หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 125
คนป่วยผู้นั้นเป็นอย่างไรบ้าง?
เด็กสาวตรงหน้าเอ่ยถามคำนี้ ทั้งที่ให้ความรู้สึกว่าเป็นการถามไปเรื่อยเปื่อย แต่เซ่าหมิงยวนรับรู้ได้อย่างเฉียบไวว่าดูเหมือนคำถามนี้จะสำคัญต่อนางมาก
เขาจึงกล่าวตอบอย่างจริงจังเช่นกัน “ท่านหมอเทวดาบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก พักผ่อนให้มากๆ ก็พอ”
เฉียวเจาระบายลมหายใจเฮือกหนึ่งในที่สุด พี่ใหญ่ไม่เป็นอะไรก็ดี
แม้จะเสียดายที่ไม่ได้พูดคุยกับพี่ชายสักคำ แต่รู้ว่าเขาไม่เป็นอะไรมาก เฉียวเจาก็ผ่อนคลายสบายใจเต็มที่ นางส่งยิ้มน้อยๆ ให้ชายหนุ่ม
“เมื่อครู่ตอนแรกข้าอยู่กับท่านปู่ ใครจะรู้พอเขาได้ยินว่าคุณชายเฉียวล้มป่วยก็ผลุนผลันจากไป ข้าเลยถามดูเฉยๆ เจ้าค่ะ”
เซ่าหมิงยวน “…” ถึงแม้ไม่มีเหตุผลอะไร แต่เด็กสาวผู้นี้ดูคล้ายกำลังพูดกลบเกลื่อนอยู่
เฉียวเจาตระหนักได้ถึงจุดนี้อย่างว่องไว รอยยิ้มตรงริมฝีปากจึงนิ่งค้างไปน้อยๆ นางเพ่งสายตามองเซ่าหมิงยวน เขาช่างสังเกตกว่าที่นางคิดไว้
“คุณหนูหลียังมีธุระอันใดอีกหรือไม่”
เฉียวเจาส่ายหน้า “ไม่มีแล้วเจ้าค่ะ”
ประกายตาของชายหนุ่มเข้มขึ้น
ไม่ใช่ ‘ไม่มี’ แต่เป็น ‘ไม่มีแล้ว’
หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือทีแรกมีธุระ ทว่าตอนนี้ไม่มีแล้ว
ถ้าเช่นนั้นจริงๆ แล้วที่คุณหนูหลีอยากรู้คือพี่เฉียวโม่ปลอดภัยดีหรือไม่
นี่เป็นเพราะอะไร หรือคุณหนูหลีรู้จักกับพี่เฉียวโม่อยู่แต่เดิม
จริงสิ เมื่อก่อนพี่เฉียวโม่อยู่ในเมืองหลวง ว่าไปแล้วมีความเป็นไปได้ที่เขากับนางจะรู้จักกัน
หรือว่า…คุณหนูหลีเป็นผู้หลงใหลในตัวพี่เฉียวโม่?
เซ่าหมิงยวนหลุบตาลงมองเด็กสาวเบื้องหน้า
เขาเคยได้ยินหยางโฮ่วเฉิงเอ่ยว่าฉือชั่นกับพี่ชายของภรรยาเขาล้วนได้รับความนิยมชมชอบจากสตรีทั้งหลายในเมืองหลวงอย่างมาก
เฉียวเจาเม้มปาก คนผู้นี้คิดอะไรอยู่ นางรู้สึกไม่วายว่ามีที่ใดที่หนึ่งแปลกชอบกล
“แค่กๆ แม่ทัพเซ่าเชิญตามสบายเถอะ เย็นมากแล้ว ข้าสมควรกลับจวนเช่นกัน” เมื่อได้รู้ในสิ่งที่อยากรู้ เฉียวเจายอบกายคารวะแล้วตั้งท่าจะอำลากลับ
เซ่าหมิงยวนเงยหน้ามองท้องฟ้าแวบหนึ่ง แสงสนธยาอาบไล้ผืนเมฆตรงขอบฟ้าเริ่มสลัวรางลงทีละน้อย เป็นเวลาเย็นมากแล้วจริงๆ
“ข้าให้คนไปส่งท่านเถอะ” เขากล่าวได้อย่างไม่ขัดเขิน
หมอเทวดาให้เขาดูแลคุณหนูหลีให้ดี เช่นนั้นเขาต้องทำตามที่ได้รับไหว้วานสุดความสามารถเป็นธรรมดา
เฉียวเจาอึ้งไปเล็กน้อย ในใจรู้สึกขัดเคืองชอบกล
คนผู้นี้…หรือว่าสตรีคนใดเข้ามาพูดคุยกับเขา เขาล้วนต้องให้คนพาไปส่ง?
เช่นนั้นเกรงว่าไม่ถึงหนึ่งปี คงมีสตรีที่อยากแต่งงานกับเขาเป็นแถวยาวเหยียดจากจวนจิ้งอันโหวไปถึงนอกประตูเมือง
ท่านโหวหนุ่มบุญหนักศักดิ์ใหญ่และอ่อนโยนมีมารยาท!
เอ่อ…นี่ดูเหมือนมิใช่เรื่องของข้า แต่คิดๆ แล้วยังคงคับอกคับใจอยู่บ้าง ตอนนั้นเจ้าคนผู้นี้ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ยิงธนูสังหารข้าซึ่งเป็นภรรยาถูกต้องตามประเพณี แต่กับเด็กสาวคนอื่นเขากลับอ่อนโยนใจดี?
เมื่อเห็นสีหน้าเด็กสาวขึงตึงไปกะทันหัน ท่านแม่ทัพหนุ่มก็งุนงงอยู่สักหน่อย
ดูเหมือนเขายังไม่ได้พูดอะไรนะ
“ไม่ต้อง ข้ามีสาวใช้ติดตามมาด้วย ขืนท่านแม่ทัพยังไม่ไปอีก เกี้ยวน่าจะห่างไปไกลแล้ว”
“เช่นนั้นก็ได้ ข้าขออำลา” เซ่าหมิงยวนรู้สึกว่ารีบไปก่อนที่เด็กสาวผู้นี้จะบันดาลโทสะเป็นการดี เขาหมุนกายออกเดินไปหลายก้าวก็แจ่มแจ้งในบัดดล
การที่คุณหนูหลีไม่พึงใจเพราะคราวก่อนเขาไปกินอาหารที่จวนสกุลหลีแล้วนางตั้งใจเตรียมอาหารรับรองเป็นพิเศษ แต่เขามิได้แสดงความขอบคุณใช่หรือไม่
เมื่อคิดไปเช่นนั้น แม่ทัพหนุ่มก็หันหลังกลับ ประสานมือคำนับเด็กสาวที่ทำหน้าตึงอยู่ “ขอบคุณคุณหนูหลีที่ต้อนรับขับสู้ในวันนั้น อ้อ…ซานเย่าอร่อยมาก…”
ซานเย่าอร่อยมากหมายถึงอะไร พิลึกคน!
เฉียวเจามีสีหน้าขึงตึงมากขึ้น
“ขออำลา!” แม่ทัพหนุ่มงุนงงทำอะไรไม่ถูก เขาจึงลุกลนจากไป
เซ่าหมิงยวนเร่งฝีเท้าไล่กวดไปจนตามทันเกี้ยว ลอบสั่งกำชับองครักษ์ผู้หนึ่ง “ตรงหน้าโรงหมอมีคุณหนูสวมเสื้อสีเขียวกระโปรงสีขาวท่านหนึ่ง เจ้าแอบตามไปส่งนางถึงเรือน ระวังอย่าให้นางจับได้”
องครักษ์ “…” สวรรค์ ท่านแม่ทัพของพวกเรามอบใจให้คุณหนูท่านหนึ่งตั้งแต่แรกพบหรือนี่! น่าตื่นเต้นยิ่งนัก ทว่าบอกใครไม่ได้!
องครักษ์ซึ่งได้พบอาหารปากจานใหญ่กลับได้แต่ปิดปากแน่นสนิทย้อนกลับไปทางเดิมเงียบๆ
เฉียวเจาดึงสายตาคืน ตะโกนเรียกปิงลวี่ด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ปิงลวี่ มัวยืนทื่ออะไรอยู่ กลับจวน”
สาวใช้น้อยที่ตะลึงงันตาค้างอยู่ตลอดเพิ่งสติได้ในเวลานี้ นางยกสองมือกุมแก้มพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “คุณ…คุณหนู ท่านยอดเยี่ยมเหลือเกินจริงๆ เจ้าค่ะ”
“หือ?” แววตาเลื่อมใสอย่างแรงกล้าของสาวใช้น้อยทำให้เฉียวเจาแปลกใจชอบกล
“ท่านถึงกับ…ได้พูดคุยกับกวนจวินโหวอีกแล้ว”
อีกแล้ว…
คำนี้ทำให้แม่นางเฉียวผู้เยือกเย็นเป็นนิจบังเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากถีบสาวใช้น้อยสักทีหนึ่งอย่างกะทันหัน นางทำหน้าขรึมกล่าวขึ้น “ไปจ้างรถม้าเถอะ”
“เจ้าค่ะ” สำหรับปิงลวี่แล้ว คุณหนูของตนได้พูดคุยกับกวนจวินโหวคุ้มค่ากว่าการชมความครึกครื้นมาทั้งวันเป็นอย่างมาก นางรับคำอย่างร่าเริงเบิกบานทันทีแล้วหมุนกายเดินไปที่หัวมุมถนน
พอเหลือนางอยู่ตามลำพัง เฉียวเจาถอนใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง พลันนั้นมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นเบื้องหลัง
นางหันขวับไปก็เห็นคนผู้หนึ่งก้มหน้ามองตนอยู่ มุมปากแต้มรอยยิ้มอย่างมีนัย
“พี่เจียง?”
“คุณหนูหลี ข้าพบเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจมาก”
“เรื่องใดหรือ” เมื่อเผชิญหน้ากับองครักษ์จินหลินซึ่งเป็นสิบสามราชองครักษ์อันโด่งดังลือลั่น เฉียวเจาเก็บงำอารมณ์ทั้งหมดไว้ เอ่ยถามเขาเสียงเรียบ
“ท่านไม่เพียงรู้จักข้า ยังรู้จักคุณชายสกุลเฉียวด้วย”
เฉียวเจาหน้าไม่เปลี่ยนสี “บุรุษหน้าหยกสกุลเฉียวสง่างามไม่เป็นสองรองใคร หญิงสาวในเมืองหลวงที่รู้จักเขามีตั้งมากเท่าใดก็สุดรู้ ส่วนพี่เจียงนั้น…”
เด็กสาวแย้มปากยิ้ม “มิใช่เพิ่งรู้จักกันในวันประสูติของพุทธองค์หรอกหรือ จนบัดนี้ข้าไม่รู้ว่าพี่เจียงพำนักอยู่แห่งหนตำบลใดและชื่อเรียงเสียงไรเลยนะ”
ถึงได้ยินเฉียวเจากล่าวเช่นนี้ แต่คราครั้งนี้เจียงหย่วนเฉามิได้ตกใจหนีไป กลับบอกด้วยรอยยิ้มเอื่อยๆ “เช่นนั้นท่านฟังให้ดี ข้าแซ่เจียงนามหย่วนเฉา ขณะนี้พำนักอยู่ที่จวนท่านผู้บัญชาการเจียง คุณหนูหลียังมีอะไรอยากถามอีกหรือไม่”
“ไม่มีแล้ว พี่เจียง ข้าสมควรกลับเรือนแล้ว” เฉียวเจายอบกายเล็กน้อยแล้วหันหลังจะเดินจากไป
เจียงหย่วนเฉากล่าวเสียงเนิบๆ ไล่หลังนาง “แต่ข้ายังมีเรื่องอยากถามคุณหนูหลีอีก ท่านอย่าเพิ่งไปจะดีกว่า”
เฉียวเจาหมุนกายกลับมาแล้วถอนใจ “ตอนนี้ข้ามีคำถามอีกแล้ว”
“เช่นนั้นท่านพูดก่อน”
เฉียวเจามองหน้าเจียงหย่วนเฉา จู่ๆ นางก็ยิ้มออกมา “พี่เจียงมักปรากฏตัวตรงหน้าข้าบ่อยๆ อีกทั้งกล่าววาจามากมายเฉกนี้ ข้าจะคิดได้ว่าท่านอาจแอบหลงรักข้าอยู่ก็เป็นได้”
รอยยิ้มตรงมุมปากของเขาชะงักค้าง ดูตะลึงงันไปอย่างเห็นได้ชัด
ใต้หล้านี้ยังมีเด็กสาวหน้าหนาเพียงนี้อีกหรือ
นางเพิ่งอายุเท่าไร เขาต้องวิปริตเพียงใดถึงคิดมิดีมิร้ายกับสาวน้อยผู้หนึ่ง
ครั้นคิดไปเช่นนี้ เจียงหย่วนเฉามองสำรวจเฉียวเจาโดยไม่รู้ตัว
เด็กสาวมีเรือนร่างบอบบางอรชร รูปโฉมพริ้มเพราอ่อนเยาว์ ราวกับต้นดอกพุดซ้อนที่เพิ่งผลิดอกตูม ค่อยๆ แย้มบานทีละน้อยทีละนิดอย่างเงียบๆ มาตรว่ายังบริสุทธิ์ไร้เดียงสานัก แต่กลับมีเหตุผลมากพอให้จิตใจหวั่นไหวได้
เด็กสาวในวัยเยาว์อ่อนต่อโลกกลับเยือกเย็นชาญฉลาด ความขัดแย้งในตนเองเยี่ยงนี้ก็เพียงพอที่จะดึงดูดสายตาของผู้คนได้แล้ว
ฉะนั้นจะได้รับความสนใจก็ไม่น่าแปลกกระมัง
ประเดี๋ยวก่อน ไฉนเขาถูกพาออกนอกลู่นอกทางไปเสียแล้ว
มุมปากของชายหนุ่มกระตุกริกๆ เขาดึงสายตากลับอย่างกระดากใจ
“พี่เจียงยังมีเรื่องอะไรจะถามข้าหรือเจ้าคะ” เฉียวเจาถามเสียงราบเรียบ
“ท่านรู้ได้เช่นไรว่าข้าคือองครักษ์จินหลิน”
บางทีที่นางซื้อถังหูลู่ของเจียงเฮ่อคราวนั้น อาจแค่บังเอิญจำได้ว่าเขาเป็นคนที่เคยพบที่ร้านน้ำชา หาได้เดาออกว่าพวกเขาเป็นองครักษ์จินหลิน
น่าจะเป็นเขาที่คิดมากไปเอง หาไม่แล้วเด็กสาวผู้หนึ่งรู้ว่าเขาเป็นองครักษ์จินหลิน ไฉนไม่หวาดกลัวสักน้อยนิด ซ้ำยังกล้า…เกี้ยวพานเขา?
จากประสบการณ์เท่าที่เขาอยู่มาจนอายุยี่สิบเศษ เมื่อครู่นี้เป็นการเกี้ยวพาราสีกระมัง
เจียงหย่วนเฉาครุ่นคิดอย่างไม่มั่นใจ