หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 106
บทที่ 106
ในราตรีที่คลื่นลมสงบนิ่งนี้ ไม่รู้มีกี่คนที่ข่มตานอนไม่หลับ แล้วก็มีอีกกี่คนที่เข้าสู่นิทราอย่างแสนสุข
เฉียวเจานอนหลับเต็มอิ่ม นางตื่นแต่เช้าก็ไปคารวะพวกอาวุโส ตอนเพิ่งกลับถึงเรือนหยาเหอไม่นาน ปิงลวี่ก็หยิบเทียบใบหนึ่งเข้ามาบอกอย่างตื่นเต้นดีใจ “คุณหนู เป็นเทียบของจวนเสนาบดีเจ้าค่ะ”
ด้วยเป็นเทียบตามความคาดหมาย หญิงสาวจึงรับมาด้วยสีหน้าท่าทางสงบเยือกเย็น
ซองเทียบสีพื้นวาดลายดอกไห่ถังสีดำ แกะเปิดออกเป็นกระดาษสารที่งามเจริญตาเจริญใจเขียนด้วยตัวอักษรเสี่ยวข่ายปิ่นดอกไม้* ทั้งหมดนี้บ่งบอกให้รู้ว่าผู้เป็นเจ้าของที่ออกเทียบมีอารมณ์สุนทรีย์และฉลาดปราดเปรื่อง สอดคล้องกับฐานะหลานสาวของเสนาบดีกรมพิธีการควบตำแหน่งหัวหน้าสำนักราชบัณฑิตอย่างยิ่งยวด
ทว่าเฉียวเจาอ่านแล้ว สีหน้าที่นิ่งสนิทกลับแปรเปลี่ยนไป
เทียบถูกส่งผิดเสียแล้ว
ใบนี้มิใช่เทียบเชิญนางไปเป็นแขกที่จวนเสนาบดี แต่เป็นเทียบแจ้งว่าหลีเจียวถูกถอนชื่อออกจากชุมนุม
เฉียวเจาหลุบเปลือกตาลงนิ่งคิดเล็กน้อย นางพลิกซองเทียบดูปราดหนึ่ง เห็นชื่อผู้รับเทียบคือคุณหนูรองจวนสกุลหลีอยู่บนนั้นตามคาด
ถ้าเป็นเช่นนี้จะต้องมีเทียบอีกใบหนึ่งอยู่ในมือหลีเจียวเป็นแน่ แล้วใบนั้นต่างหากที่ควรเป็นของนาง
นับแต่อาจารย์สอนเขียนพู่กันลาออกจากสำนักศึกษาหญิงของจวนตะวันออก อีกทั้งหลีเจียวทำเรื่องขายหน้าในห้องเรียนดีดพิณอีกจนไม่อยากไปเข้าเรียน หลายวันมานี้สำนักศึกษาหญิงจึงหยุดพักชั่วคราว
เฉียวเจาไม่เห็นหลีเจียวมาสองสามวันแล้ว วันนี้คนส่งเทียบยังซุ่มซ่ามทำพลาดอย่างนี้อีก ส่งผลให้นางจำต้องไปที่จวนตะวันออกสักครั้ง ไม่เช่นนั้นด้วยท่าทีของหลีเจียวในตอนนี้ที่แทบอยากกินเลือดกินเนื้อนางใจจะขาด นางจะคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะนำเทียบมาคืนตามมารยาทนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้เลย
เฉียวเจายื่นมือหยิบเสื้อคลุมตัวนอกที่วางพาดบนฉากกั้นมาสวม เอ่ยสั่งปิงลวี่ “ไปจวนตะวันออก”
ปิงลวี่ย่อมไม่รู้ว่าเทียบผิดใบ นางกล่าวถามอย่างฉงนใจ “คุณหนูจะไปจวนตะวันออกด้วยเหตุใดกันเจ้าคะ”
“เทียบเป็นของคุณหนูรอง”
“อะไรนะ ของคุณหนูรอง?” ปิงลวี่ตกใจ นางมองเทียบที่เฉียวเจาถือไว้ในมืออย่างรังเกียจมาก “รู้แต่แรกข้าจะได้โยนเข้าห้องเวจไปเลย”
เฉียวเจา “…” เห็นแล้วกระมัง ขืนนางไปที่นั่นชักช้า อีกประเดี๋ยวเทียบของนางน่าจะพบกับจุดจบเช่นนี้!
แม่นางเฉียวที่คับอกคับใจอยู่รีบพาสาวใช้ไปยังจวนตะวันออก
คุณหนูสี่คนของจวนตะวันตกล้วนอยู่รวมกับบิดามารดาของตนในเรือนหลังใหญ่ ทว่าหลีเจียวผู้เปรียบดั่งไข่มุกในอุ้งมือของชาวจวนตะวันออกมีเรือนแยกต่างหาก มีชื่อว่า ‘เรือนเทียนเซียง’
ในเรือนเทียนเซียงขณะนี้ หลีเจียวกำเทียบเชิญคุณหนูสามสกุลหลีไปเป็นแขกที่จวนเสนาบดีของซูลั่วอีไว้ในมือด้วยความโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
“มันเรื่องอะไรกัน ส่งเทียบใบเดียวยังผิดพลาดได้ นำเทียบของหลีซานมาส่งที่เรือนข้า นี่มิใช่เป็นการกวนโทสะข้ารึ” หลีเจียวยิ่งพูดยิ่งฉุนเฉียว เพราะบ่าวรับใช้ในเรือนล้วนเป็นคนสนิท นางไม่ต้องเป็นห่วงว่าภาพลักษณ์จะเสียหาย จึงยกขาถีบม้านั่งตัวหนึ่งจนล้มตะแคงกับพื้น
หานจูกับฟางหรุ่ย สาวใช้ประจำตัวสองคนต่างไม่กล้าปริปาก
หมู่นี้คุณหนูรองนับวันยิ่งเจ้าอารมณ์มากขึ้น พลอยให้โมโหร้ายไปด้วย คนที่ปรนนิบัติรับใช้ใกล้ตัวอย่างพวกนางเลยลำบากมากที่สุด
“อัปมงคลจริงๆ” หลีเจียวโยนเทียบใส่อ้อมแขนของหานจู พูดอย่างชิงชังว่า “ส่งไปที่จวนตะวันตก อย่าให้อยู่ขวางหูขวางตาข้า”
“เจ้าค่ะ” หานจูถือเทียบด้วยสองมือรีบเร่งเดินออกไป
“ประเดี๋ยวก่อน…” หลีเจียวส่งเสียงเรียกไว้ ดวงตาเรียวยาวหรี่ลง นางออกคำสั่ง “เอาเทียบกลับมา”
หานจูเคยชินกับอารมณ์ที่ปรวนแปรของผู้เป็นนายแต่แรก กุลีกุจอยื่นเทียบส่งให้
หลีเจียวใช้นิ้วมือขาวกระจ่างสองนิ้วคีบเทียบไว้ ปรายตามองที่ซองแวบหนึ่ง
‘ส่งเทียบถึง คุณหนูสามสกุลหลี’
ตัวอักษรงดงามสละสลวยกลับจุดไฟริษยาขึ้นในใจหลีเจียวระลอกหนึ่ง
หลีซานบังเอิญโชคดีอะไรกันแน่ ไฉนตั้งแต่ถูกล่อลวงไปแล้วไม่เพียงไม่ต้องอยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว กลับผยองเจียนคับฟ้าอยู่แล้ว ได้หน้าได้ตาหนแล้วหนเล่าไม่ว่า นางยังผูกไมตรีกับซูลั่วอีตั้งแต่เมื่อไรกัน
บรรดาเหล่ารองหัวหน้าชุมนุมฟู่ซานนั้น หลันซีหนงหลานสาวของสมุหราชเลขาธิการหลันทะนงตนที่สุด สวี่จิงหงหลานสาวของรองสมุหราชเลขาธิการสวี่เฉยเมยที่สุด จูเหยียนคุณหนูเจ็ดของจวนไท่หนิงโหวเงียบขรึมที่สุด เจียงซือหร่านบุตรสาวโทนของผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินร้ายกาจที่สุด ส่วนซูลั่วอีหลานสาวของเสนาบดีกรมพิธีการนั้นหมกมุ่นที่สุด
พวกนางล้วนเป็นบุคคลสำคัญในชุมนุมฟู่ซานซึ่งต่างมีจุดเด่นของตนเอง ไม่มีคนใดไม่ได้มาจากวงศ์ตระกูลที่ทรงอำนาจมีชื่อเสียงขจรขจาย คนใดที่เข้าตาหนึ่งในพวกนาง คนผู้นั้นก็จะคลุกคลีอยู่ในแวดวงสตรีสูงศักดิ์ของเมืองหลวงได้ตามสบาย
หรือว่าถูกล่อลวงไปยังจะได้โชควาสนาติดตัวเป็นผลพลอยได้ หลีซานถึงกับจะได้เข้าไปอยู่ในชุมนุมฟู่ซานโดยไม่มีวี่แววมาก่อน
หลีเจียวไม่โง่เขลา แม้ว่านี่เป็นแค่เทียบเชิญคุณหนูสามสกุลหลีไปเป็นแขกที่จวนเสนาบดี แต่ทันทีที่หลีซานเข้าตาซูลั่วอี ก้าวต่อไปก็คือเข้าร่วมชุมนุมฟู่ซาน
หลีเจียวยิ่งคิดยิ่งคับแค้นใจ นางต้องมุมานะฝึกฝนทุกวัน ถึงมีสิทธิ์เข้าชุมนุมเพราะคัมภีร์พระธรรมได้รับเลือกจากภิกษุชั้นผู้ใหญ่ของวัดต้าฝูในวันประสูติของพุทธองค์เมื่อปีก่อน แล้วหลีซานอาศัยอะไรถึงได้เข้าร่วมชุมนุมฟู่ซานอย่างง่ายดายเพียงนี้
ทั้งที่คนพวกนี้ไม่เคยเห็นตัวอักษรที่หลีซานเขียนมาก่อนด้วยซ้ำ
ไม่ถูก หากจะเชิญชวนหลีซานเข้าชุมนุมเพราะลายมือของนาง คงไม่เพิ่งส่งเทียบใบนี้มาตอนนี้
หลีเจียวจ้องมองเทียบในมืออย่างเหม่อลอย
ท่านแม่พร่ำสำทับนางว่ายามพบปัญหาจะใจร้อนไม่ได้อีก ให้สงบอารมณ์ไว้ถึงจะเกิดความผิดพลาดน้อย
หลีเจียวผ่อนลมหายใจช้าลงจนจิตใจเยือกเย็นลง ความคิดในสมองก็แล่นเร็วรี่ขึ้น
หรือว่าหลีซานดึงดูดความสนใจของซูลั่วอีได้จากเหตุผลอื่น พวกรองหัวหน้าชุมนุมเห็นพ้องต้องกันไม่ใช่เพราะเรื่องคัมภีร์พระธรรม
หากเป็นอย่างนี้…
นางเลื่อนสายตาไปหยุดที่เทียบสีพื้นลายดอกไห่ถังสีดำ
“หานจู หยิบกรรไกรมา” ในดวงตาหลีเจียวมีแววกร้าวจุดขึ้นวูบหนึ่ง นางบอกขึ้นเสียงดัง
หานจูอึ้งไปเล็กน้อยแล้วรีบพยักหน้าก่อนผู้เป็นนายจะบันดาลโทสะ “เจ้าค่ะ”
ไม่ถึงชั่วครู่หานจูก็หยิบกรรไกรเล่มหนึ่งจากในตะกร้าเย็บปักถักร้อยมาให้ หลีเจียวรับไว้แล้วกัดริมฝีปาก ถือกรรไกรจ่อที่เทียบตั้งท่าจะตัด บังเอิญว่าในจังหวะนี้เองฟางหรุ่ยนำเรื่องที่ได้รับรายงานเข้ามาบอกให้ทราบ “คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูสามของจวนตะวันตกมาเยือน”
มือข้างที่ถือกรรไกรไว้ของหลีเจียวชะงักนิ่ง
หลีซาน?!
นางมองเทียบในมือแล้วอดเลิกคิ้วขึ้นไม่ได้
หลีซานมาเพื่อเทียบใบนี้หรือ นางรู้ข่าวไวไปแล้วกระมัง
หึๆ ในเมื่อคนมาแล้ว เทียบใบนี้ก็ไม่ต้องรีบตัด
หลีเจียววางกรรไกรลงแล้วเอาเทียบสอดเข้าใต้หมอน นางยกมือจับเรือนผมให้เข้าที่ก่อนบอกเสียงเย็นๆ “เชิญนางเข้ามา”
วันนี้นางจะดูท่าทางร้อนใจดุจไฟลนของหลีซานให้เต็มตา ต่อให้หลีซานคุกเข่าอ้อนวอนตรงข้างเท้า นางก็ไม่คืนเทียบให้
หลีเจียวคิดถึงภาพนั้น มุมปากก็มีรอยยิ้ม
เฉียวเจารออยู่ด้านข้างครู่หนึ่งก็ถูกเชิญเข้าไป พอเห็นหลีเจียวอมยิ้มตรงมุมปากก็ประจักษ์แจ้งแก่ใจว่า เทียบอยู่กับหลีเจียวตามคาด
สีหน้าท่าทางลำพองใจแกมตั้งตารอคอยของอีกฝ่ายทำให้เฉียวเจานึกขันอยู่บ้าง
ความน่าสนใจของเรื่องอยู่ที่ตรงนี้ นางรู้ว่าจวนเสนาบดีส่งเทียบมาสองใบ หนึ่งใบอยู่ที่นี่ หนึ่งใบอยู่ในมือหลีเจียว ทว่าหลีเจียวไม่รู้ว่ามีเทียบอีกใบอยู่
“น้องสามมาตั้งแต่เช้าตรู่มีเรื่องใดหรือ”
เฉียวเจาไม่นึกสนุกอยากประมือกับเด็กสาวผู้หนึ่ง นางพูดตรงเข้าเรื่องทันที “จวนเสนาบดีกรมพิธีการส่งเทียบมาให้ข้าใบหนึ่ง อยู่ที่พี่เจียวกระมัง”
“อยู่แล้วจะมีอันใด ไม่อยู่แล้วจะมีอันใด” หลีเจียวเอนกายอยู่บนตั่งมองเฉียวเจาอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง
“ถ้าอยู่ที่พี่เจียว โปรดคืนเทียบให้ข้าด้วย ข้าขอขอบคุณท่านไว้ตรงนี้ก่อน ถ้าไม่อยู่ล่ะก็…” เฉียวเจาปรายตาเล็กน้อยไปทางหมอนที่ดูเอียงๆ เล็กน้อย อมยิ้มพลางกล่าวว่า “น่าจะเป็นพี่เจียวเอามันซ่อนไว้ใต้หมอนกระมัง พี่เจียวชอบล้อเล่นกับข้าจริงๆ นะเจ้าคะ”
หลีเจียวทำสีหน้าเหมือนโดนผีหลอก “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
เฉียวเจายกยิ้ม บนตู้ตรงหัวเตียงใกล้ๆ มือหลีเจียววางกรรไกรไว้เล่มหนึ่ง ดูจากตำแหน่งของมันแล้วเป็นการวางแบบส่งเดช แล้วของมีคมเป็นอันตรายจำพวกนี้ไม่มีทางที่จะปรากฏอยู่ตรงนั้น ถ้ามิใช่เพราะฉุกละหุกเกินไปเลยเก็บขึ้นไม่ทัน
จากจุดนี้เห็นได้ว่าระหว่างที่นางรอขออนุญาตเข้าเรือน หลีเจียวเตรียมจะตัดเทียบของนาง เหตุการณ์ต่อจากนั้นก็ยิ่งคาดเดาได้ง่าย หลีเจียววางกรรไกรลงและซ่อนเทียบ แล้วยังจะมีที่ใดสะดวกไปกว่าใต้หมอนอีกเล่า
“พี่เจียวล้อเล่นกับข้าจริงๆ ด้วย” แม่นางเฉียวยื่นมือขาวนุ่มนิ่มออกไป “ตอนนี้พี่เจียวคืนให้ข้าได้หรือยัง”
* อักษรเสี่ยวข่ายปิ่นดอกไม้ เป็นตัวอักษรบรรจงที่มีลักษณะอ่อนช้อยสละสลวย ออกแบบโดยเว่ยฟูเหริน นักอักษรวิจิตรชื่อดังในราชวงศ์จิ้น