หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 104
แสงจันทร์สุกสกาวประหนึ่งน้ำค้างแข็งเกาะพื้นศิลาเขียวจนเต็ม โคมไฟสีขาวที่แขวนอยู่ใต้ชายคากวัดแกว่งตามแรงลม ทำให้ทางเดินสู่โถงตั้งศพยิ่งดูวิเวกวังเวง
เซ่าหมิงยวนวิ่งทะยานไปตลอดทางจนถึงโถงตั้งศพ โดยมีเงาดำสายนั้นตามหลังไปติดๆ อย่างปราศจากสุ้มเสียง
ภายในโถงเป็นสีขาวทุกซอกทุกมุม ทันทีที่เข้าไปใกล้ก็ได้กลิ่นเผากระดาษลอยมาจางๆ
ฝีเท้าของชายหนุ่มชะงักกึก
ผู้ใต้บังคับบัญชาข้างหลังหยุดตามแล้วกล่าวเบาๆ “ท่านแม่ทัพ ท่านดู…”
เซ่าหมิงยวนยกมือเป็นเชิงบอกให้เขาเงียบเสียง
สายลมพัดมาหอบเถ้ากระดาษในอ่างไฟซึ่งตั้งอยู่บนพื้นหน้าแท่นบูชาลอยขึ้นปลิวคว้างกลางอากาศ พวกสาวใช้ที่เฝ้าหน้าศพอยู่ด้านข้างต่างหลับสนิท ปล่อยให้เศษขี้เถ้าเหล่านั้นร่วงหล่นโปรยปรายลงบนตัวตามสบาย
มีคนผู้หนึ่งยืนนิ่งสนิทอยู่หน้าแท่นบูชา เมื่อสายตาของเซ่าหมิงยวนจับอยู่ที่ใบหน้าของคนผู้นั้น สีหน้าเขานิ่งขึงไปน้อยๆ
คนผู้นั้นไม่ขยับกาย เซ่าหมิงยวนก็ไม่ขยับกาย
หน้าแท่นบูชามีโคมไฟแขวนไว้สูงๆ เปล่งแสงสว่างดุจยามกลางวันจนเห็นสีหน้าของคนผู้นั้นได้ชัดเจนถนัดตา
ในมุมใต้เงามืดสลัวรางช่วยบดบังเรือนกายและลมหายใจของเซ่าหมิงยวนกับผู้ใต้บังคับบัญชาไว้จนสิ้น
เขาหันศีรษะไปพยักหน้ากับผู้ใต้บังคับบัญชา
ผู้ใต้บังคับบัญชาซึ่งติดตามเขามาตลอดเข้าใจความหมาย ประสานมือคารวะก่อนจะกลับไปหาคนอื่นๆ ที่เฝ้าดูโถงตั้งศพอยู่ในที่ลับอย่างเงียบเชียบ เขาส่งสัญญาณมือแล้วทุกคนก็พากันถอยออกไปไกลๆ
หน้าแท่นบูชา นอกจากสาวใช้หลายคนที่ส่งเสียงกรนดังเป็นทอดๆ เหลือคนเพียงสองคนที่ตื่นอยู่ หนึ่งคนในที่ลับหนึ่งคนในที่แจ้ง
ครั้นลมโชยมา ดอกไม้สีขาวประดับแท่นบูชาที่ทำจากผ้าไหมเสียดสีกันจนบังเกิดเสียงสวบๆ เบาหวิว ขี้เถ้าสีดำในอ่างไฟปลิวลอยมาตกอยู่ข้างเท้าเซ่าหมิงยวน
คนผู้นั้นขยับกายในที่สุด
เขาจรดฝีเท้าเดินไปหยุดอยู่ข้างโลงศพที่ตั้งไว้ตรงกลาง ยื่นมือไปวางบนฝาโลง
นัยน์ตาของเซ่าหมิงยวนทอประกายกร้าววูบหนึ่ง เขาจับจ้องความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายโดยไม่ขยับกาย
คนผู้นั้นนิ่งค้างอยู่เนิ่นนานจนกระทั่งลมพัดเปลวเทียนไหววูบวาบส่องแสงวับๆ แวมๆ ระลอกหนึ่ง เขาคล้ายตัดสินใจได้แล้วจึงยกมือแง้มฝาโลงอย่างกะทันหัน
เซ่าหมิงยวนเคลื่อนกายว่องไวดุจสายลม เขาไปถึงตรงหน้าคนผู้นั้นแทบจะในชั่วพริบตา มือหนึ่งคว้ามือ อีกมือหนึ่งปิดปากของอีกฝ่ายไว้ ไม่ว่าจะดิ้นขัดขืนสุดแรงเกิดอย่างไรก็เปล่าประโยชน์ จากนั้นลากตัวตรงไปที่มุมปลอดเปลี่ยวถึงหยุดยืนนิ่ง
“อู้ๆ อี้ๆ…” พอคนผู้นั้นเห็นชัดว่าเป็นเซ่าหมิงยวนก็หยุดดิ้นรนฉับพลัน
เขาคลายมือออก มองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา
สายตาของเซ่าหมิงยวนทำให้คนผู้นั้นเก้อกระดากอย่างมาก เขาเรียกเสียงงึมงำ “พี่รอง”
สีหน้าของชายหนุ่มไม่แสดงอารมณ์ใดๆ นานครู่ใหญ่ถึงเอ่ยถามเสียงเรียบคำหนึ่ง “เจ้ายังรู้ว่าข้าเป็นพี่รองเจ้ารึ”
เซ่าซียวนก้มหน้าลง ผ่านไปครู่หนึ่งก็เงยหน้าขึ้น เขาถามอย่างไม่ยอมจำนน “ท่านคิดจะทำอย่างไรกับข้า”
เด็กหนุ่มวัยสิบสี่สิบห้า ผิวกายยังขาวนุ่มยิ่งกว่าเด็กสาว กระทั่งท่าทางไม่ยอมจำนนก็ยังดูมีชีวิตชีวาเต็มเปี่ยมราวกับว่าในแผ่นดินนี้ไม่มีสิ่งใดน่าพรั่นพรึง
ความกล้าที่โฉดเขลาเยี่ยงนี้ย่อมเป็นเพราะไม่ว่าก่อปัญหาอะไรก็มักมีคนคอยสะสางผลที่ตามมาให้เขาเสมอ
เซ่าหมิงยวนพลันรู้สึกแปลบปลาบในอก แต่น้ำเสียงเขาไร้ร่องรอยอารมณ์ใด “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
เซ่าซียวนสบตากับพี่ชาย เมื่อเขาหายแตกตื่นที่ถูกจับได้ในตอนแรกแล้วกลับเริ่มไร้ความเกรงกลัว เสียงพูดแฝงรอยท้าทายดุจปกติ “พี่รองเห็นแล้วมิใช่หรือ ข้าอยากดูพี่สะใภ้รอง”
“ดูพี่สะใภ้รอง?” เซ่าหมิงยวนเน้นเสียงถามทีละคำ ไฟโทสะค่อยๆ ลุกโชนในดวงตาทั้งคู่
มิไยว่าเป็นเหตุผลอะไร ยามดึกดื่นไร้ผู้คน น้องชายแท้ๆ ของตนเองมาแอบดูภรรยาที่ล่วงลับไปแล้วของตนในโถงตั้งศพอย่างลับๆ ล่อๆ เหมือนหัวขโมย นี่มิใช่ความรู้สึกที่น่าพิสมัยอันใดอย่างเด็ดขาด
แต่ความรู้สึกต่อต้านในใจเซ่าซียวนกลับถูกกระตุ้นขึ้นมา เขายกสองมือกอดอก พูดอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ “ใช่ ดูพี่สะใภ้รองแล้วจะเป็นไรไป นางดีต่อข้ามากเสมอ ข้าดูนางไม่ได้หรือไร ไหนเลยจะเหมือนท่านที่ไม่ใส่ใจกับการตายของนางแม้แต่น้อย…”
ไม่ทันสิ้นเสียงเขา เซ่าหมิงยวนขยุ้มคอเสื้อเขาแล้วหิ้วตัวขึ้น “เจ้าอยากดูแล้วไยต้องมาตอนดึกๆ ดื่นๆ”
เซ่าซียวนหน้าแดง ปัดมือของพี่ชายออกอย่างขุ่นเคืองใจ “ปล่อยข้านะ! เซ่าหมิงยวน เจ้ากล้าตีข้าหรือ”
สีหน้าของเซ่าหมิงยวนปึ่งชาขึ้น แต่น้ำเสียงเยือกเย็นเป็นพิเศษ เขาถามช้าๆ อย่างชัดถ้อยชัดคำ “เซ่าซียวน อะไรที่ทำให้เจ้าหลงเข้าใจผิดคิดว่าข้าซึ่งเป็นพี่ชายไม่กล้าตีเจ้า”
เขาพูดจบแล้วจับน้องชายหมุนตัวกลับหลังหันอย่างสบายๆ ง้างขาเรียวยาวขึ้นถีบตรงไปที่บั้นท้ายของอีกฝ่าย
เซ่าซียวนล้มคว่ำไปบนพื้นครางโอดโอยเสียงหนึ่ง เขาตะเกียกตะกายชั่วครู่ใหญ่ถึงลุกขึ้นได้อย่างทุลักทุเล รู้สึกเจ็บจนน้ำตาไหลออกมา เขาปาดมันทิ้งพร้อมกล่าวขึ้น “เซ่าหมิงยวน เจ้า…เจ้ากล้าตีข้าจริงๆ รึ ไม่กลัวข้าฟ้องท่านแม่ใช่หรือไม่…”
เซ่าหมิงยวนยื่นมือไปกระชากตัวเขาขึ้นมาอีกครา พูดเอื่อยๆ “ฟ้องท่านแม่หรือ”
เซ่าซียวนเชิดหน้าขึ้น ว่าอย่างไร กลัวแล้วสินะ?
แต่พี่ชายที่ตัวสูงกว่าเขาเป็นคืบเพียงแค่นหัวเราะเสียงหนึ่งแล้วไม่พูดพร่ำทำเพลง ถีบบั้นท้ายเขาอีกเป็นคำรบที่สอง
เซ่าซียวนถูกถีบล้มไปบนพื้นดังเก่า คุณชายน้อยผู้สุขสบายบนกองเงินกองทองนั้นรู้สึกเจ็บชาบั้นท้ายไปหมดจนหนนี้ลุกไม่ขึ้นแล้ว
แต่ยังนับว่าเขามีศักดิ์ศรีอยู่ รู้ว่าร้องโวยวายในเวลาค่ำมืดดึกดื่นมิใช่เรื่องดีอะไรจึงอดกลั้นไว้ไม่เปล่งเสียงออกมา
เซ่าหมิงยวนย่อกายลง ยื่นมือคว้าตัวน้องชายขึ้นมาประสานสายตากัน “เซ่าซียวน มองข้า”
คุณชายสามสกุลเซ่าโตมาจนป่านนี้ไม่เคยโดนซ้อมมาก่อนก็คิดจะเบือนหน้าหนีอย่างหัวแข็ง แต่ยังไม่หายขยาดจากการโดนถีบบั้นท้ายเมื่อครู่ เขามองลึกเข้าไปในดวงตาเฉยชาที่ใกล้แค่เอื้อมคู่นั้น
เซ่าหมิงยวนเลิกคิ้วเล็กน้อย เอ่ยถามเสียงเย็นๆ “เซ่าซียวน เจ้าอายุเท่าไรแล้ว”
“สิบสี่ เหตุใดรึ” เซ่าซียวนเอ่ยถามอย่างกระฟัดกระเฟียดแล้วพูดเยาะๆ “คนที่เข่นฆ่าผู้คนทุกวันเยี่ยงเจ้าย่อมจำเรื่องนี้ไม่ได้เป็นธรรมดา”
เซ่าหมิงยวนไม่แยแสกับถ้อยคำถากถางของเขาแต่อย่างใด กล่าวเสียงเรียบ “ในเมื่อไม่ต้องกินนมแล้ว พอโดนซ้อมยังจะร้องหามารดาอีกหรือ”
“เจ้า…” เด็กหนุ่มในวัยนี้จะทะนงในศักดิ์ศรีเป็นพิเศษ ครั้นเจอกับคำถามนี้ของเซ่าหมิงยวน เซ่าซียวนหน้าแดงก่ำทันใด เอาแต่มองตาขวางไม่พูดไม่จา
เซ่าหมิงยวนคลายมือออก เสียงพูดยิ่งราบเรียบขึ้น “เอาล่ะ กลับไปเสีย”
เขาเพ่งสายตามองน้องชายคนเล็ก เก็บงำความรู้สึกทุกอย่างไว้ใต้ดวงตาเย็นเยียบวาววามดุจดาวเหมันต์ “ข้าไม่สนใจว่าเจ้ามีเหตุผลอะไร จงจำไว้ว่าอย่าให้มีซ้ำสอง”
แม้นจะเป็นต้นฤดูร้อน ทว่าแสงจันทร์เย็นเยือกดวงดาราริบหรี่ เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเซ่าหมิงยวนรู้สึกเจ็บระบมตรงบั้นท้าย ทำให้เขาไร้ความกล้าจะเถียงกลับ
เด็กหนุ่มคิดคำนึงในใจ พี่รองของเขาเป็นจอมปีศาจที่สังหารคนตาไม่กะพริบ วันนี้คืนมืดลมแรง ขืนเขาปะทะตรงๆ ต่อไป จอมปีศาจตัวนี้อาจจะขุดหลุมฝังเขาก็เป็นได้กระมัง
คนที่ฆ่าได้กระทั่งพี่สะใภ้รอง แน่นอนว่าไม่มีเรื่องใดที่ทำไม่ได้
เซ่าซียวนทำเสียงฮึขึ้นจมูก ถือเป็นคำตอบแล้วหมุนกายจากไป
เซ่าหมิงยวนยืนอยู่ที่เดิม ไม่เหนี่ยวรั้งและไม่เปล่งเสียงใดๆ
เขานิ่งเงียบมองดูเด็กหนุ่มที่เดินห่างไประยะหนึ่งแล้วหยุดฝีเท้าเหลียวหน้ากลับมา
“พี่รอง ข้าไม่สนใจว่าอีกหน่อยท่านจะตบแต่งภรรยาเช่นใด ถึงอย่างไรในใจข้ามีพี่สะใภ้รองเพียงผู้เดียว”
สายลมเย็นเฉียบ แสงเดือนเหน็บหนาว เซ่าหมิงยวนถอนใจเบาๆ เฮือกหนึ่งก่อนพูดเอื่อยๆ “เจ้าจำได้ว่านางเป็นพี่สะใภ้รองก็พอ”
เขาหมุนกายสาวเท้าก้าวใหญ่แยกไปก่อน ไม่นานนักก็หายลับไปในม่านราตรี
เซ่าซียวนนิ่งอึ้งไปเป็นนาน เขายกมือเช็ดๆ ตาแล้วออกเดินโขยกเขยกกลับไป
ในโถงตั้งศพ เพราะเสียงครางโอดโอยที่ดังแว่วขึ้นเมื่อครู่นี้ ปลุกพวกสาวใช้ที่เฝ้าผลัดดึกให้ตื่นขึ้นในชั่วพริบตา พวกนางนั่งล้อมวงกันเผากระดาษเงินกระดาษทองพลางเริ่มซุบซิบนินทา
“ท่านแม่ทัพ…” ผู้ใต้บังคับบัญชาที่เฝ้าดูทางนี้อยู่ห่างๆ เห็นเซ่าหมิงยวนเดินมาก็เรียกขานเสียงต่ำ