หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 105
บทที่ 105
ชายหนุ่มออกคำสั่งหัวหน้ากลุ่มด้วยสีหน้านิ่งเฉย “ผลัดเปลี่ยนเวรกันให้ดี อย่าอดนอนจนเสียสุขภาพ จำไว้ว่าวันหน้าพบเจอเหตุการณ์ทำนองนี้อีก ไล่ตะเพิดออกไปเลย”
“ขอรับ”
เซ่าหมิงยวนไม่กล่าวคำใดอีก หมุนกายกลับห้องไป
ภายในห้องเงียบเชียบ เทียนมอดไหม้หมดเล่มไปนานแล้วเหลือไว้แค่น้ำตาเทียนกองหนึ่ง ดีที่มีแสงจันทร์แทงลอดเข้ามาทางช่องหน้าต่าง ฉาบทาเครื่องเรือนที่ตั้งอยู่ข้างในด้วยประกายแสงเรื่อๆ ทำให้ไม่ต้องจุดโคมก็แลเห็นได้ชัดเจน
อาหารบนโต๊ะเย็นชืด คราบมันเยิ้มๆ ส่งกลิ่นเลี่ยนเอียนฉุนกึก ต่อให้เป็นคนที่อยากอาหารอยู่ก็ยังคร้านจะขยับตะเกียบ
เซ่าหมิงยวนไม่อยากเรียกคนมาเก็บกวาดอีก เขาเปิดประตูออกไปที่ห้องหนังสือ
ห้องหนังสือสว่างไสวกว่าห้องนอนอยู่บ้าง คันธนูด้ามยาวที่แขวนอยู่บนผนังสะท้อนประกายเย็นเยียบ
เซ่าหมิงยวนล้มตัวลงบนตั่งนอนทั้งอาภรณ์ชุดเดิม เขาหวนนึกถึงภาพที่เซ่าซียวนเอื้อมมือไปลูบฝาโลงศพหน้าแท่นบูชาแล้วรู้สึกอึดอัดตรงกลางอกอยู่สักหน่อย
เจ้าเด็กบัดซบผู้นั้น เขารู้หรือไม่ว่าตนเองทำอะไรอยู่
เซ่าหมิงยวนพลิกกายคราหนึ่ง จิตใจทุรนทุรายราวกับตกลงในหม้อน้ำมันร้อนและถูกเคี่ยวกรำทีละน้อยๆ
ในโถงตั้งศพสว่างไสวเหลือเกิน สายตาของเขาก็ดีมาก เห็นสีหน้าของน้องชายคนเล็กได้ชัดถนัดตา
เซ่าหมิงยวนหลับตาลง ถอนใจแผ่วเบาเฮือกหนึ่ง
น้องสามเป็นเด็กหนุ่มที่ยังไม่โตเต็มที่ เขาบังเกิดความคิดพรรค์นั้นส่งเดชได้เช่นไร
เซ่าหมิงยวนไม่อยากคิดให้ลึกลงไปอีก เขายอมเชื่อว่าตนเองคิดมากไปเอง
คนบนตั่งนอนอย่างกระสับกระส่าย เป็นเหตุให้พิษเย็นที่แล่นพล่านอยู่ในกายกำเริบหนักมากขึ้น ใต้แสงจันทร์หน้าผากเขามีเม็ดเหงื่อเล็กๆ ผุดพราย
เซ่าหมิงยวนลุกขึ้นนั่งสวมรองเท้าแล้วเปิดประตูก้าวออกจากห้อง
เขาเดินไปถึงเรือนหอตอนแต่งงานโดยไม่รู้ตัว
ในลานเรือนเงียบสงบดังเก่า กลิ่นหอมของใบป้อเหอตรงข้ามกำแพงยิ่งฉุนแรง ส่วนดอกสายน้ำผึ้งบนระแนงไม้ยังคงเบ่งบานพราวสะพรั่งเต็มต้น
ชายหนุ่มยืนมองอยู่หน้าระแนงดอกไม้เงียบๆ
เฉียวซื่อเป็นคนเช่นใดกันแน่นะ
ในความคิดเขา นางเป็นคนเข้มแข็งกล้าหาญ บางทีอาจจะอ่อนโยนอีกด้วย
จริงสิ เขารู้แล้วว่านางมีชื่อก่อนออกเรือนว่า ‘เจา’ ที่แปลว่าแจ่มแจ้งเหมือนในคำว่า ‘นักปราชญ์พึงรู้เองให้แจ่มแจ้ง จึ่งสอนผู้อื่นให้รู้แจ่มแจ้ง’
เซ่าหมิงยวนเหยียดมือไปลูบไล้ดอกสายน้ำผึ้งสีขาวแซมเหลืองทองอ่อน เขายิ้มเยาะตนเอง
ช่างน่าขันจริงๆ ตอนนางยังอยู่ ต้องจับเจ่าในเรือนหลังน้อยแห่งนี้ตามลำพัง ส่วนเขาวุ่นวายอยู่กับการขับไล่ข้าศึกศัตรู ครั้นนางไม่อยู่แล้ว เขาถึงเริ่มทำความรู้จักนาง ใกล้ชิดนาง
เซ่าซียวนเดินกระย่องกระแย่งกลับถึงห้อง เห็นเสิ่นซื่อฮูหยินของจิ้งอันโหวนั่งรอตนอยู่ในโถงเรือน
“ท่านแม่ ท่านอยู่ที่นี่ได้อย่างไรขอรับ”
เด็กรับใช้ด้านข้างส่งสายตาบอกเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย
“เจ้าสาม ขาเจ้าเป็นอะไรไป ไฉนเดินกะโผลกกะเผลก”
“ข้า…” เซ่าซียวนอ้าปากจะฟ้องมารดา แต่นึกถึงที่พี่ชายคนรองเหน็บแนมว่าเขาไม่กินนมแล้วจึงกลืนถ้อยคำกลับลงคอไป กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ไม่ระวังเลยหกล้มขอรับ”
เสิ่นซื่อรีบลุกขึ้นเดินไปหา ประคองแขนบุตรชายพลางมองสำรวจขึ้นๆ ลงๆ “กระแทกตรงที่ใด รุนแรงหรือไม่ ซู่เตี๋ย ไปตามหมอมาเร็วเข้า”
“ไม่ต้องขอรับ ท่านแม่ ข้าไม่อะเป็นไร แค่หกล้มเท่านั้นเอง” เซ่าหมิงยวนร้องห้ามทันที
“ถึงอย่างนั้นก็ต้องดูว่ามีตรงที่ใดถลอกปอกเปิกไปหรือไม่…”
“ไม่ต้องๆ ถ้าเป็นแผลถลอก ประเดี๋ยวข้าทายาขี้ผึ้งก็ได้ขอรับ” เพื่อยืนยันว่าตนไม่เป็นอะไร เซ่าซียวนทนความเจ็บที่บั้นท้ายกระโดดขึ้นลง ใครจะรู้ว่าเขาประเมินตนเองสูงไป จนต้องทำปากเบ้อย่างห้ามไม่อยู่พร้อมกับลอบด่าในใจ
พี่รองบัดซบ เตะแรงเกินไปแล้วนะ!
สายตาของเสิ่นซื่อมองดูอยู่ แต่นางเห็นบุตรชายไม่อยากยอมรับก็มิได้เปิดโปงเขา เพียงถามไถ่ขึ้น “ดึกป่านนี้แล้ว เหตุใดไม่อยู่ในห้อง”
“อ๋อ ตอนเย็นข้ากินมากเกินไปก็เลยออกไปเดินเล่นขอรับ ท่านแม่มาที่นี่มีเรื่องอันใดหรือขอรับ”
เสิ่นซื่อขมวดคิ้วพูดดุบุตรชาย “ไหนบอกว่าปวดศีรษะอยากเข้านอนแต่หัววันมิใช่หรือ เหตุใดยังออกไปเดินเล่นอีก ถึงตอนนี้จะเข้าฤดูร้อนแล้ว แต่ตกดึกอากาศยังเย็นอยู่ เกิดโดนลมเย็นขึ้นมาจะทำประการใดดี”
นางเห็นท่าทางไม่อนาทรร้อนใจของบุตรชายแล้วมองค้อนเขาวงหนึ่ง “เจ้าอยากให้แม่เหนื่อยใจกระมัง หากมิใช่เป็นห่วงว่าตอนกลางคืนเจ้านอนหลับไม่สบายก็เลยแวะมาดูสักหน่อย คงไม่รู้ว่าเจ้าจะกระทำตัวให้ข้าต้องกลุ้มใจอย่างนี้”
“ท่านแม่ หลังจากนี้ข้ารับรองว่าจะเชื่อฟังท่าน ท่านรีบกลับไปเถอะนะขอรับ” เซ่าซียวนพูดเร่งอย่างทนเสียงบ่นของมารดาไม่ไหว
“ก็ได้ เจ้าให้เด็กรับใช้ดูว่ามีตรงที่ใดฟกช้ำหรือไม่ รีบทายาไวๆ แล้วนอนพักเสีย”
เซ่าซียวนออกไปส่งเสิ่นซื่อแล้วถึงถอนใจโล่งอก เขาตะโกนเรียกเด็กรับใช้ “ไหลฝู มาดูบั้นท้ายข้าเร็วเข้า เจ็บจะตายอยู่แล้ว”
เวลาผ่านไปสองเค่อ สาวใช้นางหนึ่งในเรือนเซ่าซียวนมุ่งหน้าไปที่เรือนกลาง จากนั้นถูกพาไปที่ห้องของเสิ่นซื่ออย่างลับๆ
“คุณชายสามเป็นอะไรกันแน่”
สาวใช้ยืนกุมมือกล่าวรายงานอย่างสำรวม “ข้าแอบได้ยินว่าดูเหมือนคุณชายสามจะโดนคุณชายรองถีบบั้นท้าย…”
เสิ่นซื่อฟังแล้วใบหน้าละม้ายฉาบด้วยน้ำแข็งชั้นหนึ่ง ยกมือตบเท้าแขนเก้าอี้สุดแรง “เจ้า…เจ้าเดรัจฉาน! นั่นเพราะเรื่องอะไร”
สาวใช้ก้มหน้างุดด้วยความตกใจ “เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้แล้วเจ้าค่ะ ได้ยินแค่ว่าคุณชายสามด่าคำหนึ่ง ดูเหมือนไม่อยากให้ใครรู้ ยังกำชับไหลฝูว่าห้ามบอกคนอื่นเจ้าค่ะ”
เสิ่นซื่อยิ่งฟังยิ่งเดือดดาลจนมือสั่นเทาไปหมด “หรือว่าเจ้าเดรัจฉานนั่นข่มขู่เจ้าสามเชียว! เจ้าเดรัจฉาน ข้าน่าจะเอาขี้เถ้ายัดปากให้ตายไปตั้งแต่เด็กเสียก็ดี”
สาวใช้ก้มหน้าจนคางจรดอก ไม่กล้าพูดตอบมากขึ้นไปอีก
“เอาล่ะ เจ้ากลับไปเถอะ วันหน้าคุณชายสามเข้าใกล้คุณชายรองอีก รีบมารายงานโดยไว” เสิ่นซื่อรู้ว่าเผลอตัวไป นางสงบอารมณ์ไว้แล้วบอกให้สาวใช้ออกไป
รอกระทั่งสาวใช้ผู้นั้นออกไปแล้ว นางก็บอกกับสาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้างทันที “หวามามา เรื่องที่ข้าให้สามีเจ้าจัดการไปถึงไหนแล้ว”
หวามามากล่าวตอบอย่างว่องไว “ข้ากำลังจะบอกฮูหยินพอดีว่าสามีข้ากลับมาแล้ว วันนี้เพิ่งเข้าประตูเรือนมาเลยเจ้าค่ะ”
“เป็นอย่างไรบ้าง”
“ฮูหยินวางใจได้ ที่ซื้อมาเป็นม้าผอมหยางโจว* ขนานแท้ดั้งเดิม ยังเลือกระดับชั้นหนึ่งในนั้นด้วยเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดี” เสิ่นซื่อพยักหน้า “ลำบากสามีเจ้าแล้ว พรุ่งนี้ไปรับรางวัลที่ห้องบัญชี รอให้ของที่ซื้อมาใช้ประโยชน์ได้จริงๆ ยังจะตกรางวัลให้อย่างงามอีกที”
“ขอบคุณฮูหยิน ท่านวางใจได้เต็มที่ ข้าได้เห็นม้าผอมหยางโจวคู่นั้นกับตา ขอแค่เป็นชายหนุ่มปกติคนหนึ่งก็ต้องห้ามใจไม่อยู่เจ้าค่ะ”
เสิ่นซื่อขึงตาใส่หวามามา “เฝ้าเอาไว้ให้ดี อย่าให้ก่อเรื่องวุ่นวายเหลวไหลขึ้นก็แล้วกัน”
“เจ้าค่ะ”
ในเวลานี้เสิ่นซื่อยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มคำหนึ่ง รอยยิ้มเยาะหยันผุดขึ้นตรงมุมปากบางๆ
เจ้าเด็กเนรคุณนั่นไปอยู่ต่างถิ่นมานาน ในค่ายทหารก็ไม่มีแม้แต่แมลงวันตัวเมียสักตัว นางไม่เชื่อว่าเขาจะไม่หวั่นไหวกับม้าผอมหยางโจวอันเลื่องชื่อลือชาได้
ขอเพียงเขาตบะแตก ที่บอกว่าไว้ทุกข์ให้ภรรยาก็จะกลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะ นางจะดูว่าถึงตอนนั้นเขาจะทำหน้าอย่างไร
* ม้าผอมหยางโจว เป็นคำเรียกหญิงโสเภณี มีที่มาจากสมัยโบราณหยางโจวเป็นเมืองท่าทางเศรษฐกิจที่เฟื่องฟู นายหน้ามักจะเลือกซื้อเด็กสาวเพื่อไปเป็นนางโลมด้วยวิธีเช่นเดียวกับการซื้อม้า คือเลือกที่ผอมแห้งเพราะราคาถูกแล้วค่อยขุนให้สมบูรณ์เพื่อเพิ่มราคาในภายหลัง