หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 103
เสนาบดีซูได้ยินแล้วอึ้งงันไป เขาทำท่าแคะๆ หูแล้วกล่าวขึ้น “ถูกโจรค้าทาสล่อลวงไป?”
ท่านเสนาบดีอาวุโสขบคิดครู่หนึ่งแล้วตบเข่าดังฉาดทันใด “ที่แท้เป็นคนที่ถูกล่อลวงไปคนนั้นนี่เอง! พักก่อนอาลักษณ์หลีวันๆ เอาแต่ทำหน้าขรึมใจลอย ข้าได้ยินว่าคุณหนูในจวนพวกเขาคนหนึ่งหายตัวไปในวันเทศกาลกำเนิดบุปผา ไม่คิดว่าจะเป็นคนที่เดินหมากกับข้า”
“ท่านพี่นึกว่าเป็นคนใดกันล่ะเจ้าคะ” จางซื่อย้อนถาม
เสนาบดีซูยิ้มเก้อๆ “ข้าจะไปคิดอะไรมากมายถึงเพียงนั้นที่ใดกัน ทั้งไม่เคยสอบถามว่าจวนสกุลหลีมีคุณหนูกี่คน ตอนนั้นแค่ได้ยินผู้ใต้บังคับบัญชาเอ่ยถึงสองสามคำโดยบังเอิญเท่านั้น”
เขาพูดถึงตรงนี้แล้วมองไปทางหลานสาว “ลั่วอี เจ้าบอกว่าคุณหนูสามสกุลหลียังเขียนอักษรได้ดีมากด้วยหรือ”
ซูลั่วอีพยักหน้าอย่างลังเลใจเล็กน้อย “น่าจะดีอย่างยิ่งยวดเจ้าค่ะ วันประสูติของพุทธองค์ปีนี้มีแต่ตัวอักษรของนางที่เข้าตาของซือไท่อารามซูอิ่ง ถึงขั้นทำให้ซือไท่เรียกตัวเข้าพบ แค่ว่าพวกข้าล้วนไม่เคยเห็นลายมือของนาง ดังนั้นไม่รู้เช่นกันว่ามันดีเช่นไรกันแน่ ใช่หรือไม่เจ้าคะท่านย่า”
แล้วก็เป็นเพราะไม่เคยเห็นตัวอักษรของคุณหนูสามสกุลหลี คนสำคัญๆ ในชุมนุมของพวกนางหลายคนยังปรึกษากันอยู่นานสองนาน แต่ก็วางเรื่องที่จะชักชวนคุณหนูสามสกุลหลีเข้าร่วมชุมนุมพักไว้ก่อน อีกทั้งสบช่องพวกรองหัวหน้าชุมนุมที่มารวมตัวกันพร้อมหน้าเมื่อวานหารือกันและตัดสินใจขับคุณหนูรองสกุลหลีออกจากชุมนุมแล้ว
หลังจากเขียนเทียบถอนชื่อจากชุมนุมเสร็จ พวกนางจับไม้สั้นไม้ยาวกัน ผลปรากฏว่านางโชคไม่ดี หน้าที่ที่ต้องล่วงเกินนี้จึงตกมาอยู่ที่นาง เวลานี้เทียบใบนั้นยังวางอยู่บนโต๊ะ
จางซื่อผงกศีรษะ นางมุ่นคิ้วแล้วกล่าว “ท่านพี่ คุณหนูสามสกุลหลีผู้นั้นเคยโดนโจรค้าทาสล่อลวงไป ชื่อเสียงด่างพร้อย ลั่วอีของพวกเราอย่าไปคบค้าวิสาสะกับนางจะดีกว่านะเจ้าคะ”
เสนาบดีซูได้ยินถ้อยคำนี้ก็ส่ายหน้าพลางหัวเราะ “เด็กผู้นั้นเพิ่งอายุเท่าไรเอง เดิมทีถูกล่อลวงไปก็น่าสงสารอยู่แล้ว ในเมื่อกลับมาอย่างปลอดภัย คนในตระกูลนางก็มิได้พูดว่าอะไร แล้วคนนอกอย่างพวกเราจะถือสาจุดนี้โดยไม่ปล่อยวางไปไยเล่า”
จางซื่อฟังแล้วเบะปาก “สกุลหลีไม่พูดอะไร เพราะเด็กผู้นี้โชคดีได้หมอเทวดาพามาส่งถึงเรือน แล้วหมอเทวดาท่านนั้นยังรับนางเป็นหลานสาวบุญธรรมด้วย”
เรื่องข่าวซุบซิบนินทาในเมืองหลวงพวกนี้ สตรีที่อยู่ในเรือนหลังฆ่าเวลาไปวันๆ กลับรู้ดีกว่าพวกบุรุษที่ยุ่งวุ่นวายกับงานราชการ
เสนาบดีซูได้ยินแล้วนิ่งงันไป จากนั้นกล่าวอย่างแฝงนัยลึกซึ้ง “หากเป็นอย่างนี้ ลั่วอีของพวกเรายิ่งสมควรเรียนรู้จากคุณหนูสามสกุลหลีผู้นี้แล้ว”
“เรียนรู้อะไรกันเจ้าคะ” เห็นสามีเยินยอเด็กสาวที่ชื่อเสียงด่างพร้อยคนหนึ่งจนสูงส่งปานนี้ ทั้งที่รู้ว่านางมีวิชาความรู้จริงๆ อยู่หลายส่วน ทว่าจางซื่อซึ่งมีชาติตระกูลสูงศักดิ์ยังคงไม่สบอารมณ์
เสนาบดีซูโคลงศีรษะ สตรีในเรือนหลังมีสายตาตื้นเขินเช่นนี้เอง…
แน่นอนว่าเขาไม่กล้ากล่าวประโยคนี้ออกจากปาก หาไม่แล้วเคราที่ตั้งอกตั้งใจเลี้ยงไว้จนดกงามอย่างไม่ง่ายดายคงต้องถูกถอนเกลี้ยง
“ฮูหยินลองตรองดู เด็กสาวอายุสิบกว่าขวบตกอยู่ในมือโจรค้าทาส ไม่เพียงหนีกลับเรือนได้อย่างปลอดภัย ยังผูกสัมพันธ์กับหมอเทวดา นี่เป็นเรื่องง่ายหรือ เด็กสาวผู้นั้นไม่ธรรมดาหรอกนะ”
จางซื่อเริ่มฉุกคิด แต่ปากกลับพูดโต้แย้ง “ไม่แน่นางอาจจะโชคดีก็ได้”
“โชคดี?” เสนาบดีซูหัวเราะขลุกขลัก “ถ้าเป็นเช่นนี้แสดงว่าเด็กผู้นั้นเป็นผู้มีโชควาสนาคนหนึ่ง คบหากับคนที่มีโชควาสนา ลั่วอีของเราไม่เสียเปรียบนะ”
ในใจจางซื่อโอนเอนอยู่หลายส่วน แต่ยังสองจิตสองใจอยู่บ้าง นางมองหลานสาวแวบหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “ยังต้องดูว่าลั่วอีถูกชะตากับนางหรือไม่ เรื่องของพวกผู้เยาว์ ท่านพี่อย่าไปวุ่นวายใจเลยเจ้าค่ะ”
“ข้าแค่เห็นว่านี่เป็นเรื่องแปลกใหม่เลยเอ่ยกับพวกเจ้าไปอย่างนั้นเอง เอาล่ะ รีบตั้งโต๊ะเถอะ”
ท่านปู่ท่านย่าเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปแล้ว แต่ซูลั่วอีผู้หลงใหลการเดินหมากกลับอดใจไม่อยู่ นางกล่าวเสียงเบาๆ “ท่านย่า ข้าอยากออกเทียบใบหนึ่ง เชิญคุณหนูสามสกุลหลีมาเที่ยวจวนเราวันพรุ่งนี้…”
ถ้าคุณหนูสามสกุลหลีเป็นเช่นที่ท่านปู่พูดจริงๆ ว่ามีฝีมือเดินหมากน่าอัศจรรย์ ถ้าอย่างนั้นนางจะแนะนำอีกฝ่ายเข้าชุมนุม เท่านี้วันหน้าอยากเดินหมากก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มแล้ว ดีไม่ดีทักษะการเดินหมากของนางยังจะรุดหน้าอีกขั้นก็เป็นได้
จางซื่อตรึกตรองครู่หนึ่ง
“ท่านย่า…” ซูลั่วอีเรียกอย่างฉอเลาะ
จางซื่อก็ใจอ่อนยวบ “เอาเถอะ เจ้าอยากเชิญก็เชิญ แต่พบปะกันครั้งแรกต้องระวังตัวสักหน่อย คุณหนูสามสกุลหลีผู้นั้นมีชื่อเสียงไม่ใคร่ดีมาแต่ไหนแต่ไร ถ้าความประพฤติไม่เหมาะสม ต่อให้มีความสามารถเพียงใด วันหน้าก็ห้ามไปมาหาสู่กันอีก”
“เจ้าค่ะๆ ท่านย่า เรื่องพวกนี้ข้ารู้ว่าสมควรทำอย่างไร”
ท่านปู่คร่ำหวอดอยู่ในราชสำนักมานานกี่ปี เคยคบค้าสมาคมกับคนสำคัญในแผ่นดินมาแล้วทั้งสิ้น ย่อมต้องอ่านคนได้ไม่พลาด ในเมื่อท่านปู่รู้สึกว่าคุณหนูสามสกุลหลีดี แต่นางยึดติดกับความคิดเดิมจนเกิดอคติ เช่นนั้นก็เป็นนางที่ใจคอคับแคบ
จางซื่อหัวเราะแล้ว นางพูดกับเสนาบดีซู “ท่านดูสิ หลานสาวเติบใหญ่แล้ว นี่นางติงว่าข้าช่างบ่น” พูดจบนางก็เอ่ยสั่งสาวใช้ด้านข้าง “เอาล่ะ ตั้งโต๊ะเถอะ”
ขณะที่จวนเสนาบดีกรมพิธีการเริ่มกินอาหารอย่างสุขสันต์กลมเกลียว ในจวนจิ้งอันโหว อาหารที่วางอยู่บนโต๊ะในเรือนของเซ่าหมิงยวนแทบจะยังไม่ถูกแตะต้อง
ชายหนุ่มยืนอยู่ริมหน้าต่าง ยืนจนกระทั่งผืนราตรีมืดมิดลงตามลำดับ ถึงคลี่แผ่นกระดาษในมือออกช้าๆ อ่านซ้ำอีกรอบหนึ่ง จากนั้นนิ้วมือเรียวยาวค่อยๆ ขยำขยี้กระดาษจนแหลกละเอียดเป็นผุยผงปลิวลอยไปตามลมดึก
พระพายยามราตรีในต้นฤดูร้อนนั้นอบอุ่น แต่หัวใจเขากลับเย็นยะเยือก
ระยะนี้เซ่าจือกับเซ่าเหลียงองครักษ์ประจำตัวของเขาสองคนแยกกันไปสืบข่าวอยู่ตลอด เซ่าจือแกะรอยตามไปที่บ้านเดิมของหลินคุนรองหัวหน้าผู้คุ้มภัยของสำนักคุ้มภัยหย่วนเวย ด้านเซ่าเหลียงมุ่งหน้าไปเป่ยติ้งสืบเรื่องสตรีที่มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับซูลั่วเฟิง
ข่าวที่เขาเพิ่งได้รับเมื่อครู่นี้ส่งมาจากเซ่าเหลียง
เซ่าเหลียงไล่สืบเสาะไปตามเรือสำราญหรือตามหอคณิกาจนทั่วเป่ยติ้ง สุดท้ายก็ตามหาสตรีที่เขาคาดเดาว่าน่าจะมีตัวตนอยู่พบจนได้
ทว่านางตายไปแล้ว อีกทั้งตายหลังจากเกิดเรื่องของซูลั่วเฟิงไม่นาน
ชีวิตของหญิงคณิกาอาจไร้ค่าดุจมดปลวก วันนี้ยังแย้มยิ้มรับแขก วันพรุ่งถูกหามออกไปลับๆ ก็มิใช่เรื่องแปลกอันใด แต่ความบังเอิญเฉกนี้ จะไม่ให้คิดมากก็สุดปัญญาจะทำได้
เซ่าหมิงยวนมองออกไปนอกหน้าต่าง
ม่านรัตติกาลนอกหน้าต่างมืดสนิท ท้องนภาสีดำแกมน้ำเงินดาษดาไปด้วยหมู่ดารา เดือนเต็มดวงฉายรัศมีเรืองรองนวลตา
เซ่าหมิงยวนถอนใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง
ดึงผมเส้นเดียวสะเทือนไปทั้งกาย* ซูลั่วเฟิงคิดคดทรยศที่แดนเหนือ หากในเมืองหลวงที่ห่างไกลนับพันลี้กลับมีคนตายตกตามกันไปอย่างเงียบเชียบ แต่หาได้รู้ไม่ว่ายิ่งลบร่องรอยอย่างสะอาดหมดจด ก็ยิ่งบ่งชัดว่าซูลั่วเฟิงมิใช่สมคบคิดกับข้าศึกอย่างที่เห็นแค่ผิวเผินเด็ดขาด
เช่นนั้นผู้บงการเบื้องหลัง…
เซ่าหมิงยวนทอดสายตามองไกลไปยังทิศทางหนึ่งพลางขบคิด
จะเป็นขุนนางใหญ่บางคนที่รู้สึกว่าเขาขัดขวางอนาคตของใคร หรือจะเป็นแม่ทัพบางคนที่โกรธแค้นที่เขาตัดหนทางร่ำรวยของใคร หรือถึงขั้นว่าจะเป็น…ท่านที่อยู่เบื้องบนสูงส่งเลิศลอยผู้นั้น
ความอ่อนล้าอย่างรุนแรงเกาะกุมกลางใจชายหนุ่ม นอกจากความเหนื่อยแล้วก็มีแต่ความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปตามแขนขาทั้งสี่ไม่หยุดหย่อนราวกับมันไหลเวียนไปพร้อมกับโลหิตในกาย พอถึงยามดึกก็จะยิ่งกำเริบหนักขึ้น
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังลอยมา จากนั้นเงาดำสายหนึ่งปรากฏขึ้นที่ข้างหน้าต่าง กระซิบบอก “ท่านแม่ทัพ ที่โถงตั้งศพมีความผิดปกติ…”
เซ่าหมิงยวนใช้สองมือยันขอบหน้าต่างกระโจนกายออกจากห้องไปทางนี้เลย เขาทิ้งกายลงพื้นอย่างไร้เสียงแล้วไต่ถามเงาดำที่โผล่มากะทันหัน “ทางนั้นเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นหรือ”
เงาดำทำน้ำเสียงละล้าละลัง “ท่านแม่ทัพ ท่านไปดูด้วยตนเองดีกว่าขอรับ”
ริมฝีปากบางของชายหนุ่มเม้มแน่น เขารุดไปที่โถงตั้งศพอย่างเร่งรีบทันที
* ดึงผมเส้นเดียวสะเทือนไปทั้งกาย หมายถึงการทำสิ่งเล็กๆ ที่ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวง