หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 113
บทที่ 113
หลินคุนกลับไปแล้ว เซ่าหมิงยวนนั่งอยู่ในห้องที่มีกลิ่นหอมสุรารวยรินโดยไม่ขยับเขยื้อนกายเป็นนาน
เซ่าจือส่งเสียงเรียกอย่างห่วงใย “ท่านแม่ทัพ?”
เซ่าหมิงยวนเงยหน้าขึ้น “ไปเชิญพวกคุณชายฉือกับคุณชายจูมาให้ข้าที บอกว่าข้าเชิญมาดื่มสุราที่หอชุนเฟิง”
เซ่าจือลอบระบายลมหายใจเฮือกอย่างคลายใจ ท่านแม่ทัพยังคิดจะตามสหายรักมาร่ำสุรา อย่างไรก็ดีกว่าเป็นเช่นนี้ “น้อมรับคำสั่งขอรับ”
เมื่อเซ่าจือเดินไปถึงหน้าประตูก็ได้ยินเสียงเรียกของผู้เป็นนายทางด้านหลัง “เซ่าจือ…”
เขาหันศีรษะไปพลันปะทะเข้ากับสายตาทอประกายเย็นเยียบดุจดาวเหมันต์คู่หนึ่ง “ไปจับตัวผู้ดูแลเสิ่นมาให้เหลิ่งอี้สอบสวนอย่างเต็มที่!”
เซ่าจือสะดุ้งวาบในใจ
เหลิ่งอี้เป็นผู้ดูแลการลงโทษทัณฑ์ในกองทัพ ว่ากันถึงวิธีการเค้นปากคำของไส้ศึกนั้นไม่ด้อยไปกว่าองครักษ์จินหลินที่โด่งดังลือลั่น
ดูทีว่าท่านแม่ทัพจะโกรธแล้วจริงๆ
“ท่านแม่ทัพ พวกเราจับตัวผู้ดูแลเสิ่นมาแล้ว ทางฮูหยิน…”
เซ่าหมิงยวนเหลือบเปลือกตาขึ้น ถามเอื่อยๆ “ดักตีหัวเป็นหรือไม่”
ชั่วพริบตานั้น สีหน้าแววตาของเซ่าจือปนเปไปด้วยอารมณ์หลายหลากเลยทีเดียว “เป็นขอรับ”
เรื่องดักตีศีรษะน่ะย่อมทำเป็นแน่นอน เขาแค่นึกว่าคนอย่างท่านแม่ทัพจะไม่ทำน่ะสิ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าผู้ดูแลเสิ่นผู้นั้นยังเป็นคนสนิทของมารดาท่านแม่ทัพ…
เซ่าจือรับคำสั่งออกไปแล้ว เซ่าหมิงยวนนั่งต่ออีกครู่หนึ่งถึงออกไปที่หอสุราด้านหน้า
ยามบ่ายเป็นช่วงเวลาที่หอสุรามีลูกค้าบางตา ชายหนุ่มเข้าไปรออยู่เงียบๆ ในห้องส่วนตัวที่นัดพบกับฉือชั่นก่อนหน้านี้ไม่นาน
คนที่มาถึงคนแรกคือหยางโฮ่วเฉิง
เขาเห็นเซ่าหมิงยวนแล้วตรงเข้าไปตบไหล่อย่างดีอกดีใจล้นเหลือ “ถิงเฉวียน ข้ารอการดื่มสุรายกนี้มานานแสนนานแล้ว ตั้งแต่เจ้ากลับเมืองหลวงก็ไม่มีโอกาสเรื่อยมา”
เซ่าหมิงยวนแกว่งกาสุราในมือไปมา “อย่างนั้นวันนี้พวกเราไม่เมาไม่เลิกรา!”
“ไม่มีปัญหา!” หยางโฮ่วเฉิงเห็นกาสุราก็ยิ้มกว้าง “จุ้ยชุนเฟิงกระมัง ถิงเฉวียน ไว้พวกเราจะนัดพบปะสังสรรค์กันอีกทีคราวหน้าเปลี่ยนไปที่ร้านไป่เว่ย หรือไม่ก็หอเต๋อเซิ่งฝั่งตรงข้ามบ้างก็ได้นะ สองร้านนั้นล้วนเป็นร้านดั้งเดิมเก่าแก่ อีกทั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลพวกเราด้วย”
“แต่สุราที่นี่รสดี”
หยางโฮ่วเฉิงได้ยินแล้วหัวเราะแหะๆ “ว่าไปแล้วก็จริง ตอนเด็กๆ ข้าชอบแอบดื่มสุราของหอชุนเฟิงเหมือนกัน”
ทั้งคู่เป็นสหายรักกันมานานหลายปี ย่อมพูดคุยเล่นกันโดยมิต้องระวังตัว รอกระทั่งฉือชั่นกับจูเยี่ยนทยอยกันมาถึง พวกเขาก็ดื่มสุราหมดไปหนึ่งกาแล้ว
วันนี้ฉือชั่นสวมเสื้อคลุมยาวแขนกว้างสีน้ำเงินไพลินลายต้นว่านน้ำกับสายคาดเอวสีขาวงาช้างลายเดียวกัน เหน็บหยกพกสีดำชิ้นหนึ่ง แลดูเป็นคุณชายรูปงามดุจหยกโดยแท้ ทันทีที่เขาก้าวเข้าประตูมาก็แผ่ประกายรัศมีไปทั่วห้อง
“ข้าว่านะถิงเฉวียน เจ้าช่างผูกพันกับอดีตดีแท้ รู้สึกอาลัยอาวรณ์หอชุนเฟิงนี่นักรึ”
เซ่าหมิงยวนยิ้มน้อยๆ “ข้าผูกพันกับอดีตจริงๆ”
เพลานี้เขาเป็นเถ้าแก่ที่อยู่เบื้องหลังของหอชุนเฟิง เรื่องบางเรื่องที่ทำในจวนของบิดาไม่ได้ก็มาสะสางที่นี่จะสะดวกกว่า อย่างเช่นวันนี้เขาพบกับหลินคุนก่อน ค่อยนัดกับพวกฉือชั่นดื่มสุรา ถึงมีใครเห็นเขาอยู่ที่นี่ก็จะไม่สงสัยจนเกินไป
ร้านนี้ไม่เพียงเป็นความทรงจำที่สดใสงดงามที่สุดในวัยเด็กหนุ่มของเขา วันหน้ามันยังจะเป็นที่ที่เขาสามารถผ่อนคลายจิตใจได้บ้างเล็กน้อย
ฉือชั่นหย่อนบั้นท้ายลงนั่ง ต่อให้เขายกเท้าพาดเข่าโดยไม่สำรวมกิริยาก็ยังชวนให้เจริญหูเจริญตาอยู่ดี เขายิ้มพรายกล่าวขึ้นว่า “หลายปีมานี้นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเรารวมตัวกันพร้อมหน้าเช่นนี้ พวกเจ้ามันไร้น้ำใจ เริ่มต้นดื่มกันแล้วรึ”
ฝ่ายจูเยี่ยนนั้นรักษามารยาทกว่า เขาส่งยิ้มให้เซ่าหมิงยวนอย่างสุภาพนุ่มนวลก่อนจะนั่งลงตามกัน
เซ่าหมิงยวนรินสุราเต็มจอก “หลังจากกลับเมืองหลวงข้ามิได้หาเวลาพบปะสังสรรค์กับพี่น้องทั้งหลายเลย ข้าขอดื่มสามจอกเป็นการลงโทษตนเองก่อน”
เขาดื่มสุรารวดเดียวสามจอก ดวงหน้าขาวเกลี้ยงดุจหยกน้ำแข็งก็ซับสีแดงระเรื่อ
หยางโฮ่วเฉิงยื่นมือตบไหล่เขาเบาๆ พูดกลั้วเสียงหัวร่อดังกังวาน “ถิงเฉวียนยังคงตรงไปตรงมาเช่นเคย มาๆ ดื่มสุรากัน”
สหายรักอยู่ด้วยกันย่อมไม่มีการเสแสร้งเกรงใจ ชนจอกดวลสุรากันอย่างสำราญบานใจสุดจะเปรียบ
ทว่าจูเยี่ยนเป็นคนช่างสังเกต เขารู้สึกถึงความไม่ปกติได้ทีละน้อย
นับแต่นั่งลงจนตอนนี้ ถิงเฉวียนดื่มสุราโดยไม่ขมวดคิ้วสักคราหนึ่งจนสองแก้มแดงก่ำ แต่มิได้จับตะเกียบคีบกับแกล้มกินแม้แต่คำเดียว
หรือว่าเพราะไว้ทุกข์ให้ภรรยา เขาจึงไม่อยากแตะเนื้อสัตว์
จูเยี่ยนขอตัวเข้าห้องเวจ ออกไปสั่งเสี่ยวเอ้อร์ที่นอกประตูให้ยกอาหารมังสวิรัติมาสองสามอย่าง
เขาคีบลูกชิ้นลูกหนึ่งมากินก่อนแล้วกล่าวยิ้มๆ “ลูกชิ้นมังสวิรัติทอดจานนี้ของหอชุนเฟิงทำรสชาติได้ไม่เลว พวกเจ้าลองชิมกันดู”
ฉือชั่นคีบลูกหนึ่งกินอย่างให้เกียรติอีกฝ่ายมากแล้วกล่าวติชม “พอใช้ได้”
หยางโฮ่วเฉิงกินลูกชิ้นลูกหนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าและพูดว่า “ข้ายังรู้สึกว่านกกระทาหมักสุราย่างไฟจานนี้กินแกล้มสุราจึงจะถึงใจ”
เซ่าหมิงยวนเพียงฟังไม่เอื้อนเอ่ยวาจา ยกจอกสุราขึ้นดื่มคำหนึ่ง
ครานี้จูเยี่ยนมั่นใจได้แล้วว่าสหายรักมีความในใจตามคาด
หากเป็นเมื่อก่อน อาศัยมิตรภาพระหว่างพวกเขาย่อมเปิดอกพูดคุยกันได้ตามสบาย แต่บัดนี้เซ่าหมิงยวนอยู่ในฐานะต่างออกไป บางทีมีบางเรื่องที่ไม่เหมาะจะให้พวกเขาล่วงรู้ เขาถึงมิได้เอ่ยปากถาม
จูเยี่ยนทำไม่รู้ไม่ชี้ คีบลูกชิ้นมังสวิรัติลูกหนึ่งวางลงในจานเซ่าหมิงยวน “ถิงเฉวียน เจ้าก็ลองชิมด้วยสิ หยางเอ้อร์ไม่รู้จักของดี”
หยางโฮ่วเฉิงได้ยินแล้วไม่ชอบใจ เบะปากกล่าวว่า “ใครไม่รู้จักของดี”
เขายื่นมือคีบนกกระทาย่างวางลงในจานเซ่าหมิงยวนแล้วพูดอย่างไม่ยอมแพ้ “ถิงเฉวียน เจ้าลิ้มรสดูว่าจานใดกินแกล้มสุราได้เข้ากันมากกว่า”
จูเยี่ยน “…” นี่คงจะเป็นเจ้าหัวทึ่มประจำกลุ่มสหายกระมัง
แม้ว่าฉือชั่นไม่ละเอียดอ่อนเท่าจูเยี่ยน แต่เวลานี้เขาก็เห็นความผิดปกติได้แล้ว
เขาไม่คำนึงถึงอะไรมากมายอย่างจูเยี่ยน เพียงวางตะเกียบลงแล้วเลิกคิ้วถามตามตรง “ถิงเฉวียน เจ้าอารมณ์ไม่ดีหรือ”
เซ่าหมิงยวนอึ้งไป เขาเห็นสายตาที่จับจ้องมองมาของสหายทั้งสามแล้วไม่ปิดบังอีก พูดกลั้วเสียงหัวเราะเบาๆ “ใช่ ถึงได้ตามพวกเจ้ามาดื่มสุราอย่างไรเล่า”
ดีที่ในเมืองหลวงนี้ เขายังหาคนที่ร่ำสุราด้วยกันได้
“เป็นอะไรไป”
ถึงจะเป็นสหายรัก แต่เขาไม่อาจเล่าความลับที่เพิ่งสืบได้เมื่อครู่นี้ให้พวกเขารู้ได้ เซ่าหมิงยวนหยักยิ้มพลางลูบไล้จอกสุรา “จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตนเองไม่เป็นส่วนหนึ่งของเมืองหลวง ข้าอาจเหมาะจะอยู่ที่แดนเหนือมากกว่า”
ถึงกระนั้นชายหนุ่มรู้ว่าเขาไม่อาจไปจากเมืองหลวงในชั่วเวลาสั้นๆ นี้ได้
ฉือชั่นฟังแล้วไม่สบอารมณ์อย่างปราศจากเหตุผล เขาทำเสียงฮึก่อนเอ่ยขึ้น “ไม่เป็นส่วนหนึ่งอะไรของเจ้า มีพวกข้าอยู่ เจ้าก็จะไม่รู้สึกอย่างนั้นแล้ว”
เขานึกไว้แล้วเชียวว่าเจ้าคนผู้นี้นอกจากฐานะสูงศักดิ์ทรงอำนาจบารมี ก็ไม่มีข้อดีอะไรสักอย่าง วันหน้ายังคงต้องคลุกคลีตีโมงกับเขาอยู่ดีมิใช่หรือ
“นั่นสิ” หยางโฮ่วเฉิงกล่าวปลอบบ้าง “แดนเหนือจะดีสักปานใด แล้วมีหอชุนเฟิงหรือไม่”
“ไม่มี”
“มีนกกระทาย่างหรือไม่”
“ไม่มี”
เมื่อได้ฟังสหายรักผลัดกันพูดคนละคำสองคำ เซ่าหมิงยวนก็รู้สึกว่าความปวดร้าวที่สุมแน่นตรงกลางอกบรรเทาเบาบางลงมาก
“มีพวกข้าหรือไม่”
“ไม่มี”
“มีอากาศที่อบอุ่นเช่นนี้หรือไม่” หยางโฮ่วเฉิงกำลังเมาได้ที่ยิ่งพูดยิ่งติดลม เขาชี้ไปนอกหน้าต่าง
แสงแดดนอกหน้าต่างเจิดจ้าสาดส่องไปทั่วถนนทั้งสาย
“ไม่มี”
“มีหญิงสาวโฉมงามแต่งกายงดงามเฉิดฉายหรือไม่…”
จูเยี่ยนยกเท้าเตะหยางโฮ่วเฉิงอยู่ใต้โต๊ะทีหนึ่ง เจ้าโง่เอ๊ย…ปากไม่มีหูรูดจริงๆ
บนถนนนอกหน้าต่าง รถม้าติดม่านโปร่งสีเขียวคันหนึ่งชะลอหยุดจอด ม่านประตูถูกเลิกขึ้น สาวใช้น้อยสวมชุดสีเขียวสดใสคนหนึ่งกระโดดลงมา
สาวใช้น้อยเดินมาที่หอชุนเฟิงอย่างร่าเริงเบิกบาน ม่านหน้าต่างรถม้าด้านหลังนางพลันเลิกขึ้นเบาๆ เผยให้เห็นดวงหน้าสงบนิ่งแต้มรอยยิ้มบางๆ ของสาวน้อยผู้มีแววตาเรียบเฉย
แววตาเฉกนั้นคุ้นตาอย่างประหลาดละม้ายเคยเห็นในภวังค์ฝันนับร้อยนับพันครั้ง เซ่าหมิงยวนที่เมาสุราอยู่บังเกิดความรู้สึกสับสนงุนงงอยู่บ้าง เขาตอบเสียงแผ่วเบา “ไม่มีเช่นกัน”