หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 101
นี่เป็นไปไม่ได้!
เสนาบดีซูตวัดสายตามองหลีกวงเหวิน
เจ้าคนทึ่มผู้นี้น่ะหรือจะเลี้ยงดูบุตรสาวที่ยอดเยี่ยมมหัศจรรย์ปานนี้ออกมาได้
เขาเคยเป็นทั่นฮวา? ในสำนักราชบัณฑิตอาจมีอย่างอื่นไม่มาก แต่บัณฑิตเอกชั้นหนึ่งทั้งจ้วงหยวน ปั่งเหยี่ยน และทั่นฮวามีอยู่เกลื่อนกล่น
หลีกวงเหวินไม่รู้ตัวสักนิดว่าตนโดนขุนนางตำแหน่งใหญ่ที่สุดในสำนักราชบัณฑิตดูถูกเหยียดหยาม เขาทำหน้าชื่นตาบานอยู่ด้านข้าง “เจาเจา เจ้าบอกมาเร็วเข้าว่าทำได้อย่างไร ผลถึงออกมาเสมอกันรวดเดียวสามกระดาน หาได้ยากเหลือเกินจริงๆ”
เขาพูดพลางมองไปทางหัวหน้าสำนัก พูดกลั้วเสียงหัวเราะแหะๆ “ท่านหัวหน้าสำนัก ท่านคงเห็นแล้วนะ ข้าไม่ได้โกหกท่านที่บอกว่าระดับฝีมือของบุตรสาวข้าสามารถเอาชนะท่านได้ในเวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อกระมัง”
เฉียวเจากุมขมับอย่างห้ามไม่อยู่ นี่นางเดินหมากให้ผลออกมาเสมอกันสามกระดานเพื่ออะไรเล่า
เมื่อวานตอนท่านพ่อบอกเรื่องการท้าพนันนี้ นางก็อยากสะบัดแขนเสื้อเดินหนีแล้ว
พูดได้อย่างไรว่าเอาชนะเขาไปเมื่อครึ่งชั่วยามก่อน ขืนนางทำเช่นนี้จริงๆ เสนาบดีกรมพิธีการท่านนี้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใด แต่ถ้าเก็บงำฝีมือ ท่านพ่อก็จะกลายเป็นคนพูดจาเหลวไหลเลื่อนเปื้อนต่อหน้าผู้บังคับบัญชา ไม่เป็นผลดีดุจเดียวกัน
ยุติลงด้วยผลเสมอกันสามกระดาน ทั้งรักษาหน้าตาของท่านหัวหน้าสำนักไว้ ทั้งทำให้อีกฝ่ายรู้ระดับฝีมือแท้จริงของตน นับเป็นวิธีที่ดีต่อทั้งสองฝ่าย แต่ท่านพ่อที่เคารพกลัวผู้อื่นจะไม่รู้กระนั้น ยังจะพูดเปิดโปงให้ได้
เสนาบดีซูหน้าบึ้งไปตามคาด เขากล่าวเยาะๆ “อาลักษณ์หลี เจ้าไม่ได้โกหกข้าจริงๆ หรือ”
“โกหกตรงที่ใดขอรับ” หลีกวงเหวินถูกถามก็ฉงนฉงาย
เสนาบดีซูยกมือชี้เฉียวเจา “เจ้าบอกว่าเจ้าเดินหมากกับบุตรสาว แพ้เก้าในสิบกระดาน”
หลีกวงเหวินทำตาปริบๆ อย่างงุนงง “ไม่ผิดนี่ขอรับ บุตรสาวมีฝีมือเดินหมากสูงส่งกว่าข้า ข้าน่ะไม่พูดปดเพื่อรักษาหน้าในฐานะผู้อาวุโสกว่าหรอกนะ”
เสนาบดีซูแค่นเสียงฮึ เหล่ตามองหลีกวงเหวินพลางกล่าวว่า “อย่ากล่าวล้อเล่น ด้วยระดับฝีมือของเจ้า อีกหนึ่งกระดานนั่นชนะได้อย่างไรกัน”
คนที่ดวลหมากกับเขาให้ผลออกมาเสมอกันสามกระดานได้ยังมีเวลาที่แพ้ให้เจ้าคนทึ่มผู้นี้น่ะหรือ นี่เท่ากับหมิ่นศักดิ์ศรีของข้าสิ้นดี!
“นี่ย่อมเป็นเพราะ…” หลีกวงเหวินพลันประจักษ์อะไรบางอย่างขึ้นได้ เขาหันหน้าขวับไปมองบุตรสาว กล่าวอย่างตกตะลึง “เจาเจา หมายความว่าก่อนหน้านี้เจ้าออมมือให้พ่อมาโดยตลอดหรือ”
ท่านเพิ่งรู้หรือ…
เฉียวเจามองสบสายตาของท่านพ่ออย่างจนปัญญา จากนั้นหันไปยิ้มกับเสนาบดีซูอย่างขอลุแก่โทษ
มาตรว่าแม่นางน้อยมิได้ปริปากพูด หากแต่สื่อความหมายได้แจ่มแจ้งเป็นอันมากว่า
ท่านหัวหน้าสำนักเจ้าคะ ท่านพ่อข้าก็เป็นเยี่ยงนี้เอง ท่านจะถือสาหาความอันใดกับเขา
นัยน์ตาของเด็กสาวทั้งคู่ตาดำตาขาวตัดกันชัดละม้ายบึงน้ำกระจ่างใสที่สุด ยามมันทอประกายเปลี่ยนไปก็สามารถบอกสิ่งที่พูดไม่ถนัดปากให้อีกฝ่ายรับรู้ได้
เสนาบดีซูหัวร่อเสียงดัง
ที่แท้ใต้หล้านี้มีคนที่ยอดเยี่ยมมหัศจรรย์อย่างนี้และมีดวงตาที่พูดได้เฉกนี้อยู่จริง
เขามองหลีกวงเหวินซ้ำอีกคราแล้วโคลงศีรษะ
จุๆ ไฉนผักกาดขาวดีๆ ล้วนถูกสุกรคาบไปหมดนะ เหตุใดเด็กสาวที่ดีเลิศเยี่ยงนี้ไม่เกิดในสกุลซูของข้า!
“ท่านหัวหน้าสำนัก หัวเราะอะไรหรือขอรับ” เมื่อได้รู้ว่าบุตรสาวออมมือให้เรื่อยมา หลีกวงเหวินชักไม่พอใจ
“ได้เดินหมากกับบุตรสาวเจ้าติดกันสามกระดาน ควรค่าให้หัวเราะน่ะสิ” เสนาบดีซูเขม้นตามองหลีกวงเหวินพลางพูดอย่างมีนัยลึกล้ำ “อาลักษณ์หลี เจ้ามีบุตรสาวที่ดีผู้หนึ่งจริงๆ” ไม่เช่นนั้นข้าจะเตะเจ้าออกจากสำนักราชบัณฑิตไปประเดี๋ยวนี้เลย!
“ชมเกินไปแล้วๆ ขอรับ” หลีกวงเหวินอารมณ์ดีขึ้นมาอีกทันใด
จริงสินะ ไม่เห็นมีอะไรต้องไม่พอใจ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนให้กำเนิดบุตรสาวผู้นี้
“แม่นางน้อย เจ้าชื่อว่าอะไร”
“ท่านหัวหน้าสำนัก ผู้เยาว์มีชื่อตัวเดียวว่า ‘เจา’ เจ้าค่ะ”
“เจา?” เสนาบดีซูพยักหน้า เขาลูบเคราพร้อมกล่าว “ชื่อดีๆ อ้อ เป็น ‘เจา’ ตัวใดหรือ”
เฉียวเจาเงียบไปทันที “…”
“ ‘เจา’ ที่แปลว่าแจ่มกระจ่าง ในคำว่าแสงตะวันจันทราแจ่มกระจ่างขอรับ” หลีกวงเหวินชิงเอ่ยตอบ
เสนาบดีซูกับเฉียวเจามองเขาเป็นตาเดียวกัน
หลีกวงเหวินกะพริบตาปริบๆ “เป็น ‘เจา’ ในคำว่าแสงตะวันจันทราแจ่มกระจ่างอย่างไรล่ะขอรับ ท่านหัวหน้าสำนักคงไม่ทราบว่าบุตรสาวคนโตข้าชื่อว่า ‘เจี่ยว’ ที่หมายถึงสุกสกาว บุตรสาวคนรองชื่อว่า ‘เจา’”
“เป็นชื่อที่ดีจริงๆ” เสนาบดีซูผงกศีรษะแต่นึกในใจว่า เจ้าคนทึ่มผู้นี้ บุตรสาวคนโตของเจ้าชื่ออะไรเป็นกงการใดของข้ารึ
เฉียวเจาคลี่ยิ้มสีหน้าไม่แปรเปลี่ยนจากเดิม ทว่าในใจพลันบังเกิดความหดหู่อยู่หลายส่วน
บัดนี้คือหลีเจาในคำว่า ‘แสงตะวันจันทราแจ่มกระจ่าง’ มิใช่ เฉียวเจาในคำว่า ‘นักปราชญ์พึงรู้เองให้แจ่มแจ้ง จึ่งสอนผู้อื่นให้รู้แจ่มแจ้ง’
“แม่นางน้อย ทักษะการเดินหมากของเจ้าร่ำเรียนจากอาจารย์ท่านใดหรือ”
“เรียนใต้เท้า มารดาข้าให้ความสำคัญต่อการเล่าเรียนเขียนอ่านของผู้เยาว์อย่างมากเสมอมา ดังนั้นจึงเชิญอาจารย์หลายท่านมาสอนข้าตั้งแต่วัยเยาว์ อีกทั้งซื้อตำราหมากล้อมล้ำค่าหายากให้ข้าศึกษาอีกด้วยเจ้าค่ะ”
นี่หมายถึงไม่มีอาจารย์ชื่อดัง เพียงว่าจ้างอาจารย์มาถ่ายทอดความรู้พื้นฐานให้เท่านั้น
“ที่แท้เป็นเช่นนี้ เห็นทีว่าเป็นพรสวรรค์นั่นเอง” เสนาบดีซูมองหลีกวงเหวินอย่างพินิจ ไม่น่าจะสืบทอดจากบิดา…
หลีกวงเหวินฟังแล้วทำหน้าอึ้งไป ที่แท้เหอซื่อมิใช่ไม่มีอะไรดีสักอย่าง
แม้ว่าเขาจะทนนิสัยชอบเอาเงินฟาดหัวคนของเหอซื่อไม่ไหว แต่บุตรสาวมีความสามารถอย่างทุกวันนี้กลับเป็นความดีความชอบของนางอย่างปฏิเสธมิได้ เมื่อคิดไปเช่นนี้ กลับกลายเป็นบิดาอย่างเขาที่ไม่เคยทำอะไรเพื่อบุตรสาวมาก่อนเลย
แววละอายใจผุดวาบขึ้นบนใบหน้าหลีกวงเหวิน เฉียวเจามองเห็นแล้วหัวเราะในใจ
เหอซื่อนั้นดีต่อบุตรสาวอย่างสุดจิตสุดใจ ในเมื่อนางได้รับความห่วงใยรักใคร่นี้ก็ย่อมปรารถนาให้เหอซื่อพบกับสิ่งดีๆ เฉกเดียวกัน นางเพียงหวังว่าเมื่อบิดามารดาในตอนนี้ของนางค่อยๆ เปลี่ยนมุมมองความคิดต่อกันไปโดยไม่รู้ตัว ต่อให้ไม่อาจรักกันได้ แต่ก็สามารถอยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง ไม่เสียทีที่ได้เป็นสามีภรรยากัน
“ท่านหัวหน้าสำนักกล่าวชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” เฉียวเจายิ้มอย่างสงบนิ่ง ปราศจากสีหน้าลำพองใจใดๆ
เสนาบดีซูยกถ้วยน้ำชาดื่มคำหนึ่งถึงพบว่าน้ำชาเย็นชืดแล้ว เขาวางมันลงด้านข้างและกล่าวยิ้มๆ “ในเรือนข้ามีหลานสาวคนหนึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้า นางก็ชมชอบการเดินหมากเช่นกัน วันหน้าพวกเจ้าสามารถพบปะพูดคุยกันได้บ่อยๆ มีเจ้าคอยชี้แนะก็ทำให้ฝีมือของเด็กคนนั้นรุดหน้าขึ้นได้บ้าง”
“ได้เจ้าค่ะ มีโอกาสข้าจะขอแลกเปลี่ยนความรู้กับพี่สาว” เฉียวเจาอมยิ้ม
นางตอบตกลงบิดามาเดินหมาก นอกจากช่วยแก้สถานการณ์ให้หลีกวงเหวิน ยังจะได้อาศัยเสนาบดีซูเป็นสะพานสานสัมพันธ์กับซูลั่วอีหลานสาวของเขาได้ด้วย นี่เป็นสิ่งที่นางคาดคำนวณไว้อยู่แล้ว
ทั้งคู่เป็นสตรีในแวดวงขุนนางสายบุ๋น แม่นางน้อยหลีเจาเคยเจอกับซูลั่วอีในงานชมดอกไม้บ้าง ในความทรงจำของหลีเจา ซูลั่วอีเป็นเด็กสาวสุภาพเรียบร้อยผู้หนึ่ง นิสัยคล้ายคลึงกับจูเหยียนคุณหนูเจ็ดของจวนไท่หนิงโหว
ทว่าสำหรับเฉียวเจาแล้วส่วนที่สำคัญกว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
สองปีก่อนสตรีชนชั้นสูงของเมืองหลวงกลุ่มหนึ่งก่อตั้งชุมนุมฟู่ซานขึ้น ผู้เข้าร่วมล้วนเป็นสตรีที่มีความสามารถเลื่องลืออยู่บ้าง ซูลั่วอีเป็นรองหัวหน้าชุมนุมจึงมีสิทธิ์เสนอชื่อคนได้
ขอแค่เสนาบดีซูกลับจวนไปแล้วเอ่ยถึงเรื่องนี้กับหลานสาว ด้วยความหลงใหลในศาสตร์หมากล้อมของซูลั่วอี มีความเป็นไปได้ถึงแปดหรือเก้าในสิบส่วนที่จะพิจารณาชักชวนนางเข้าร่วมชุมนุม
เฉียวเจามิได้สนใจในชีวิตหรูหราสุนทรีย์ของเหล่าสตรีชั้นสูงของเมืองหลวง แต่ชุมนุมฟู่ซานไม่มีสถานที่พบปะสังสรรค์ที่แน่นอน จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามคฤหาสน์ของสตรีสูงศักดิ์ของตระกูลต่างๆ เพียงจุดนี้ก็ดึงดูดใจนางได้แล้ว
นางจำเป็นต้องออกไปข้างนอกบ่อยๆ ถึงจะมีโอกาสได้พบหน้าพี่ชายกับน้องสาวมากขึ้น
อ้อ จริงสิ คนที่อยู่ในชุมนุมฟู่ซานเหมือนกันยังมีหลีเจียวคุณหนูรองของจวนสกุลหลีด้วย เพราะว่าปีที่แล้วภิกษุชั้นผู้ใหญ่ของวัดต้าฝูเลือกคัมภีร์พระธรรมของนางส่งไปที่อารามซูอิ่ง แม้นจะไม่ได้คำชมจากอู๋เหมยซือไท่ แต่ยังคงมีสิทธิ์ได้เข้าร่วมชุมนุม
ความถ่อมตัวของเฉียวเจาทำให้เสนาบดีซูเปล่งเสียงหัวเราะดังลั่น “ไม่ต้องเป็นห่วง หลานสาวข้าคนนั้นแพ้แล้วไม่ร้องไห้ขี้มูกโป่งแน่”
เขาหยักยิ้มลุกขึ้นยืน “เวลาไม่เช้าแล้ว กลับกันเถอะ อาลักษณ์หลี พรุ่งนี้อย่าหนีงานอีกล่ะ”