หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 112
บทที่ 112
ป้ายธงสีขาวเขียวของหอชุนเฟิงยังกางสะบัดตามแรงลมดังเก่า ลูกค้าที่เข้าๆ ออกๆ หาได้ล่วงรู้สักนิดไม่ว่าหอสุราที่มีชื่อเสียงพอสมควรของเมืองหลวงแห่งนี้เปลี่ยนมือเจ้าของไปแล้วโดยไม่มีผู้ใดรู้เห็น
คราวนี้เซ่าหมิงยวนเข้าทางประตูหลัง เขาไม่แม้แต่จะไปที่หอสุราด้านหน้า ตรงดิ่งไปยังห้องหนึ่งในเรือนหลัง องครักษ์ประจำตัวสองคนที่ติดตามมาด้วยเฝ้าอยู่หน้าประตูอย่างเงียบๆ
ภายในห้องจุดไฟให้แสงสว่างกระจ่างตา บนโต๊ะริมหน้าต่างวางไหสุรากระเบื้องเนื้อดีสีขาวทรงก้นกลมคอแคบใบหนึ่งกับจอกสุราสองใบไว้ ดอกเสาเย่า** กระถางหนึ่งตรงขอบระเบียงหน้าต่างกำลังเบ่งบานงามลานตา
เซ่าหมิงยวนนั่งลง เขาไม่ได้รินสุรา เพียงรอคอยอยู่เฉยๆ
เวลาผ่านไปราวสองเค่อ มีเสียงความเคลื่อนไหวดังจากนอกประตู ชั่วครู่ต่อมาประตูด้านหลังถูกเปิดออก เซ่าจือพาบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินเข้ามา
“ท่านแม่ทัพ ผู้คุ้มภัยหลินมาแล้วขอรับ”
เซ่าหมิงยวนมองไปทางหลินคุน
สำนักคุ้มภัยหย่วนเวยดำเนินกิจการในเมืองหลวงมานานหลายปี มิหนำซ้ำยังตั้งสาขาสำนักตามเมืองใหญ่บางแห่ง ในฐานะรองหัวหน้าผู้คุ้มภัย คนผู้นี้นับได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญลำดับต้นๆ ของสำนักคุ้มภัยเลยทีเดียว
บุรุษวัยกลางคนตรงหน้ามีเรือนกายไม่สูงทว่าบึกบึนล่ำสันมาก ดวงตาบนใบหน้าที่เจนจัดกร้านโลกเปล่งประกายแจ่มจ้า
“ผู้คุ้มภัยหลิน” เซ่าหมิงยวนปริปากขึ้นก่อน
หลินคุนมองเซ่าหมิงยวนด้วยสายตาวาววับ เขาคุกเข่าลงแสดงคำนับกะทันหัน “คารวะท่านแม่ทัพ”
สองมือของเขาสั่นน้อยๆ ละม้ายข่มอารมณ์ที่เต็มตื้นไว้สุดความสามารถ
เซ่าหมิงยวนคาดไม่ถึงอยู่บ้าง เขายื่นมือประคองหลินคุนให้ลุกขึ้น “ผู้คุ้มภัยหลินไม่ต้องมากพิธีเช่นนี้…”
หลินคุนลุกขึ้นยืน นัยน์ตาทั้งคู่เป็นประกายเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นที่ได้พบคนที่เคารพเลื่อมใสมานาน
เซ่าจือคิดคำนึงอย่างไม่พึงใจ
คนผู้นี้ยืนกรานจะรอพบท่านแม่ทัพถึงยอมพูด คงจะไม่ใช่เพราะอยากเจอกับท่านแม่ทัพเพียงประการเดียวกระมัง
เซ่าจือคิดถึงตรงนี้แล้วหยุดสายตาที่มือของหลินคุนซึ่งกุมมือของเซ่าหมิงยวนไว้แน่น
ฮึ ยังไม่ปล่อยมืออีก
ด้านเซ่าหมิงยวนเยือกเย็นกว่าเซ่าจือมาก เพราะสายตาเช่นนี้ เขาเคยเห็นมามากมายเหลือเกินตอนอยู่แดนเหนือ
“เซ่าจือ เจ้าออกไปก่อนเถอะ”
ในเมื่อคนผู้นี้ต้องการพบหน้าเขาถึงยอมพูด แสดงว่าไม่อยากให้มีคนอื่นอยู่ด้วย
“ขอรับ” เซ่าจือตวัดสายตามองหลินคุนก่อนถอยออกไปเงียบๆ
เมื่อในห้องเหลือแค่พวกเขาสองคน เซ่าหมิงยวนดึงมือกลับ ชี้ไปที่ไหสุรากระเบื้องสีขาวบนโต๊ะ “ผู้คุ้มภัยหลิน ดื่มสักจอกหรือไม่”
“ไม่…ไม่ต้องขอรับ” ยามอยู่เบื้องหน้ากวนจวินโหวผู้เลื่องชื่อระบือนาม ชาวบ้านสามัญชนที่หาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นผู้คุ้มภัยเฉกหลินคุนดูตกประหม่าอยู่บ้างอย่างเห็นได้ชัด เขามองดวงหน้าหล่อเหลาหนุ่มแน่นที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมนั่นแล้ว บอกกล่าวความในใจอย่างสุดระงับ “ท่านแม่ทัพคงไม่ทราบว่าเมื่อครั้งข้ายังหนุ่มก็ได้ยินได้ฟังวีรกรรมความกล้าหาญของท่านมาแล้ว รู้สึกเลื่อมใสบูชาท่านเป็นพิเศษ…”
เซ่าหมิงยวนไม่ตอบคำใด “…”
เขาหลุบตาลง ยื่นมือไปหยิบจอกสุราหงายขึ้นแล้วยกไหสุรารินจนเต็มทีละใบ จากนั้นเลื่อนออกไปพร้อมพูดเสียงนุ่มด้วยรอยยิ้มบางๆ “ข้ารู้สึกเป็นเกียรติยิ่ง”
ครั้นนิ้วมือแตะลงบนจอกสุราเย็นเฉียบ หลินคุนถึงได้สติแล้วอดนิ่งงันไปไม่ได้
เมื่อครู่นี้ข้าพูดเหลวไหลอะไรไปบ้างนี่
“สุรานี้มีชื่อว่า ‘จุ้ยชุนเฟิง’ ผู้คุ้มภัยหลินคงเคยดื่มเป็นแน่แท้”
“อ้อ เคยดื่มขอรับ” หลินคุนหยิบจอกสุราที่เซ่าหมิงยวนเลื่อนมาให้ และยกขึ้นดื่มอย่างเงอะงะ
เซ่าหมิงยวนมิได้เห็นว่าน่าขัน กลับรู้สึกขมปร่าๆ ตรงกลางอก
ราษฎรก็เป็นเช่นนี้เอง เจ้าคุ้มครองพวกเขา พวกเขาก็เทิดทูนเจ้าอยู่ในใจ ถึงเป็นชายฉกรรจ์ที่ปกติกล้าแกร่งห้าวหาญก็ยังเผยมุมคล้ายเด็กน้อยออกมาให้เห็น
ไม่มีการแบ่งแยกแข่งขัน ไม่ต้องระแวงระวัง ความรู้สึกที่บริสุทธิ์จริงใจที่สุดเหล่านี้เป็นแรงใจให้เขาปกปักรักษาแดนเหนือมาโดยตลอด
เซ่าหมิงยวนเข้าใจจิตใจของหลินคุนได้ เขามิได้พูดตรงเข้าเรื่อง แต่พูดคุยสัพเพเหระเฉกสหายพบปะกันครู่หนึ่ง เมื่อเห็นอีกฝ่ายสงบอารมณ์ลงได้ทีละน้อย ถึงเริ่มเอ่ยขึ้น “ผู้คุ้มภัยหลินน่าจะรู้ว่าตอนที่ภรรยาข้าตกอยู่ในมือพวกต๋าจื่อเป็นเพราะไปผิดทาง…”
หลินคุนหน้าเปลี่ยนสี เขาวางจอกสุราลงแล้วพูดอย่างเคร่งขรึม “ใช่ขอรับ”
ตอนฮูหยินของท่านแม่ทัพถูกจับตัวไป เขาก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย มีหรือจะไม่แจ่มแจ้งว่านั่นเป็นการไปผิดทางหรือไม่
แม้นคนตรงหน้าจะอ่อนวัยกว่า ทว่าเป็นคนที่เขาเลื่อมใสมานาน หลินคุนตัดสินใจเด็ดเดี่ยว บอกความคิดที่ติดค้างคาใจมานานออกมา “ท่านแม่ทัพ ข้าคิดว่าตอนนั้นมิใช่ไปผิดทางเช่นที่เห็นผิวเผินอย่างนั้นขอรับ แต่เป็นคนที่มารับฮูหยินต่างหากที่มีพิรุธ”
“ด้วยเหตุนี้ตอนแม่ทัพที่เดินทางมารับหน้าที่แทนเสนอให้เปลี่ยนเส้นทาง ผู้คุ้มภัยหลินถึงคัดค้านหัวชนฝาใช่หรือไม่”
“ไม่ผิดขอรับ ท่านแม่ทัพคงไม่ทราบว่าอันที่จริงข้าเป็นชาวเหนือ เพิ่งหนีภัยมาอยู่เมืองหลวงเมื่อเจ็ดปีก่อน ส่วนบ้านเดิมตอนนี้จริงๆ แล้วเป็นของสกุลเดิมภรรยาข้า ดังนั้นคนอื่นอาจไม่รู้จักเส้นทางนั้นสักนิด แต่ข้าแจ่มแจ้งดีกว่าใครว่าถ้าไปตามทางแยกจุดนั้น จะมีเส้นทางกลางเขาช่วงหนึ่งที่เหมาะต่อการดักซุ่มมาก”
เซ่าหมิงยวนได้ยินว่าหลินคุนเป็นชาวเหนือแล้วไม่ผิดคาดมากนัก
ตอนเขาฟังเรื่องราวจากคำรายงานของเซ่าจือก็คาดเดาได้เลาๆ แล้วว่ารองหัวหน้าผู้คุ้มภัยหลินที่ทะเลาะกับซูลั่วเฟิงเพราะเรื่องเปลี่ยนเส้นทางโดยไม่ลังเลรีรอผู้นี้ ถ้ามิใช่คิดไม่ซื่อก็ต้องเคยไปที่แดนเหนือมาก่อนอย่างแน่นอน
มิน่าเมื่อจวนจิ้งอันโหวไปว่าจ้างคุ้มภัย สำนักคุ้มภัยหย่วนเวยถึงมอบหมายงานนี้ให้ผู้คุ้มภัยหลินผู้นี้
เซ่าหมิงยวนรินสุราอีกจอกหนึ่งยื่นส่งให้
บางทีอาจเพราะพูดอย่างเปิดอกแล้ว หนนี้หลินคุนจึงไม่มีท่าทางเก้ๆ กังๆ แม้แต่น้อย เขารับไปดื่มรวดเดียวหมดจอก
เซ่าหมิงยวนมองเขานิ่งๆ แล้วพลันลุกขึ้นประสานมือคำนับ “เช่นนั้นผู้คุ้มภัยหลินจะคิดทบทวนให้ละเอียดได้หรือไม่ว่าก่อนหน้าที่ขบวนเดินทางจะเปลี่ยนเส้นทาง เกิดเรื่องผิดปกติอะไรบ้างหรือไม่”
หลินคุนสะดุ้งตกใจ ลุกพรวดขึ้นยืนพูดอย่างลนลาน “ท่านแม่ทัพ ท่านจะทำให้ข้าอายุสั้นนะขอรับ”
เขาอยากจะเข้าไปประคองเซ่าหมิงยวนก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม ส่งผลให้ร้อนใจจนหน้าแดงก่ำ
เซ่าหมิงยวนไม่อยากให้เขาลำบากใจจึงนั่งลงตามเดิม พูดด้วยน้ำเสียงขึงขัง “ผู้คุ้มภัยหลินโปรดทบทวนความจำให้ละเอียดด้วย เรื่องนี้สำคัญต่อข้ามาก”
หลินคุนได้ยินแล้วเริ่มเค้นสมองคิดอย่างหนัก เขานิ่งคิดอยู่นานครู่ใหญ่ก่อนเอ่ยอย่างไม่แน่ใจ “จะบอกว่าผิดปกติก็ไม่เชิงเสียทีเดียว…”
“ผู้คุ้มภัยหลินลองว่ามาให้ฟัง”
“ตอนผ่านป่ากุ่ยคู…ท่านแม่ทัพรู้จักป่ากุ่ยคูกระมัง”
เซ่าหมิงยวนล้วงภาพม้วนหนึ่งจากอกเสื้อแล้วคลี่กางออกช้าๆ ด้วยสีหน้านิ่งสนิท เขายื่นมือแตะที่จุดหนึ่งพลางถาม “ตรงนี้ใช่หรือไม่”
หลินคุนตาเป็นประกาย พยักหน้าถี่ๆ พลางเอ่ย “ไม่ผิด ตรงนี้เลยขอรับ ตอนขบวนเดินทางมาถึงที่นี่ก็แวะหยุดพัก หัวหน้าผู้ดูแลของจวนท่านพาคนติดตามมาหลายคน บอกว่าอยากกินเนื้อสัตว์เลยจะไปล่าหมูป่าในป่ามากินสักตัว ข้าเสนอความเห็นว่าอย่าไป แต่เห็นพวกเขายืนกรานก็ไม่พูดอะไรมากอีก อันที่จริงเรื่องนี้ไม่นับว่าผิดปกติอันใด คนอื่นล้วนไม่ใส่ใจ แต่ข้าในตอนนั้นแอบนึกขัดใจอยู่สักหน่อย”
“เพราะอะไรหรือ”
หลินคุนชี้นิ้วแตะๆ ที่ตำแหน่งป่ากุ่ยคูบนแผนที่ กล่าวพลางทอดถอนใจ “คนพื้นเมืองส่วนใหญ่รู้ว่าพอถึงฤดูร้อนในป่ากุ่ยคูจะเกิดหมอกพิษชนิดหนึ่งเสมอ คนที่เข้าไปมีแปดถึงเก้าในสิบคนที่เอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่นั่น แต่ในฤดูหนาวก็ไม่เป็นไรแล้ว กระนั้นข้ายังรู้อีกเรื่องหนึ่งคือเมื่อเข้าป่าเดินไปตามทางนี้จะตัดผ่านลาดเขาแห่งหนึ่งไปถึงพรมแดนติดกับพื้นที่ของชาวต๋าจื่อได้”
รูม่านตาของเซ่าหมิงยวนหดแคบลงฉับพลัน ที่แท้เป็นเช่นนี้!
ตรงนั้นเป็นดินแดนชนเผ่าหุย* ตามปกติหากจะไปที่นั่น จำเป็นต้องเดินทางอ้อมสี่ห้าวันจึงจะไปถึงได้ อีกอย่างจุดนั้นไม่ได้อยู่ในเส้นทางที่จะผ่านไป
หลินคุนเห็นเซ่าหมิงยวนมีสีหน้ากระด้างขึ้น จึงรีบกล่าวว่า “ข้าไม่ได้หมายความเป็นอื่น แค่ไม่อยากให้เกิดปัญหามากขึ้นเท่านั้นเอง ทางลัดสายนั้นมีน้อยคนนักจะล่วงรู้ พวกผู้ดูแลเสิ่นเข้าไปไม่นานนักก็กลับมาแล้วเอาหมูป่าที่ล่ามาได้ย่างไฟ ข้ายังแบ่งมากินชิ้นหนึ่งด้วยขอรับ”
มีคนล่วงรู้น้อย มิได้หมายความว่าไม่มีคนล่วงรู้
ความอ่อนล้าและหนาวเหน็บใจอย่างรุนแรงถาโถมเข้าใส่ แต่เซ่าหมิงยวนยังยิ้มด้วยสีหน้าเป็นปกติ ยกกาสุราขึ้นกล่าวว่า “มา ดื่มสุรากัน”
** เสาเย่า เป็นสมุนไพรจีนชนิดหนึ่ง ส่วนรากของมันมีสรรพคุณในการแก้ปวด และช่วยทำให้เลือดลมไหลเวียนสะดวก ส่วนดอกของมันมีลักษณะและสีสันคล้ายคลึงกับดอกโบตั๋นจึงนิยมปลูกไว้ชมความงามด้วย
* หุย เป็นคำเรียกชนเผ่ากลุ่มน้อยของจีน อพยพมาจากเอเชียกลาง ตั้งถิ่นฐานกระจายอยู่ตามเขตชายแดนจีนหลายแห่ง นับถือศาสนาอิสลาม