หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 123
สำหรับหมอเทวดาหลี่แล้ว เฉียวโม่เป็นผู้เยาว์ผู้หนึ่งเท่านั้น มีเพียงจุดเดียวที่ผิดจากผู้อื่นคือเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของสหายเก่า
ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกันมีเสียงขออนุญาตดังขึ้นหน้าห้อง เยี่ยลั่วที่ยืนนิ่งเป็นท่อนไม้อยู่ตลอดก็สืบเท้าไปเปิดประตู
บุรุษรูปโฉมสามัญยืนอยู่หน้าประตูไม่เข้ามา เขากระซิบบอกอะไรบางอย่างกับเยี่ยลั่วแล้วหมุนกายจากไป
เยี่ยลั่วปิดประตูสนิทถึงเดินย้อนกลับมา
หมอเทวดาหลี่เลิกคิ้วขึ้นพลางเอ่ยถาม “คนอยู่ที่ใดล่ะ”
“คนที่ท่านหมอเทวดาต้องการเชิญมาหมดสติไปหลังจากนำศพฮูหยินท่านแม่ทัพลงฝัง ท่านแม่ทัพของพวกข้าพาเขาไปแล้วขอรับ”
เฉียวเจาใจหล่นวูบ พลั้งปากถามขึ้นว่า “หมดสติ? เหตุใดถึงหมดสติ”
“เรื่องนี้ยังสืบถามไม่ได้ขอรับ”
“ท่านปู่หลี่…”
หมอเทวดาหลี่ลุกขึ้นยืน เขาดูไม่ร้อนรนนักขณะเอ่ยกับเฉียวเจา “ข้าไปดูสักหน่อย แม่หนูเจา เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ใกล้ฟ้ามืดแล้ว”
เฉียวเจาไม่มีเหตุผลจะตามไป ได้แต่ทำตาปริบๆ มองหมอเทวดาหลี่พาเยี่ยลั่วออกจากประตูไป
“คุณหนู?” ปิงลวี่เปล่งเสียงขึ้นทำลายความเงียบในห้องอย่างห้ามไม่อยู่ “พวกเรากลับเรือนดีหรือไม่เจ้าคะ”
สีหน้าของเฉียวเจากลับมาสงบนิ่งอีกครา “ไม่กลับ ไปที่โรงหมอจี้เซิง”
พี่ใหญ่หมดสติ ส่งเขากลับจวนแล้วค่อยตามหมอมาจะเสียเวลามากเกินไป ความเป็นไปได้มากที่สุดคือเซ่าหมิงยวนพาไปที่โรงหมอที่ไว้วางใจสักแห่งในละแวกใกล้ๆ เมื่อดูตามเส้นทางกลับเข้าเมืองแล้ว มีโอกาสแปดถึงเก้าในสิบส่วนที่เขาจะเลือกโรงหมอจี้เซิง
“ไปโรงหมอจี้เซิง? ที่นั่นเป็นโรงหมอมิใช่หรือเจ้าคะ” ปิงลวี่กลอกตาไปมาด้วยความงุนงง เห็นคุณหนูก้าวขาเดินออกไปข้างหน้าแล้วก็รีบเร่งตามไป
สองนายบ่าวออกจากร้านน้ำชาตรงดิ่งไปยังโรงหมอจี้เซิง พอไปถึงด้านนอกโรงหมอ เห็นชายหนุ่มสวมชุดสีขาวยืนอยู่เต็มไปหมด พินิจจากท่ายืนของพวกเขาแล้วมองออกได้ว่าล้วนเป็นทหาร
ชาวบ้านชมชอบสอดรู้สอดเห็น แต่เห็นคนที่ดูปราดเดียวก็รู้ว่าไม่พึงตอแยเหล่านี้แล้วต่างไร้ความกล้าจะเข้าไปใกล้ๆ พากันยืนล้อมวงมุงดูอยู่ห่างๆ
เฉียวเจาลอบระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง เห็นทีว่านางเดาถูกแล้ว เซ่าหมิงยวนพาพี่ใหญ่มาที่นี่ดังคาด
“คุณหนู พวกเราจะเข้าไปหรือไม่เจ้าคะ” ปิงลวี่มองเห็นพวกทหารร่างสูงใหญ่สีหน้าขึงขัง ต่อให้เป็นคนกล้าบ้าบิ่น ขณะนี้ก็รู้สึกขลาดกลัวอยู่บ้าง
สีหน้าของเฉียวเจานิ่งเรียบดุจผิวน้ำ นางกล่าวเสียงเบา “ไม่จำเป็น ดูอยู่ตรงนี้”
สาวใช้น้อยเบิกตากว้าง “พวกเรา…พวกเราก็มามุงดูหรือเจ้าคะ”
เฉียวเจามองนางแวบหนึ่งก่อนผงกศีรษะ “จะเข้าใจเป็นอย่างนี้ก็ได้”
ดูจากลักษณาการนี้ คนทั่วไปอยากเข้าโรงหมอต้องโดนปฏิเสธเป็นแน่ ซ้ำยังจะตกเป็นเป้าสายตามากเกินไป ในเมื่อท่านปู่หลี่บอกว่าจะมาดูพี่ใหญ่ ยังมีใครที่ทำให้นางวางใจได้มากไปกว่าหมอเทวดาอีกเล่า
นางมาถึงที่นี่แค่อยากรู้อาการของพี่ใหญ่โดยเร็วที่สุด
เวลาล่วงผ่านไปทีละน้อยทีละนิด แสงสนธยางดงามดุจบุปผาทาทาบขอบฟ้าเป็นสีแดงเรืองรอง
เฉียวเจายืนอย่างสงบ ขาของนางแข็งชาขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่เป็นฤดูที่อากาศค่อนข้างร้อนแต่กลับรู้สึกถึงกระไอเย็นเยือกระลอกหนึ่ง
ภายในโรงหมอจี้เซิง
เฉียวโม่ลืมตาขึ้นช้าๆ ในที่สุด คนที่สะท้อนเข้าคลองจักษุทำให้เขาอึ้งไปเล็กน้อย ดวงตาสีดำสนิทกลอกไปมาเบาๆ คล้ายว่ายังอยู่ในห้วงฝัน
“ท่านหมอเทวดา?” เขาลองเรียกขานคำหนึ่ง
“ฟื้นแล้วหรือ ไม่ต้องสงสัย เจ้าไม่ได้ฝันอยู่” หมอเทวดาหลี่มีสีหน้าเคร่งขรึมอยู่บ้าง
เฉียวโม่เอาสองมือเท้ากับพื้นเตียงจะยันตัวลุกขึ้นนั่ง
หมอเทวดาหลี่ยกมือกดหัวไหล่เขาไว้ “อย่าอวดเก่ง เอนกายลงนอนดีๆ เถอะ”
“เป็นผู้เยาว์เสียมารยาทแล้ว ท่านหมอเทวดาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรขอรับ”
เมื่อครั้งที่ท่านปู่ป่วยหนัก หมอเทวดาหลี่ช่วยดูแลจนท่านสิ้นลมถึงได้จากไปอย่างสบายใจ นับแต่นั้นก็ไม่เคยได้พบกันอีก
หมอเทวดาหลี่หย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้ด้านข้าง หยิบผ้าผืนยาวๆ เช็ดมืออย่างเชื่องช้าพลางไต่ถามเฉียวโม่ “เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้ ข้าขอถามเจ้า เจ้าพอจะรู้อะไรๆ บ้างหรือไม่ว่าเหตุใดเจ้าถึงหมดสติ”
เฉียวโม่ถูกถามก็นิ่งขึงไป คิ้วสีดำดุจหมึกมุ่นเข้าหากัน เขาตอบอย่างเก้อกระดาก “คงจะวิตกกังวลใจมากเกินไป อีกทั้งไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่มาโดยตลอด…”
“ไม่ใช่” หมอเทวดาหลี่ส่งเสียงตัดบท โยนผ้าที่เช็ดมือเสร็จแล้วทิ้งลงอ่างน้ำ เขามองเฉียวโม่ตาเขม็ง “เจ้าโดนยาพิษ”
“โดนยาพิษ?” นัยน์ตาของชายหนุ่มทอประกายวูบหนึ่ง
“ใช่ เจ้าโดนพิษหอมสูญ ไร้สีไร้กลิ่น เมื่อสะสมอยู่ในกายถึงระดับหนึ่งจะซ่อนตัวเงียบๆ ชั่วคราว รอจนกระทั่งร่างกายอ่อนแอเจ็บป่วยเช่นโดนลมเย็นถึงฉวยจังหวะออกฤทธิ์ จึงเป็นเรื่องยากมากที่หมอธรรมดาๆ จะหาต้นตอสาเหตุได้ ก็ได้แต่รักษาไปตามอาการและสั่งยาไม่ถูกกับโรค ส่วนผลลัพธ์ไม่ต้องตรองดูก็รู้ได้”
“เป็นเช่นนี้หรือขอรับ” เฉียวโม่หลุบตาลง เพราะอยู่ในระยะใกล้ แผลไฟไหม้ตรงแก้มซ้ายของเขาดูน่าขนพองสยองเกล้าเป็นพิเศษ “ท่านหมอเทวดา ท่านได้โปรดช่วยเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ อย่าบอกกับใครๆ ด้วยขอรับ”
“ได้ เจ้ารู้ดีแก่ใจก็พอ ข้าใช้เข็มเงินขับพิษออกมาให้เจ้าเมื่อครู่นี้ แม้ว่าตอนนี้ร่างกายเจ้าจะอ่อนแอ แต่พักฟื้นให้เต็มที่ก็จะค่อยๆ แข็งแรงขึ้น เฉียวโม่ ตกลงว่าเหตุไฟไหม้ที่เรือนของพวกเจ้าเป็นเรื่องราวอย่างไรกันแน่”
เฉียวโม่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนอ้าปากพูด “เพราะครบกำหนดไว้ทุกข์ให้ท่านปู่ ตลอดหลายวันนั้นข้าล้วนออกไปเยี่ยมคารวะสหายเก่าแก่ของตระกูลทุกวันตามคำสั่งของบิดาที่ล่วงลับไป วันที่เกิดเหตุข้ากลับถึงเรือนก็ยามเย็นแล้ว เปลวเพลิงกำลังโหมแรงลุกไหม้เรือนไปทั้งหลัง คนในหมู่บ้านที่เร่งรุดมาถึงต่างจนปัญญา ไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้ ข้าจึงฝ่าเข้าไปทางประตูหลังที่โดนไฟไหม้น้อยกว่าจุดอื่น ช่วยน้องสาวคนเล็กออกมา จากนั้นตัวเรือนก็พังทลายลงแล้วขอรับ”
หมอเทวดาหลี่ฟังจบแล้วนิ่งเงียบไปเป็นนานถึงถามขึ้น “เหตุไฟไหม้นั่น…เจ้าเห็นว่าเป็นภัยธรรมชาติหรือฝีมือคน”
เฉียวโม่หลุบตาลงกล่าวเสียงเบา “เรื่องนี้ข้ายังไม่มั่นใจ รอฟังว่าท่านผู้แทนพระองค์ที่เดินทางไปสืบคดีกลับมาแล้วจะพูดว่าอย่างไรก่อนขอรับ”
“ก็ดี อีกไม่กี่วันข้าจะไปจากเมืองหลวง รอกลับมาคราวหน้าค่อยรักษาใบหน้าให้เจ้า”
พอได้ยินว่าเขาจะรักษาใบหน้าให้ตนเอง ชายหนุ่มยังคงสงบเยือกเย็นมาก “ท่านหมอเทวดาจะจากเมืองหลวงไปในเร็ววันนี้แล้วหรือขอรับ”
หมอเทวดาหลี่หัวเราะ “ไม่จากเมืองหลวงไป จะรักษาใบหน้าเจ้าให้หายได้เช่นไร มีตัวยาชนิดหนึ่งที่เมืองหลวงไม่มี”
“ทำให้ท่านหมอเทวดาต้องวุ่นวายใจถึงเพียงนี้ ผู้เยาว์ละอายแก่ใจยิ่งนัก”
“เจ้าอย่าคิดมากเกินไป ด้วยไมตรีระหว่างข้ากับท่านปู่ของเจ้า ข้าเห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีทางนิ่งเฉยดูดาย นับประสาอะไรกับยังมีคนสองคนขอร้องแทนเจ้าอีก”
เฉียวโม่ประหลาดใจ ถึงบัดนี้ยังมีคนคำนึงถึงเขาอย่างนี้อีกหรือ
ภาพคนผู้หนึ่งผุดขึ้นในหัวเฉียวโม่อย่างปราศจากเหตุผล เขาถามยืนยัน “หรือว่าจะเป็นกวนจวินโหว”
หมอเทวดาหลี่เลิกคิ้วสูง “คนหนุ่มสาวยุคนี้แต่ละคนล้วนฉลาดเป็นกรดทั้งนั้น เป็นกวนจวินโหวขอให้ข้าออกโรงจริงๆ ตอนแรกเขาบอกข้าว่าไม่ต้องให้เจ้ารู้ แต่ข้าใกล้จะออกจากเมืองหลวงเต็มที คิดๆ ดูแล้วบอกกล่าวเจ้าไว้สักคำจะดีกว่า เจ้าหนุ่มนั่นมิได้ย่ำแย่อย่างที่คิด วันหน้าเจ้าอยู่ที่นี่ก็นับว่ามีคนคอยช่วยเหลืออีกแรง”
“ขอบคุณท่านหมอเทวดาที่คิดอ่านแทนข้า เพียงแต่ไม่ทราบว่าอีกคนหนึ่งเป็นใครหรือขอรับ”
“คนผู้นั้นน่ะหรือ…” สีหน้าของหมอเทวดาอ่อนละมุนลง เขายิ้มตาหยีกล่าวขึ้น “เป็นหลานสาวตัวน้อยของข้าเอง นางรู้สึกว่าเจ้ารูปงาม เสียโฉมไปก็น่าเสียดาย รอคราวหน้าข้าเข้าเมืองหลวงจะแนะนำให้พวกเจ้ารู้จักกัน” ยามนี้เฉียวโม่เผชิญกับปัญหายุ่งยากอย่างหนึ่งอยู่ อย่าเพิ่งให้แม่หนูเจาเข้ามาพัวพันด้วยเลย
เฉียวโม่อมยิ้มอย่างกลั้นไม่อยู่
รู้สึกเสียดายหรือ
หลานสาวของท่านหมอเทวดา ดูทีว่ายังคงเป็นเด็กหญิงน้อยๆ กระมัง ไม่รู้ว่าจะเป็นสหายกับหว่านวานได้หรือไม่นะ
เฉียวโม่ปล่อยใจล่องลอยไปชั่วอึดใจเดียว พอคิดถึงว่าตนโดนยาพิษอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย รอยยิ้มมุมปากก็นิ่งค้างไปน้อยๆ
เขาโดนยาพิษตั้งแต่เมื่อไรกันแน่