หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 111
บทที่ 111
เจียงเฮ่อเจียนร่ำไห้น้ำตาริน “ใต้เท้าขอรับ ข้านึกมาโดยตลอดว่าท่านดูถูกข้าถึงมอบหมายให้เฝ้าดูแม่นางน้อยผู้หนึ่ง บัดนี้ดูทีว่าข้าเข้าใจท่านผิดเสียแล้ว เรื่องนี้ยากเย็นแสนเข็ญยิ่งๆ กว่าเรื่องอื่นแล้ว”
เจียงหย่วนเฉาได้ยินแล้วตรงหว่างคิ้วกระตุกริกๆ อยากจะบอกผู้ใต้บังคับบัญชาเหลือเกินว่าตนเองดูถูกเขาจริงๆ
ทว่าคนน้ำนิ่งไหลลึกเฉกท่านสิบสามหาได้แสดงออกทางสีหน้าแม้สักนิด เขานวดหว่างคิ้วพลางกล่าวเอื่อยๆ “ว่ามา เจ้ากระทำเรื่องโฉดเขลาอะไรมาอีกแล้ว”
เจียงเฮ่อคับข้องหมองใจถึงขีดสุด “ใต้เท้า หนนี้จะโทษข้ามิได้จริงๆ นะขอรับ คุณหนูหลีที่ท่านให้ข้าติดตามดูผู้นั้นไม่ต่างจากปีศาจร้ายตนหนึ่งเลยทีเดียว!”
“ปีศาจร้ายอะไร” ท่านสิบสามผู้มีรอยยิ้มน้อยๆ ประดับมุมปากเป็นนิจได้ยินคำแก้ตัวเช่นนี้แล้วไม่ชอบใจเป็นอันมาก เขากล่าวตำหนิเสียงราบเรียบ “ขืนพูดจาเหลวไหลอีก วันหน้าข้าจะไล่เจ้าไปขัดถังส้วม!”
แม้ว่าแม่นางน้อยผู้นั้นจะมีไหวพริบไปสักนิด เฉียบไวไปสักหน่อย ทำอะไรผิดแผกจากผู้อื่นไปบ้าง แต่ก็เป็นแค่เด็กสาวธรรมดานางหนึ่งชัดๆ
เจียงเฮ่อไม่กล้าโอดครวญอีก เขากล่าวอย่างซื่อสัตย์ “ใต้เท้าไม่รู้อะไร วันนี้ข้าเห็นคุณหนูหลีออกจากเรือนอีกแล้ว นางไปเป็นแขกที่จวนเสนาบดีซู…”
“ประเดี๋ยวก่อน” เจียงหย่วนเฉาตัดบท “เจ้าบอกว่าคุณหนูหลีไปที่จวนเสนาบดีซูรึ”
“ใช่น่ะสิขอรับ”
เจียงหย่วนเฉาเอนหลังพิงพนัก เอานิ้วมือเรียวยาวเคาะเท้าแขนเก้าอี้ไม้เนื้อแข็งเรียบลื่น
เมื่อวานเพิ่งไปร้านน้ำชาพบกับซูเหอเสนาบดีกรมพิธีการ วันนี้ก็ไปเยือนถึงจวนอีกฝ่ายอีก สองเรื่องนี้ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกันแน่
ภาพของแม่นางน้อยผุดขึ้นในห้วงความคิดของเจียงหย่วนเฉา
เด็กสาววัยสิบสามสิบสี่ ยังอ่อนเดียงสาประหนึ่งต้นไป๋หยางต้นน้อยๆ หากแววตาที่มองคนกลับสงบเยือกเย็นเสมอ ทำให้ใครๆ มักมองข้ามอายุของนางไป แต่บางครากลับกล่าววาจาน่าตกใจชวนให้ตั้งรับไม่ทันอีก
เด็กสาวเฉกเช่นนี้…
เจียงหย่วนเฉาอมยิ้มถอนใจเบาๆ อย่างสุดระงับแล้วพลันคิดไปถึงคนผู้หนึ่ง
แม่นางน้อยผู้นั้นกับนาง…ละม้ายคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง
ชะรอยว่าเขาคงต้องยอมรับความจริงว่านางเป็นภรรยาของผู้อื่นมาแต่แรก ทว่าที่สำคัญกว่าคือเขาไม่เคยคิดว่าทั้งคู่จะมีโอกาสได้ครองคู่กัน ด้วยเหตุนี้เมื่อนางจากไป ความเจ็บปวดนั้นไม่ทำให้ขาดใจตาย ทั้งมิได้ถึงขั้นจะขาดใจตายได้ แต่กลับวนเวียนอ้อยอิ่งอยู่ในหัวใจเนิ่นนานไม่ยอมจางหาย
“ใต้เท้า?” เจียงเฮ่อเปล่งเสียงเรียกอย่างระมัดระวัง
ไม่รู้เพราะเหตุใด เห็นสีหน้าของใต้เท้าในตอนนี้แล้วเขารู้สึกทนดูไม่ค่อยได้ชอบกล จะต้องเป็นเพราะทำงานไม่สำเร็จ เป็นเหตุให้ใต้เท้าที่ทุ่มเทใจอบรมบ่มเพาะเขามาโดยตลอดต้องผิดหวังอย่างรุนแรง
เจียงหย่วนเฉาดึงความคิดคืนมา เขาเพ่งสายตามองผู้ใต้บังคับบัญชา
เจียงเฮ่อฉีกปากยิ้ม “ใต้เท้า ท่านอย่าทำอย่างนี้สิขอรับ ข้าเห็นแล้วไม่สบายใจพิกล วันหน้าข้ารับรองว่าจะตั้งใจทำงานให้ดีๆ ไม่ทำให้ท่านต้องเสียใจอีก…”
เจียงหย่วนเฉาชี้หน้าประตู “ถ้าไม่พูดเรื่องงานก็ไสหัวออกไป”
“ขอรับ ถ้าอย่างนั้นพูดเรื่องงานเถอะ” เจียงเฮ่อยืดหลังตรงทันควัน เขาเล่าต่อ “คุณหนูหลีเข้าไปในจวนเสนาบดีซูมิใช่หรือขอรับ ข้าเลยปลอมตัวเป็นพ่อค้าเร่ขายถังหูลู่ยืนอยู่หน้าจวน ข้ารอแล้วรอเล่าจนนางออกมาในที่สุด ตอนแรกตั้งใจจะสะกดรอยตามต่อ ใครจะรู้ว่าข้ายังไม่ทันทำอะไร คุณหนูหลีก็ยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว”
“หลังจากนั้นล่ะ”
“หลังจากนั้นนางก็พูดว่า นี่…พี่ชาย เมื่อวานพวกเราเคยเจอกันที่ร้านน้ำชาอู่เว่ยกระมัง แต่ข้าไม่ยอมรับ นางก็ให้สาวใช้ซื้อถังหูลู่หลายแท่ง ก่อนไปยังเตือนข้าว่าวันหน้าจะขายถังหูลู่อย่าทาหน้าเป็นสีดำอีก”
“พรืด…” เจียงหย่วนเฉาฟังถึงตรงนี้แล้วหัวเราะออกมาเบาๆ
เจียงเฮ่อมองอย่างงงงัน เขานึกในใจ ร้อยวันพันปีถึงจะได้เห็นใต้เท้าหัวเราะเช่นนี้จริงๆ
เจียงหย่วนเฉาหยุดหัวเราะ กล่าวเสียงเอื่อยๆ “ออกไปเถอะ”
เจียงเฮ่อปลาบปลื้มจนตัวลอย
ใต้เท้าไม่ไล่เขาให้ไสหัวออกไปหรือนี่ เห็นได้ว่าการทำงานของเขาในวันนี้ไม่ได้น่าผิดหวังปานนั้น
เจียงเฮ่อระบายลมหายใจเฮือก เขาเดินไปถึงหน้าประตูก็ได้ยินประโยคหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง “อย่าลืมขัดถังส้วมของวันนี้ด้วย”
เจียงเฮ่อสะดุดเท้าตนเอง เขาเกาะขอบประตูก้าวออกจากห้องไปอย่างหมดท่า
เจียงหย่วนเฉาดึงสายตาคืน ริมฝีปากแย้มออกส่งเสียงหัวเราะเบาๆ
เห็นทีว่าแม่นางน้อยผู้นั้นเริ่มมีน้ำโหแล้ว นางใช้วิธีฉีกหน้าผู้ใต้บังคับบัญชาของเขามาเตือนเขานั่นเอง ช่างเป็นเด็กสาวที่ฉลาดหลักแหลมยิ่งนักจริงๆ ไม่รู้ว่านางจะเดาออกหรือไม่ว่าเขาคือองครักษ์จินหลิน
เจียงหย่วนเฉาพลันรู้สึกตั้งตารอคอยการพบกันคราวต่อไป ถึงเวลานั้นค่อยลองหยั่งท่าทีดูสักหน่อยแล้วกัน
ในศาลาแปดเหลี่ยมกลางสวนดอกไม้ของจวนไท่หนิงโหว จูเยี่ยนกับจูเหยียนสองพี่น้องดวลหมากกันอยู่ สาวใช้ผู้หนึ่งเดินถือสารมายื่นส่งให้ด้วยสองมือ “คุณหนู เป็นสารของคุณหนูซูจากจวนเสนาบดีเจ้าค่ะ”
จูเหยียนยื่นมือรับสารมา นางส่งยิ้มให้พี่ชาย “พี่ห้า ข้าจะบอกให้นะ อย่าเห็นว่าทุกคราที่เดินหมากกัน ท่านล้วนเอาชนะข้าได้อย่างราบคาบ แต่ถ้าเจอกับลั่วอีล่ะก็ ไม่แน่หรอกนะเจ้าคะ”
จูเยี่ยนยกมือเขกหน้าผากน้องสาวเบาๆ “อย่าเอ่ยชื่อก่อนออกเรือนของสตรีต่อหน้าบุรุษตามใจชอบ”
ทอดสายตาไปทั่วเมืองหลวง หากจะมีสตรีที่เดินหมากชนะเขาได้ เขานึกออกเพียงผู้เดียวเท่านั้น
จะว่าไปแล้ว ตอนนั้นพวกเขาสามคนอยู่กับคุณหนูหลีตั้งนานปานนั้น นอกจากรู้ว่านางเป็นบุตรสาวลำดับที่สามในตระกูล ยังไม่รู้เลยว่านางมีนามว่ากระไร
“คร่ำครึ!” จูเหยียนแลบลิ้น นางเปิดสารออกไล่สายตาอ่านถ้อยความในนั้น ดวงตาทอแววอัศจรรย์ใจทันใด
ถึงแม้จูเยี่ยนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจะประหลาดใจกับสีหน้าของน้องสาว แต่มิได้ออกปากถามไถ่อย่างมีมารยาท กลับเป็นจูเหยียนที่พูดขึ้นเอง “น่าแปลกดีแท้ ลั่วอีถึงกับชวนข้าร่วมลงนามเสนอคนผู้หนึ่งเข้าชุมนุมฟู่ซานเจ้าค่ะ”
จูเยี่ยนได้ยินแล้วหยักยิ้ม
จูเหยียนกะพริบตาปริบๆ โบกแผ่นสารไปมาพลางถาม “พี่ห้าลองเดาดูว่าคนผู้นั้นเป็นใคร”
จูเยี่ยนเอะใจ
น้องเจ็ดกล่าวเช่นนี้แล้วเขายังจะเดาไม่ออกอีกหรือ คนผู้นั้นต้องเป็นคุณหนูหลีอย่างมิต้องสงสัย แต่เมื่อคิดไปถึงคราวก่อนที่ทำให้น้องสาวไม่พอใจ เขายังแสร้งทำไม่รู้ ไต่ถามยิ้มๆ “ใครกันรึ พี่ห้าเดาไม่ออก”
จูเหยียนฟังแล้วพึงพอใจอย่างมาก
นางไม่อยากให้พี่ชายใจจดใจจ่ออยู่กับสตรีเหย้าเรือนใดตลอดเวลา นี่มิได้เกี่ยวข้องกับว่าสตรีนางนั้นดีหรือไม่ดี อืม…มันเกี่ยวกับความรู้สึกของนางเป็นสำคัญ พอนึกว่าพี่ชายที่รักใคร่เอ็นดูตนมาตั้งแต่เด็กใกล้จะตบแต่งภรรยาแล้ว นางก็รู้สึกหงุดหงิดใจอย่างไรไม่รู้จริงๆ
“เป็นคุณหนูหลีคนที่อู๋เหมยซือไท่เรียกตัวไปพบในวันประสูติของพุทธองค์เจ้าค่ะ พี่ห้ายังพอจำได้หรือไม่”
“ไม่ได้…”
จูเหยียนหมดแก่ใจเดินหมากแล้ว นางกล่าวพึมพำ “อยากเห็นเสียจริงว่าฝีมือเดินหมากของคนที่ทำให้ลั่วอียอมศิโรราบทั้งกายใจได้นั้นล้ำเลิศเช่นไรนะ”
“จริงสิ ชุมนุมฟู่ซานของพวกเจ้าจะนัดพบปะกันอีกครั้งเมื่อไร ดูเหมือนไม่มีความเคลื่อนไหวมานานระยะหนึ่งแล้วนะ”
จูเหยียนได้ยินคำนี้แล้วบนใบหน้าก็ปรากฏรอยเศร้าสร้อยจางๆ “หัวหน้าชุมนุมของพวกข้าป่วยหนักเพิ่งล่วงลับไปมิใช่หรือเจ้าคะ ประกอบกับหีบศพของเหล่าทหารผู้กล้าแดนเหนือก็ถูกนำมาฝังที่เมืองหลวง งานสังสรรค์บันเทิงต่างๆ ของชุมนุมพวกนั้นถึงหยุดพักชั่วคราว รอไปอีกสักพักค่อยว่ากันอีกทีเถอะ”
หลายวันต่อจากนั้น วันเวลาของเฉียวเจาผ่านไปอย่างสงบสุขไร้คลื่นลม แต่ทางฝ่ายเซ่าหมิงยวนมีความเคลื่อนไหวใหม่อีกแล้ว
เซ่าจือกลับมาจากบ้านเดิมของหลินคุนรองหัวหน้าผู้คุ้มภัยสำนักคุ้มภัยหย่วนเวยในสภาพเหนื่อยอ่อนจากการเดินทาง เขารายงานต่อเซ่าหมิงยวน “ท่านแม่ทัพ ข้าพาหลินคุนกลับมาพร้อมกันขอรับ”
“ถามได้ความใดหรือไม่”
เซ่าจือส่ายหน้า “หลินคุณไม่พูดอะไรทั้งนั้น เขาบอกว่าต้องการพบท่านขอรับ”
“พบข้า?”
“ขอรับ เขาบอกว่ามีเพียงได้พบท่านถึงจะพูด”
เซ่าหมิงยวนฟังแล้วสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เขากล่าวเสียงเรียบ “เจ้าไปเตรียมการ พาเขาไปรอข้าที่หอชุนเฟิง”
เซ่าจือประจักษ์แจ้งดีว่ามีหลายๆ เรื่องที่ท่านแม่ทัพไม่อยากสะสางในจวนท่านโหว แต่ครั้นคิดถึงว่าจะอย่างไรหอชุนเฟิงก็เป็นหอสุราซึ่งคนพลุกพล่าน ขณะที่เขาลังเลใจอยู่บ้าง ได้ยินท่านแม่ทัพที่เคารพกล่าวอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “ไปเตรียมการได้อย่างวางใจ ข้าซื้อหอชุนเฟิงไว้แล้ว”
เซ่าจือตะลึงงัน “…”
ชะ…ใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายได้หรือ ผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างพวกข้ายังตั้งตารอเงินรางวัลจากท่านแม่ทัพไปตบแต่งภรรยาอยู่นะขอรับ!