่หรงเสียพยักหน้าแล้วกล่าวว่า เช่นนั้นก็ดี น้องเจ็ดกลับไปก่อนเถิด อย่าให้เสด็จพ่อทรงรอนาน
มู่หรงจ้าวพยักหน้าและไม่ได้กล่าวลามู่หรงอวี้ เพียงลุกขึ้นและเดินออกไป
มู่หรงเสียมองดูสีหน้าที่เรียบเฉยของมู่หรงอวี้ พูดขึ้นเบาๆ ว่า น้องเจ็ดเป็นคนอารมณ์ร้อน น้องหกอย่าได้ตำหนิเลย หากน้องแปดต้องการสิ่งใดเพียงแค่ส่งคนไปแจ้งแก่พี่สี่ พี่สี่จะให้พี่สะใภ้สี่ของเจ้าตระเตรียมให้ ทุกคนรู้ว่ามู่หรงอานนั้นยังไม่มีพระชายาและพระชายาของมู่หรงอวี้ก็ไม่รู้ว่าโชคร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร องค์ชายทั้งหลายต่างพากันแสดงออกว่าหากมีเรื่องไม่สะดวกอะไรก็ให้ส่งคนไปที่จวนเพื่อบอกกล่าวได้
เมื่อรู้ว่ามู่หรงอวี้ไม่ได้มีใจจะพูดคุยกับพวกเขาในตอนนี้ มู่หรงเค่อและคนอื่นๆ ต่างก็พากันลุกขึ้นและขอตัวจากไป
โถงรับรองที่วุ่นวายได้เงียบลงอีกครั้ง มู่หรงอวี้ลุกขึ้นและหันกลับไปมองยังมู่หรงอานซึ่งนอนอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าท่าทางมืดมน พ่อบ้านจวนหนิงอ๋องยืนอยู่ข้างๆ เขาอย่างกังวลและไม่รู้จะพูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง ท่านอ๋อง…
มู่หรงอวี้พ่นลมหายใจ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ดูแลน้องแปดให้ดี ข้าจะส่งคนออกไปเฟ้นหาหมอที่มีชื่อเสียง
พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง
เมื่อเห็นแผ่นหลังของมู่หรงอวี้ที่หันหลังกลับไปโดยไม่ลังเล พ่อบ้านก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ รู้อยู่ในใจว่า ยามนี้ทุกเรื่องล้วนสำคัญ เป็นไปไม่ได้ที่ท่านอ๋องจะรั้งอยู่ที่นี่เป็นเวลานานเพื่อหนิงอ๋อง
ท่านอ๋อง ฮ่องเต้มีรับสั่งเรียกท่านเข้าวังทันทีพ่ะย่ะค่ะ องครักษ์รายงานขึ้นทันทีที่เห็นเขาออกจากจวนหนิงอ๋อง
มู่หรงอวี้ซึ่งเดิมทีกำลังจะกลับไปยังจวนของตนทำได้เพียงหยุดฝีเท้าและหันหลังกลับมาเอ่ยขึ้นว่า เข้าใจแล้ว เข้าวัง
ณ พระตำหนักฉินเจิ้ง
ทันทีที่มู่หรงอวี้ก้าวเข้าไปในห้องโถง ก็เห็นฮ่องเต้ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรที่สูงส่ง ทั้งตัวถูกคลุมไปด้วยอาภรณ์ลายมังกรสีเหลืองทองสดใสเปล่งประกายทำให้ดูสูงส่งจนมิอาจเอื้อม ดูเย็นชาและไร้ความรู้สึก มู่หรงอวี้หลุบตาลงต่ำเพื่อซ่อนความทะเยอทะยานและความปรารถนาเอาไว้ในใจ
ตำแหน่งนั้นที่สามารถอยู่เหนือทุกสิ่งได้ วันหนึ่งมันจะตกเป็นของเขาไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ตาม!