หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 122
ความคิดนี้ผุดขึ้นในใจหมอเทวดาหลี่กะทันหัน แต่แล้วเขาก็ส่ายหน้า
เว้นเสียแต่ว่าแม่หนูเจาก็คือแม่หนูเฉียว มิเช่นนั้นก็ไร้ความหมายใดๆ
ระหว่างที่หมอเทวดาประเดี๋ยวทำท่าครุ่นคิดประเดี๋ยวส่ายหน้าอยู่นี้ ฝ่ายเฉียวเจากลับฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้
นางกลุ้มใจเรื่อยมาที่ไม่สามารถเข้าไปใกล้ชิดพี่ชาย ความจริงแล้วนางสามารถหาโอกาสพบหน้าเขาผ่านทางท่านปู่หลี่ได้อย่างไร้ปัญหา
มิใช่แค่สบตากันเหมือนเป็นความฝันเฉกเมื่อครู่ แต่ได้ยินเสียงของพี่ชายจริงๆ หรือถึงขั้นฟังเขาเล่าว่าในวันที่เกิดเหตุไฟไหม้นั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่เองกับหู
ท่านปู่หลี่ต้องถามแน่
ทันทีที่ความคิดนี้บังเกิดขึ้น มันก็เหมือนวัชพืชที่เติบโตแพร่กระจายอย่างรวดเร็วจนไม่อาจควบคุมหยุดยั้งไว้ได้อีก
“ท่านปู่หลี่ ท่านมาวันนี้เพราะอาการบาดเจ็บของบุรุษหน้าหยกสกุลเฉียวใช่หรือไม่เจ้าคะ”
หมอเทวดาหลี่ทอดสายตามองออกไปไกลๆ ที่ขบวนแห่ศพยาวเหยียด ถอนใจเบาๆ แล้วกล่าวขึ้น “ใช่ แล้วก็ไม่ใช่”
เขาอยากมาส่งดวงวิญญาณของแม่หนูเฉียวไปสู่สุคติด้วย แต่ก็ทำได้เพียงปะปนอยู่ในฝูงชนเหมือนๆ กับชาวบ้านทั่วไปนับไม่ถ้วนเช่นนี้เท่านั้น
สีหน้าแววตาของชายชราดูหดหู่อยู่บ้าง เฉียวเจาทนดูไม่ได้ จึงยื่นมือไปกระตุกแขนเสื้อหลวมกว้างของเขา “ท่านปู่หลี่ ถ้าท่านออกเดินทางไกล เจาเจาคงคิดถึงท่านเป็นแน่เจ้าค่ะ”
ใบหน้าของหมอเทวดาหลี่ทอแววตะลึงงัน เขาหันขวับไปมองนาง ริมฝีปากสั่นน้อยๆ ยามเอ่ยถาม “แม่หนูเจา เจ้าว่าอะไรนะ”
เฉียวเจาเงยหน้าขึ้น สายตาฉายความรู้สึกจากใจจริง “ข้าพูดว่าถ้าท่านออกเดินทางไกล เจาเจาคงคิดถึงท่านเป็นแน่เจ้าค่ะ”
หมอเทวดาตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ ข้างหูละม้ายมีเสียงออดอ่อยของเด็กหญิงน้อยดังแว่วขึ้น ‘ท่านปู่หลี่ ถ้าท่านออกเดินทางไกล เจาเจาคงคิดถึงท่านเป็นแน่… ’
เขาเพ่งมองเฉียวเจานิ่งๆ อย่างสงสัยไม่แน่ใจ
ในแผ่นดินนี้จะมีคนสองคนที่คล้ายคลึงกันถึงเพียงนี้อยู่จริงๆ หรือ
หรือจะพูดว่าเป็นเพราะพวกนางคล้ายกันถึงทำให้เขาอยากใกล้ชิดเด็กสาวผู้นี้มากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“แม่หนูเจา เจ้ารู้จักบุรุษหน้าหยกสกุลเฉียวได้อย่างไรหรือ” หมอเทวดาหลี่ถามหยั่งเชิง
เฉียวเจาตอบโดยไม่กระมิดกระเมี้ยนสักนิด “ในเมืองหลวงขอแค่เป็นสตรี มีคนใดบ้างไม่อยากชมความสง่างามของบุรุษหน้าหยกสกุลเฉียวให้เป็นบุญตาล่ะเจ้าคะ เมื่อก่อนข้าเคยเห็นเขาตอนตามพวกพี่สาวออกมาข้างนอก ดังนั้นพอได้เห็นอีกครั้งในวันนี้ นึกถึงความเคราะห์ร้ายในเวลานี้ของเขาแล้วเลยอดเสียใจไปกับเขาด้วยไม่ได้เจ้าค่ะ”
นางกล่าวถึงตรงนี้แล้วหัวเราะ “แต่มีท่านปู่หลี่ช่วยรักษาให้เขาก็ดีแล้ว คนอื่นล้วนพูดว่าท่านเป็นหมอเทวดาอันดับหนึ่งในใต้หล้านะเจ้าคะ”
“แม่นางน้อยช่างปากหวานนัก” หมอเทวดาหลี่เขกหน้าผากนางเบาๆ
เฉียวเจาทำหน้ายิ้มๆ ไม่แม้แต่จะหลบ จู่ๆ นางก็ยกมือชี้ที่บุรุษสวมชุดสีดำผู้หนึ่งตรงท้ายขบวน เอ่ยเสียงกระซิบ “ท่านปู่หลี่เห็นคนผู้นั้นหรือไม่เจ้าคะ”
“คนใดหรือ คนตั้งมากมายอย่างนั้น”
“สวมชุดสีดำ ตัวสูงๆ อยู่ท้ายขบวนเจ้าค่ะ”
หมอเทวดาหลี่เพ่งสายตามองไปเห็นแต่คน ไหนเลยจะแยกออกว่าเฉียวเจาชี้ไปที่ใคร เขาถามอย่างไม่เอาใจใส่ “มีอะไรหรือ”
หรือว่าเป็นหนุ่มรูปงามถูกตาต้องใจแม่นางน้อยอีกแล้ว
“คนผู้นั้นเป็นองครักษ์จินหลินเจ้าค่ะ” แม่นางเฉียวบอกกล่าวด้วยน้ำเสียงที่คล้ายเปรยขึ้นลอยๆ
ทว่าแววตาของหมอเทวดาหลี่เคร่งเครียดขึ้นฉับพลัน
เยี่ยลั่วที่ทำตัวเป็นหุ่นไม้อยู่ตลอดก็เหลือบตามองเฉียวเจาแวบหนึ่งแล้วหลุบเปลือกตาลง
“แม่หนูเจา เจ้ารู้ได้เช่นไร” หมอเทวดาหลี่เบนสายตาไปทางท้ายขบวนแห่ซ้ำอีกที คราวนี้เขาตั้งใจมองมากขึ้น
“ข้าเคยเห็นน่ะสิ มีหนหนึ่งข้าไปที่ร้านน้ำชา แล้วได้พบเขากับผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเจ้าค่ะ” เฉียวเจากล่าวคำนี้อย่างแยบคายมาก
“ท่านปู่หลี่ ข้าได้ยินว่าคนที่ถูกองครักษ์จินหลินเพ่งเล็งจะเดือดร้อนมากเลยนะ คนผู้นั้นตามดูท่านแม่ทัพเซ่าใช่หรือไม่เจ้าคะ”
เยี่ยลั่วหูผึ่งทันใด
สะกดรอยตามท่านแม่ทัพของข้า? เจ้าลูกสมุนพวกนั้นน่าชังถึงที่สุดจริงๆ ข้าจะไปบอกให้ท่านแม่ทัพรู้!
“เอ่อ…ไม่แน่ว่าอาจสะกดรอยตามบุรุษหน้าหยกสกุลเฉียวก็ได้เจ้าค่ะ” เฉียวเจาเอ่ยขึ้นอีก
สะกดรอยตามบุรุษหน้าหยกสกุลเฉียว?
หมอเทวดาหลี่รู้สึกวาบลึกในอก เขาลอบตรึกตรอง หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องไฟไหม้เรือนสกุลเฉียว ได้ยินว่าทางราชสำนักส่งขุนนางไปสืบสวนที่จยาเฟิงแล้ว หรือว่าเหตุการณ์นั้นมีเงื่อนงำถึงดึงดูดความสนใจขององครักษ์จินหลิน
เขาคิดไปเช่นนี้แล้วก็เริ่มเป็นห่วงเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ของสหายเก่าเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วน เดิมทีตั้งใจว่าจะปะปนอยู่ในฝูงชนเพื่อแอบดูบาดแผลของเฉียวโม่ ก่อนออกจากเมืองหลวงไปเสาะหาตัวยา บัดนี้กลับตัดสินใจว่าต้องพบหน้าสักครั้งก่อนค่อยว่ากันอีกที
“เยี่ยลั่ว เจ้าตามขบวนแห่ไปก่อน รอนำฮูหยินของกวนจวินโหวลงฝังแล้วค่อยพาคนที่เสียโฉมผู้นั้นมาพบข้า”
เยี่ยลั่วไม่ขยับกาย “ท่านแม่ทัพไม่อนุญาตให้ข้าอยู่ห่างจากท่านหมอเทวดาขอรับ”
“รีบไป อยู่กลางฝูงชนมากมายถึงเพียงนี้ จะเกิดเรื่องใดขึ้นกับข้าได้เล่า”
“ท่านแม่ทัพไม่อนุญาตให้ข้าอยู่ห่างจากท่านหมอเทวดาขอรับ”
“ข้าบอกแล้วว่าไม่เป็นไร…”
“ท่านแม่ทัพไม่อนุญาตให้ข้าอยู่ห่างจากท่านหมอเทวดาขอรับ”
หมอเทวดาหลี่โกรธจนหนวดกระดิก เขาถลึงตาอยากจะถีบเจ้าท่อนไม้ผู้นี้สักทีหนึ่งก็เกรงว่าจะเจ็บขาตนเอง พาให้หมดปัญญากับอีกฝ่ายไปชั่วขณะ
เฉียวเจาบอกกับเยี่ยลั่วยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ขอให้คนที่อารักขาอยู่ลับๆ แบ่งสักคนไปเชิญเถอะเจ้าค่ะ”
หมอเทวดาหลี่ฟังแล้วพิศวงงงงวย เขาถามกับเยี่ยลั่ว “ยังมีคนอื่นอีกหรือ”
“มีขอรับ” เยี่ยลั่วพยักหน้า
“แล้วเหตุใดเจ้าไม่เคยบอกข้าเลย”
“ท่านไม่ได้ถามขอรับ”
หมอเทวดาหลี่ “…” อย่าห้ามข้า ข้าจะวางยาฆ่าเจ้าบัดซบผู้นี้ให้ตายไปเสียเป็นอันสิ้นเรื่อง!
เมื่อเห็นเยี่ยลั่วส่งสัญญาณมือไปที่จุดหนึ่ง จากนั้นก็ยืนกลับเข้าประจำที่ดังเก่า หมอเทวดาหลี่จึงถามเฉียวเจาอย่างจับผิด “แม่หนูเจา เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ายังมีคนอยู่ในที่ลับ”
“เอ่อ…ข้าแค่ลองถามดูเท่านั้นเจ้าค่ะ” เฉียวเจาตอบโดยไร้ความรับผิดชอบอันใดทั้งสิ้น
หมอเทวดาหลี่รู้สึกจุกตรงลำคอด้วยความโมโห
คิ้วของเยี่ยลั่วกระตุกริก เขาตวัดสายตามองเฉียวเจาแวบเดียวอย่างว่องไวแล้วหลุบตาลงคิดคำนึง โชคดีที่ท่านแม่ทัพมอบหมายให้เขาคุ้มครองหมอเทวดาผู้นี้ มาตรว่านิสัยจะแปลกประหลาดสักหน่อย แต่สติปัญญาไม่ฉับไวเท่าไร ถ้าส่งเขาไปคุ้มครองแม่นางผู้นี้ คงต้องปวดเศียรเวียนเกล้าแล้ว
หมอเทวดาที่ไม่ล่วงรู้เลยสักนิดว่าตนโดนยอดฝีมือนักบดยาดูแคลนแล้ว เขาโบกมือไปมา “กลับไปรอที่ร้านน้ำชาเถอะ อย่างช้าก่อนดวงอาทิตย์ตกก็น่าจะเสร็จสิ้น”
เฉียวเจามองไปทางขบวนแห่ยาวเฟื้อยคล้ายมังกรเลื้อยอยู่ไกลๆ ปราดหนึ่ง
ส่วนหัวมังกรเริ่มไต่ขึ้นเขา คนที่แห่ตามไปพวกนั้นก็ทยอยกันเดินกลับมา
นางหมุนกายเดินไปที่ร้านน้ำชาเป็นเพื่อนหมอเทวดาหลี่อย่างสงบ
เมื่อเข้าไปนั่งในร้านน้ำชาเรียบร้อย หมอเทวดาหลี่กรอกน้ำชาลงคอถ้วยหนึ่งแล้วเอ่ยกับนาง “แม่หนูเจา เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ออกมานานเกินไปผู้อาวุโสในจวนควรจะร้อนใจแล้ว”
เฉียวเจาบอกพร้อมรอยยิ้ม “ท่านปู่หลี่วางใจได้เจ้าค่ะ ข้าส่งสาวใช้คนหนึ่งกลับไปรายงานแล้ว”
หมอเทวดาหลี่กวาดตาดูอย่างละเอียด สาวใช้ที่ชื่ออาจูผู้นั้นหายตัวไปตั้งแต่เมื่อใดก็สุดรู้จริงๆ
เฉียวเจายกกาน้ำชาขึ้นรินน้ำชาถ้วยหนึ่งแล้วถือด้วยสองมือยื่นให้เขา “วันนี้เดิมทีข้าก็ออกมาเดินเล่นชมตลาด ไม่นึกว่าจะได้พบท่าน ท่านย่าจะต้องยินดีที่เห็นข้าอยู่เป็นเพื่อนท่านนานๆ แน่นอนเจ้าค่ะ”
หมอเทวดาคิดคำนึงว่าตอนนี้ยังเช้าอยู่ นั่งรอคนเดียวก็น่าเบื่อหน่ายจึงไม่พูดอะไรมากอีก เขานึกครึ้มใจขึ้นมา หยิบสมุดภาพยับยู่ยี่เล่มหนึ่งออกมาสอนให้เฉียวเจารู้จักจุดชีพจร แต่กลับต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าเขาสอนอะไรครั้งเดียวนางก็เข้าใจทันที ละม้ายเกิดปัญญารู้แจ้งในทุกสิ่งแล้วก็ไม่ปาน
หลังจากหายตกใจ หมอเทวดาหลี่ซึ่งทีแรกทำไปเพื่อฆ่าเวลาก็เปลี่ยนท่าทีเป็นเริ่มสอนอย่างเอาจริงเอาจังขึ้น
เมื่อตะวันเคลื่อนคล้อยลงทางทิศประจิม หมอเทวดากำลังสอนอย่างเพลิดเพลิน ก็มีเสียงฝีเท้าดังลอยมาจากนอกประตู
พี่ใหญ่มาแล้วหรือ! เฉียวเจาลุกพรวดขึ้น
หมอเทวดาหลี่มองนางอย่างหลากใจ
เฉียวเจาหัวเราะฝืดๆ “ดูเหมือนมีคนมาแล้วเจ้าค่ะ”
หมอเทวดานั่งอย่างเอื่อยเฉื่อยดุจเดิม “มาแล้วก็มาสิ ตื่นเต้นอะไร”