หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 110
ถึงสาวใช้ผู้นั้นจะสวมชุดสาวใช้ของจวนเสนาบดี ทว่าซูลั่วอียังคงมองออกในแวบแรก
ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ซูลั่วอีรู้สึกว่าแม้แต่สาวใช้ของคุณหนูสามสกุลหลีก็มีท่วงทีกิริยาสงบเยือกเย็นไม่เหมือนผู้อื่นเฉกเดียวกับผู้เป็นนาย ทำให้แยกแยะออกได้อย่างง่ายดาย
นางยืนมองอยู่หน้าประตูเงียบๆ ยิ่งมองยิ่งพิศวง
สาวใช้ผู้นั้นทำอะไรอยู่
เก็บกระดานหมากหรือ ไม่ใช่ ท่าทางนั้นของนางกำลังวางเม็ดหมากตามตำแหน่งเดิมชัดๆ!
ซูลั่วอีก้าวขาจะเดินเข้าไปแต่ยังคงห้ามใจไว้ นางยืนจนกระทั่งขาชาก็เห็นสาวใช้นางนั้นถือเม็ดหมากสีดำเม็ดหนึ่งไว้เฉยๆ อย่างลังเล จากนั้นพอผู้เป็นนายของนางยื่นนิ้วขาวเรียวยาวแตะเบาๆ ตรงจุดหนึ่งบนกระดาน มุมปากของสาวใช้ซึ่งมีสีหน้านิ่งเฉยอยู่ตลอดก็มีรอยยิ้มผุดขึ้นทันใด นางวางเม็ดหมากลงแล้วเดินไปยืนด้านข้างอย่างเรียบร้อย
ซูลั่วอีสาวเท้าเข้าไปอย่างอดใจไม่อยู่อีกต่อไป
เฉียวเจาได้ยินเสียงแล้วเหลือบตามอง นางลุกขึ้นยืนกล่าวว่า “พี่ซูกลับมาแล้วหรือ”
ซูลั่วอีพยักหน้าอย่างกระดากๆ “ปล่อยให้น้องหลีซานต้องรอนานแล้ว”
นางพูดพลางเดินไปใกล้ๆ ชำเลืองมองกระดานหมากแล้วลอบตกตะลึงยกใหญ่
เมื่อครู่นี้สาวใช้ผู้นั้นจัดวางเม็ดหมากกลับตามตำแหน่งเดิมจริงๆ
ซูลั่วอีอดมองไปทางอาจูไม่ได้
สาวใช้น้อยดูท่าทางมีวัยราวสิบห้าสิบหก ยืนปล่อยแขนไว้ข้างลำตัวอยู่ด้านข้างของผู้เป็นนายอย่างนิ่งเงียบสุขุม หากมิใช่นางเห็นกับตา ต้องคิดไม่ถึงเป็นแน่ว่าสาวใช้ที่เงียบขรึมผู้นี้ทำอะไรเมื่อครู่นี้
“สาวใช้ของน้องหลีซานมีชื่อว่าอะไรหรือ”
เฉียวเจาตวัดสายตามองอาจู
อาจูย่อเข่าแล้วกล่าวตอบอย่างเคารพนอบน้อม “เรียนคุณหนูซู บ่าวมีชื่อว่าอาจูเจ้าค่ะ”
“อาจูหรือ เป็นชื่อที่ดีจริงๆ เจ้าเดินหมากเป็นหรือไม่”
“มิบังอาจบอกว่าเป็นเจ้าค่ะ แค่ว่าพักนี้คุณหนูสอนให้บ้างเท่านั้น” เมื่อถูกซูลั่วอีซักถาม อาจูกล่าวตอบอย่างไม่โอหังไม่เจียมตน
ความรู้สึกของซูลั่วอียามมองเฉียวเจาพลันผิดแผกไปจากก่อนหน้านี้แล้ว
สาวใช้หัดเดินหมากกับเจ้านายก็สามารถจัดกระดานหมากของพวกนางเมื่อครู่กลับเป็นดังเดิมได้ เช่นนั้นฝีมือของเจ้านายสมควรอยู่ในระดับใด
นางเลื่อนสายตากลับไปที่กระดานอีกคราแล้วส่งเสียงอุทานเบาๆ หยิบเม็ดหมากขึ้น กล่าวอย่างไม่แน่ใจ “หมากเม็ดนี้…”
ดูเหมือนนางยังเดินไม่ถึงก้าวนี้
ใช่แล้ว ตอนนั้นนางเค้นสมองอย่างหนัก กำลังลังเลใจไม่รู้จะวางหมากอย่างไร ท่านย่าก็ส่งคนมาเรียกนางแล้ว ฉะนั้นยังเดินไม่ถึงก้าวนี้ ตอนนี้ดูไปหมากเม็ดนี้วางในตำแหน่งนี้กลับเหมาะสมที่สุด
ซูลั่วอีมองไปทางเฉียวเจากะทันหัน “มา น้องหลีซาน พวกเราเดินหมากกันต่อ”
ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม
ซูลั่วอีเหม่อมองสถานการณ์บนกระดานหมาก หลังนิ่งเงียบไปนานสองนาน จู่ๆ ก็ยื่นมือปัดเม็ดหมากบนกระดานจนยุ่งเหยิง จากนั้นมองไปทางอาจู เอ่ยถามเสียงเบา “อาจู ช่วยจัดหมากกลับตำแหน่งเดิมให้ข้าได้หรือไม่”
อาจูมองไปทางเฉียวเจา
เฉียวเจาพยักหน้าเบาๆ
อาจูได้รับอนุญาตจากผู้เป็นนายแล้วสืบเท้าไปข้างหน้า มือหนึ่งหยิบหมากดำ มือหนึ่งหยิบหมากขาว สลับกันวางเม็ดหมากผิวมันวาววับลงบนกระดานเม็ดแล้วเม็ดเล่า
แรกเริ่มนางวางหมากอย่างรวดเร็วแทบจะไม่หยุดคิด จวบจนถึงตอนหลังจากที่ซูลั่วอีออกไปแล้วกลับมาถึงช้าลง
ยามหมากเม็ดสุดท้ายถูกวางลง ปลายจมูกอาจูมีเม็ดเหงื่อเล็กๆ ผุดซึม แต่สีหน้ายังนิ่งสงบดุจเก่า นางแสดงคำนับต่อคนทั้งสองแล้วถอยกลับไปอยู่ข้างกายเฉียวเจา
ครู่ใหญ่ต่อมา ซูลั่วอีถอนหายใจยาวเหยียดเฮือกหนึ่ง “น้องหลีซาน วันนี้ข้ายอมศิโรราบแล้ว”
ฝีมือเดินหมากของสาวใช้นามว่าอาจูผู้นี้อาจจะยังไม่เข้าขั้นอยู่บ้าง แต่ให้เวลานางอีกสักนิดจะต้องรุดหน้าอย่างก้าวกระโดดเป็นแน่แท้
หรือจะบอกว่านี่ล้วนเป็นผลลัพธ์จากการชี้แนะของคุณหนูสามสกุลหลี
เมื่อคิดถึงตรงนี้ สายตาของซูลั่วอีที่มองเฉียวเจาก็ทอประกายวาววับ นางยื่นสองมือไปกุมมืออีกฝ่าย “น้องหลีซาน เจ้าน่าจะรู้จักชุมนุมฟู่ซานกระมัง”
“ใครบ้างจะไม่รู้จักชุมนุมฟู่ซานเล่า” เฉียวเจาถามกลับยิ้มๆ
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าเต็มใจเข้าร่วมหรือไม่”
“หากว่าทำได้ ข้าย่อมเต็มใจ”
“ตกลง น้องหลีซานอดทนรอสักพัก ข้าจะเสนอชื่อเจ้าไปก่อน เจ้าอาจจะไม่รู้ว่าตั้งแต่หัวหน้าชุมนุมของพวกข้า…จากไปแล้ว คนใหม่ที่จะเข้ามาล้วนเป็นพวกข้ารองหัวหน้าชุมนุมร่วมหารือกันหรือมีรองหัวหน้าชุมนุมสองคนลงนามเสนอด้วยกัน” ซูลั่วอีกล่าวอธิบาย
“เช่นนั้นก็รบกวนพี่ซูด้วย ข้าวาดหวังเป็นอันมากว่าจะได้เข้าร่วมชุมนุมฟู่ซานเพื่อเปิดหูเปิดตา”
ซูลั่วอีปิดปากหัวเราะ “ดีไม่ดีอาจเป็นพวกนางต่างหากจะได้เปิดหูเปิดตาจึงจะถูก”
หลังจากเฉียวเจาอำลากลับไป ซูลั่วอีก็ตรงดิ่งไปที่ห้องหนังสือ นางใคร่ครวญแล้วล้มเลิกความคิดที่จะเชิญพวกรองหัวหน้าชุมนุมมารวมตัวกัน เขียนเทียบใบหนึ่งแล้วสั่งให้คนถือไปส่งที่จวนไท่หนิงโหว
จูเหยียนกับนางสนิทสนมกันมาแต่ไหนแต่ไร เห็นสารของนางแล้วต้องยินยอมลงนามร่วมกันแนะนำคุณหนูสามสกุลหลี เพียงเท่านี้คุณหนูสามก็จะเป็นคนของชุมนุมฟู่ซานแล้ว รอเมื่อถึงการพบปะชุมนุมกันครั้งหน้า ออกเทียบให้นางเลยก็เป็นอันเรียบร้อย
ข้างฝ่ายเฉียวเจาออกจากจวนเสนาบดีซูแล้วสาวเท้าไปทางรถม้าที่จอดอยู่ใต้ต้นไม้ริมถนนพร้อมกับอาจู นางเดินสวนกับชายฉกรรจ์หน้าดำขายถังหูลู่ผู้หนึ่ง นางเดินห่างไปหลายจั้งแล้วหยุดฝีเท้า หมุนกายย้อนกลับไปหาเขา
ชายฉกรรจ์หน้าดำเผยรอยยิ้มซื่อๆ “แม่นางน้อย อยากกินถังหูลู่หรือไม่ ทั้งลูกใหญ่ทั้งรสหวานนะ”
เฉียวเจาพิศดูชายฉกรรจ์หน้าดำชั่วอึดใจแล้วพยักหน้าอย่างมั่นใจ “พี่ชาย พวกเราพบกันอีกแล้ว”
“เอ๊ะ!” ชายฉกรรจ์หน้าดำตกใจ เขาแอบหยิกต้นขาตนเองทีหนึ่ง พูดกลั้วเสียงหัวเราะขลุกขลัก “แม่นางน้อยพูดล้อเล่นเก่งจริงๆ พวกเราจะเคยพบกันได้อย่างไรเล่า ฮ่าๆๆ สงสัยเจ้าจะเคยซื้อถังหูลู่ของข้า”
เด็กสาวส่ายหน้าโดยไม่ลังเลใจ “ไม่นะ พี่ชายความจำไม่ดีเอาเสียเลย พวกเราเพิ่งพบกันเมื่อวานนี้เองมิใช่หรือ ถ้าพี่ชายนึกไม่ออก ข้าช่วยเตือนความจำท่านสักหน่อย ที่หน้าร้านน้ำชาอู่เว่ย…”
พอเห็นชายฉกรรจ์หน้าดำหน้าถอดสีด้วยความตกใจ เฉียวเจายิ้มเยาะในใจ แน่ใจได้แล้วว่าคนผู้นี้สะกดรอยตามนางอยู่
เขาเป็นใคร เหตุใดถึงคอยติดตามนางทั้งเมื่อวานและวันนี้
นางเป็นบุตรสาวของอาลักษณ์ชั้นผู้น้อยในสำนักราชบัณฑิต มีผลประโยชน์ใดให้มุ่งหวังได้
เฉียวเจาเลื่อนสายตาลงชำเลืองมองรองเท้าของชายฉกรรจ์หน้าดำแวบหนึ่งแล้วฉุกคิดขึ้นได้
ที่แท้เป็นอย่างนี้ นางเคยเห็นคนผู้หนึ่งสวมรองเท้าเช่นนี้ เขาก็คือเจียงสือซานซึ่งปรากฏตัวที่หน้าร้านน้ำชาอู่เว่ยเมื่อวานนี้เหมือนกัน
รองเท้านี้ไม่มีอะไรพิเศษ แต่ถึงมันจะธรรมดาสามัญอย่างมาก กลับมีข้อดีที่สำคัญยิ่งจุดหนึ่งคือยามเดินเหินไม่เกิดเสียงดังได้ง่าย
อย่างนี้ก็แสดงว่าคนผู้นี้คือผู้ใต้บังคับบัญชาของเจียงสือซาน เมื่อวานที่เจียงสือซานปรากฏตัวขึ้นก็เพราะเขาเป็นคนนำข่าวไปบอกหรือ
เมื่อคิดไปเช่นนี้ เฉียวเจารู้สึกว่าเป็นเหตุเป็นผลแล้ว
ยกเว้นเรื่องการเดินทางไปทิศใต้อย่างสุดวิสัยครั้งนั้น เด็กสาวธรรมดาๆ ผู้หนึ่งอย่างนางไม่มีทางดึงดูดความสนใจขององครักษ์จินหลินได้ จุดเดียวที่เกี่ยวข้องกับองครักษ์จินหลินในการเดินทางหนนั้นคือเจียงสือซานที่เคยอยู่ในจยาเฟิงเช่นเดียวกัน
ครั้นเด็กสาวเบื้องหน้าทำสีหน้านิ่งสนิทด้วยท่าทางคล้ายครุ่นคิดอะไรอยู่ เจียงเฮ่อเห็นแล้วก็อกสั่นขวัญผวา เขาหัวเราะแห้งๆ พูดขึ้น “แม่นางน้อยพูดล้อเล่นเก่งจริงๆ…”
เฉียวเจาไม่สนใจคำพูดของเขา เอ่ยเตือนอย่างหวังดี “จะขายถังหูลู่แต่ทาหน้าเป็นสีดำไม่ดีนะ หน้าตาขาวๆ เกลี้ยงๆ คนอื่นเห็นแล้วถึงจะอยากซื้อ”
แม่นางเฉียวพูดจบแล้วเอ่ยสั่งอาจูเสียงราบเรียบ “ซื้อถังหูลู่สองสามไม้กลับไปด้วย”
จวบจนอาจูหยิบถังหูลู่ไปและจ่ายเงินให้ จากนั้นนายบ่าวสองคนขึ้นรถม้าไปแล้ว องครักษ์จินหลินบางคนที่ยืนงงเป็นไก่ตาแตกถึงตั้งสติได้ หอบถังหูลู่กำใหญ่กลับไปหาผู้บังคับบัญชาของตน
เจียงหย่วนเฉามองเห็นผู้ใต้บังคับบัญชาทำหน้าม่อยคอตก เขาอดขมวดคิ้วถามขึ้นไม่ได้ “ไฉนกลับมาในสภาพนี้”