หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 121
เฉียวโม่รู้สึกว่าในเวลาแค่ชั่วพริบตา เด็กสาวที่มีรัศมีสงบเยือกเย็นแผ่ซ่านรอบกายจนเขานึกถึงน้องสาวคนโตขึ้นมากะทันหันก็หายตัวไป
เขาสืบเท้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่ แต่มีคนดึงชายเสื้อไว้
“พี่ใหญ่…” เฉียวหว่านที่ร้องไห้จนตาแดงแหงนคอมอง
เฉียวโม่โน้มตัวไปหา พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม “เหนื่อยแล้วใช่หรือไม่ มา พี่ใหญ่อุ้มเจ้า”
เฉียวหว่านเบี่ยงกายหลบ “ไม่ต้องอุ้มข้า พี่ใหญ่ ข้าเดินเองได้เจ้าค่ะ”
ดรุณีน้อยยกมือเช็ดๆ ดวงตา สุ้มเสียงนุ่มนิ่มของนางออดอ่อยชวนให้สงสาร “พี่ใหญ่ เมื่อเช้าไปที่จวนท่านโหว เพราะอะไรท่านไม่ให้ข้าดูพี่เจาเจ้าคะ ข้าอยากดูนาง”
เฉียวโม่จูงมือน้องสาวคนเล็ก เอ่ยถามเสียงอ่อนโยน “แล้วหว่านวานจะลืมพี่เจาหรือไม่”
“ไม่ลืมเจ้าค่ะ” ดรุณีน้อยสั่นศีรษะแรงๆ ละม้ายกลองป๋องแป๋ง
เฉียวโม่ลูบศีรษะนางเบาๆ “อย่างนั้นก็ถูกแล้ว พี่เจากับหว่านวานรักสวยรักงามเหมือนกัน สภาพนางตอนนี้ไม่น่ามองเลยไม่อยากให้พวกเราเห็น พวกเราแค่เก็บภาพของพี่เจาไว้ในใจก็พอแล้ว”
“แต่ว่าเมื่อครู่นี้ดูเหมือนข้าจะมองเห็นพี่เจา…”
“เจ้าว่าอะไรนะ” แววตาของเฉียวโม่นิ่งขึงไป
เซ่าหมิงยวนที่อยู่ด้านหน้าหันขวับกลับมา
ดรุณีน้อยแหงนคอขึ้น หยดน้ำตาเกาะตามขนตา “ข้าเห็นพี่เจาร้องไห้เจ้าค่ะ”
เฉียวโม่มองไปทางเซ่าหมิงยวนที่อยู่ห่างออกไปแวบหนึ่งแล้วดึงสายตากลับ กระซิบพูดกับน้องสาว “หว่านวานตาฝาดไปแล้ว”
เฉียวหว่านก้มหน้างุดอย่างเสียใจ นานครู่ใหญ่ถึงเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ข้าแค่รู้สึกว่าคนเก่งอย่างพี่เจาจะตายง่ายๆ ได้อย่างไร ข้าไม่เชื่อเจ้าค่ะ”
ทั้งที่คนที่สู้พี่เจาไม่ได้ตั้งมากตั้งมายล้วนยังอยู่ดีมีสุข
ฉะนั้นนางถึงได้อยากดูกับตา แต่พี่ใหญ่ไม่อนุญาต
เซ่าหมิงยวนทอดสายตาไปทางฝูงชน
วันนั้นตอนที่เขามองเห็นคุณหนูหลีจากข้างหน้าต่างหอชุนเฟิง มิใช่เพราะเมาสุราจนเกิดภาพลวงตา แต่ว่านางมีส่วนละม้ายคล้ายคลึงกับภรรยาเขาจริงๆ ใช่หรือไม่
ท่ามกลางหมู่คนพลุกพล่าน ก็มองไม่เห็นวี่แววของเด็กสาวแล้ว
เซ่าหมิงยวนดึงสายตาคืนอย่างสงบนิ่ง
อันที่จริงละม้ายคล้ายคลึงหรือไม่หาใช่เรื่องสำคัญอันใด จะละม้ายคล้ายคลึงสักเพียงใดก็ไม่ใช่คนที่เขาไม่กล้าสู้หน้าผู้นั้น
ด้านในฝูงชน ปิงลวี่ซึ่งตั้งท่าราวกับผจญศึกใหญ่มองเห็นคนที่ดึงตัวคุณหนูของตนไป นางก็ตะลึงงันจนลืมตัว
“ท่านปู่หลี่?” เฉียวเจาคาดไม่ถึงอยู่บ้าง
หมอเทวดาหลี่ถามอย่างโมโหจนหนวดกระดิก “แม่หนูเจา เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร”
“ข้า…มาชมความคึกคักเจ้าค่ะ”
“ความคึกคักเช่นนี้มีอะไรน่าชมกัน” หมอเทวดาเขกหน้าผากเฉียวเจา พอสายตาปะทะเข้ากับดวงตาที่ผ่านการร้องไห้มาอย่างชัดเจน เขาทำท่าคล้ายครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
แม่หนูเจาร้องไห้หรือ
“เจ้าชมความคึกคักแต่ทำให้ตนเองร้องไห้แล้วหรือ”
เฉียวเจากะพริบตาปริบๆ นางร้องไห้แล้วน่าประหลาดใจเช่นนั้นเลยหรือ นางก็เป็นสตรีผู้หนึ่ง ก่อนหน้านี้มิใช่ว่านางไม่เคยร้องไห้ ไยวันนี้พากันมาถามคนแล้วคนเล่า
ถึงกระนั้นฉือชั่นกับหมอเทวดาหลี่ปรากฏตัวขึ้นต่อๆ กันกลับช่วยขับไล่ความรู้สึกโศกเศร้าของเฉียวเจาที่ได้พบกับพี่ชายแต่เขาจำนางไม่ได้ให้จางหายไป ทำให้นางกลับมาเยือกเย็นดังเดิม
“ข้ามองบุรุษหน้าหยกสกุลเฉียวอยู่ เห็นเขาเสียโฉมแล้วรู้สึกเสียใจมากก็เลยร้องไห้เจ้าค่ะ”
หมอเทวดาหลี่อ้าปากค้าง เขาเหลียวมองสี่ทิศรอบหนึ่งแล้วจูงเฉียวเจาไปทางด้านหลังฝูงชน กล่าวด้วยความหวังดีจากใจจริง “แม่หนูเจาเอ๊ย แม้ท่านปู่จะไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่รู้สึกว่าเด็กสาวในวัยอย่างเจ้าดูน่าจะสงวนท่าทีสักหน่อย เรื่องร้องไห้ให้บุรุษพรรค์นี้ จะพูดออกจากปากเช่นนี้ได้ที่ใดกัน”
เฉียวเจาหลุบตาลง “อื้อ วันหน้าไม่พูดแล้วเจ้าค่ะ”
หมอเทวดาหลี่พยักหน้าอย่างปลื้มใจ
ให้ได้เช่นนี้สิ จะบุรุษรูปงามหรือหนุ่มหน้าหยกอันใดก็ช่าง หน้าตาหล่อเหลาแล้วกินแทนข้าวได้หรือไม่เล่า เปลืองใจให้กับบุรุษที่มิได้เป็นอะไรกันถึงเป็นสตรีโง่เขลา
เขาคิดอยู่เช่นนี้ก็ได้ยินหลานสาวบุญธรรมเอ่ยขึ้นด้วยสุ้มเสียงนุ่มนวล “ถ้าอย่างนั้นท่านปู่หลี่จะช่วยรักษาใบหน้าให้บุรุษหน้าหยกสกุลเฉียวได้หรือไม่เจ้าคะ”
นางคิดไม่ถึงว่าบาดแผลบนใบหน้าของพี่ชายจะสาหัสถึงเพียงนี้ อาศัยฝีมือของนางยากจะรักษาแผลไฟไหม้ของเขาให้หายสนิทได้
หมอเทวดาหลี่ “…” ที่พูดไปเมื่อครู่นี้ล้วนเปลืองน้ำลายเปล่า!
เด็กสาวเงยหน้าขึ้นจ้องหมอเทวดาหลี่ตาโตอย่างวาดหวัง
ชายชราพลันพูดเทศนาสั่งสอนนางไม่ออก เขาทึ้งๆ หนวดพลางกล่าวอย่างขุ่นใจ “ไฉนพวกเจ้าแต่ละคนล้วนขอร้องให้ข้ารักษาใบหน้าให้บุรุษหน้าหยกสกุลเฉียวผู้นั้น”
แม้ว่าต่อให้ไม่มีใครมาขอร้อง เขาก็ตั้งใจจะรักษาให้เฉียวโม่อยู่แล้ว แต่คนที่มาขอร้องสร้างความแปลกใจให้เขามากขึ้นทุกทีๆ
“ยังมีใครขอร้องอีกหรือเจ้าคะ” เฉียวเจาได้ฟังแล้วอึ้งไป
หรือว่าทางท่านตาส่งคนมาขอร้องท่านปู่หลี่?
จริงสิ ถ้าไม่ใช่เช่นนี้ ด้วยนิสัยประหลาดของท่านปู่หลี่ เป็นไปไม่ได้ที่จะปรากฏตัวขึ้นที่นี่
หมอเทวดาหลี่ได้ยินแล้วยกมือชี้ไปไกลๆ “โน่น เจ้าหนุ่มที่ถือธงผู้นั้น”
เฉียวเจามองตามไปแล้ว สีหน้านางฉายอารมณ์สับสนปนเป
เซ่าหมิงยวน?
ที่แท้เรื่องที่เขาขอร้องท่านปู่หลี่ ไม่ใช่เพื่อขจัดพิษเย็นในกาย แต่เพื่อพี่ใหญ่ เขายินยอมเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งของเหล่าเชื้อพระวงศ์แลกกับอิสรภาพของท่านปู่หลี่ก็เพื่อขอให้ท่านรักษาพี่ใหญ่หรือ
เฉียวเจาบอกไม่ถูกไปชั่วขณะว่ารู้สึกอย่างไร
ซาบซึ้งใจ? ดูคล้ายไม่ถึงขั้นนั้น นางจะใจกว้างปานใดก็สุดปัญญาจะรู้สึกซาบซึ้งใจต่อคนที่สังหารนางเองกับมือ
นี่ไม่เกี่ยวกับความแค้นเคือง
เฉียวเจาทอดสายตามองแม่ทัพหนุ่มแน่นสวมชุดสีขาวปลอดในขบวนแห่ศพไกลออกไปพลางลอบถอนใจเบาๆ
อาจจะเป็นความรู้สึกสะทกสะท้อนใจกระมัง สะทกสะท้อนใจที่ท่านปู่มองคนไม่ผิด คนผู้นั้นคู่ควรให้ฝากชีวิต เพียงทว่ามีเหตุอื่นๆ ที่ส่งผลให้เขากับนางเดินมาพบจุดจบเฉกนี้ในท้ายที่สุด
เมื่อขบวนแห่ศพออกจากเขตเมืองสู่พื้นที่โล่งกว้างใหญ่ก็เคลื่อนตัวไปได้รวดเร็วขึ้น ทว่ายังมีเหล่าชาวเมืองแห่ตามกันไปชมพิธีมากมาย ไม่นานนักก็ทิ้งเฉียวเจากับหมอเทวดาที่หยุดอยู่กับที่ไว้เบื้องหลัง
“ท่านปู่หลี่รักษาแผลไฟไหม้บนใบหน้าของบุรุษหน้าหยกสกุลเฉียวได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ใต้หล้านี้มีโรคที่ข้ารักษาไม่ได้ด้วยรึ” หมอเทวดาหลี่ทำเสียงฮึขึ้นจมูก จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น “แต่ว่าส่วนที่โดนไฟไหม้เป็นใบหน้าของเขา เวลารักษาจะค่อนข้างยุ่งยาก”
หมอเทวดาหลี่มองเฉียวเจาอย่างเคร่งขรึม “แม่หนูเจา ข้าอาจต้องไปจากเมืองหลวงแล้ว”
“ท่านปู่หลี่?” เฉียวเจาตกอกตกใจ
หมอเทวดาหลี่กล่าวอธิบาย “จะรักษาใบหน้าของเฉียวโม่ให้หายสนิท ต้องใช้ตัวยาชนิดหนึ่ง แล้วเจ้าตัวยาที่ว่านี้มีอยู่ในเปลือกหอยที่ทะเลแดนใต้เท่านั้น ข้าต้องไปเก็บเอง”
“ว่าจ้างคนไปเก็บไม่ได้หรือเจ้าคะ”
หมอเทวดาหลี่ส่ายหน้า “ไม่ได้ มันเป็นมุกนิ่มจำพวกหนึ่ง ชั้นนอกหุ้มด้วยวุ้นใสๆ ด้านในเป็นน้ำ หลังเอาออกจากเปลือกหอยแล้วหากปรุงเป็นยาไม่ทันเวลาก็จะบูดเสียหมดสรรพคุณ ดังนั้นข้าจำเป็นต้องเดินทางไปด้วยตนเอง”
จิตใจของเฉียวเจาหนักอึ้งอยู่บ้าง
ท่านปู่หลี่จากไป ส่วนพี่ชายก็อยู่พร้อมหน้ากันไม่ได้ ในเมืองหลวงแห่งนี้นางเหลือตัวคนเดียวโดดเดี่ยวแล้วจริงๆ
“ข้าได้ยินว่าแถบชายทะเลแดนใต้วุ่นวาย ท่านปู่หลี่ต้องรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีนะเจ้าคะ”
หมอเทวดาหลี่หยักยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้างกายข้ามียอดฝีมือ”
เขากวักมือเรียกชายหนุ่มรูปโฉมสามัญที่อยู่ไม่ไกลนัก “มานี่”
เยี่ยลั่วเดินเข้ามาเงียบๆ
หมอเทวดาพูดแนะนำเขากับนาง “เขาชื่อว่าเยี่ยลั่ว วิชายุทธ์ยอดเยี่ยมมาก” ว่าแล้วก็ขยิบตาพูดต่อท้าย “ตั้งแต่มีเขาอยู่ด้วย เรื่องบดยาก็สบายแล้ว”
ยอดฝีมือนักบดยาผู้เงียบขรึมไม่ช่างพูดบางคนร้องตะโกนอยู่ในใจว่า ท่านแม่ทัพ ข้าอยากกลับไปแล้ว หน้าที่นี้ข้าสุดปัญญาจะทำได้แล้วจริงๆ!
“นี่ก็เป็น…คนที่แม่ทัพเซ่าส่งมาอยู่กับท่านหรือเจ้าคะ” เฉียวเจาถาม
หมอเทวดาหลี่พิศดูนางปราดหนึ่ง “เรื่องนี้แม่หนูเจาก็เดาได้ด้วย”
เฉียวเจาแย้มยิ้ม “ก็เห็นได้ชัดนี่เจ้าคะ”
“แม่นางน้อยผู้นี้ฉลาดดีนี่” หมอเทวดาทอดถอนใจ
นับวันเขาก็ยิ่งอดเปรียบเทียบแม่หนูเจากับแม่หนูเฉียวไม่ได้ แล้วพอเปรียบเทียบไปมาก็ยิ่งรู้สึกว่าพวกนางคล้ายกันมากขึ้น
ถ้าหาก…เฉียวโม่เห็นนางแล้วจะเป็นอย่างไรนะ