หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 128
วันถัดมาจู่ๆ ก็ฟ้าครึ้มเสียแล้ว
เฉียวเจานำหมึกจิ้งเยียนชั้นดีที่เลือกซื้อไว้เมื่อวาน นั่งรถม้าม่านสีเขียวไปที่วัดต้าฝู
คนที่นำทางนางไปยังอารามซูอิ่งยังคงเป็นเณรน้อยเสวียนจิ่ง
หลายวันมานี้เสวียนจิ่งฟันหลุดไปอีกซี่หนึ่ง เวลาพูดจะเผยให้เห็นว่าฟันหน้าหลอไปสองซี่ แลดูน่ารักแกมขบขัน
เขาโดนพวกศิษย์พี่ล้อเลียนเพราะเหตุนี้ไม่เลิกรา พอเห็นปิงลวี่ก็คล้ายประจันหน้ากับข้าศึกใหญ่ แสดงคารวะต่อเฉียวเจาแล้วเดินนำทางอยู่ข้างหน้าโดยไม่เปล่งเสียงพูด
ปิงลวี่กลับไม่ละเว้นเขา นางหยิบฟักเชื่อมแห้งเนื้อใสเคลือบเกล็ดน้ำตาลขาวๆ หลายชิ้นจากถุงผ้าปัก พูดด้วยรอยยิ้มพรายว่า “ซือฟู่น้อย กินฟักเชื่อมหรือไม่”
เสวียนจิ่งตวัดสายตามองฟักเชื่อมแล้วสั่นศีรษะถี่รัวเหมือนกลองป๋องแป๋ง
เขาไม่กินๆ หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่กิน คราวก่อนก็เพราะกินขนมหวานถึงได้ฟันหลุด
“ไม่กินจริงๆ หรือ ขนมหวานชิ้นนี้อร่อยมากเลยนะ เนื้อนุ่มนิ่มหวานชื่นใจ ข้าตั้งใจซื้อมาจากร้านขนมเก่าแก่อายุร้อยปีเชียวนะ”
ร้านเก่าแก่อายุร้อยปี?
นั่นจะไม่แก่ชรากว่าท่านพระอาจารย์เจ้าอาวาสอีกหรือไร แล้วฟักเชื่อมที่ร้านขนมเก่าแก่อายุร้อยปีขายจะมีรสชาติอย่างไรนะ
เณรน้อยไล่สายตามองตามฟักเชื่อมในมือปิงลวี่ พลางลอบกลืนน้ำลายเอื้อกๆ
ปิงลวี่เห็นแล้วยิ้มไม่หยุด เอาผ้าห่อฟักเชื่อมยัดใส่มือเสวียนจิ่งและหยิกแก้มน้อยๆ ของเขาทีหนึ่ง “รีบกินเถอะ พักนี้เจ้าไม่ได้กินขนมหวาน ฟันก็หลุดไปอีกซี่หนึ่งอยู่ดีไม่ใช่หรือ”
เณรน้อยกำฟักเชื่อมไว้แน่น ดวงหน้าเล็กแดงซ่านทันที พวกสีกาน่าชังเป็นที่สุด!
พอเห็นเณรน้อยก้าวขาสั้นๆ ออกเดินลิ่วๆ ไปข้างหน้า ปิงลวี่ก็หัวเราะคิกคัก
เมื่อไปถึงหน้าอารามซูอิ่ง ปิงลวี่ถูกรั้งตัวไว้ด้านนอก ส่วนเฉียวเจาเดินตามภิกษุณีจิ้งซีเข้าไป
“วันนี้คุณหนูสามมาเร็ว” จิ้งซีแย้มยิ้มเป็นกันเอง
คุณหนูสามท่านนี้มาหลายครั้งแล้ว ทุกครั้งที่นางมา ดูเหมือนพระอาจารย์อามักเบิกบานใจขึ้นบ้าง
“ข้าเห็นฟ้าครึ้มๆ อยู่สักหน่อย กลัวจะเจอฝนระหว่างทางก็เลยรีบมาก่อนเจ้าค่ะ”
“ดูท่าทางอาจจะฝนตกนะ” จิ้งซีมองท้องฟ้าแวบหนึ่งก่อนเร่งฝีเท้าพาเฉียวเจาเข้าไปด้านใน
“มาแล้วหรือ” อู๋เหมยซือไท่วางแส้ปัดฝุ่นลง อ้าปากกล่าวเสียงเรียบๆ
เฉียวเจาถือหมึกจิ้งเยียนด้วยสองมือยื่นส่งให้ “เมื่อวานข้าไปเดินชมตลาด ซื้อหมึกแท่งหนึ่งนำมาให้ท่านใช้เจ้าค่ะ”
นางพูดอย่างเปิดเผยด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ เฉกเดียวกับผู้เยาว์ที่รู้ความและช่างเอาใจใส่ในเรือนของคนทั่วๆ ไปมากมายที่ออกไปข้างนอกแล้วพบสิ่งของที่ถูกใจผู้อาวุโสก็ซื้อกลับมาให้ท่านดีใจ
อู๋เหมยซือไท่พึงใจเป็นอันมาก รับมาดูลักษณะเนื้อหมึกครู่เดียวก็เผยรอยยิ้มจางๆ “ไม่เลว วันนี้ใช้หมึกแท่งนี้คัดลอกพระธรรมเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
เฉียวเจาล้างมือจุดธูปไหว้พระแล้ววางกระดาษปูบนโต๊ะอย่างคล่องแคล่วคุ้นเคย ฝนหมึกหยิบพู่กันมาเริ่มคัดลอกพระธรรม
นางนั่งตัวตรงเป็นสง่า ตวัดพู่กันเขียนปราดๆ อย่างพลิ้วไหว ระหว่างที่เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ เด็กสาวเริ่มใจลอยทีละน้อย
แม้นเซ่าหมิงยวนจะบอกว่าพี่ใหญ่ไม่เป็นอะไรมาก แต่พี่ใหญ่ไม่ใช่บัณฑิตผ่ายผอมอ่อนแอ ถึงขั้นเป็นลมหมดสติได้ที่ใดกัน
เป็นอาการสืบเนื่องจากแผลไฟไหม้ หรือเพราะเห็นนางถูกนำลงฝังแล้วเศร้าโศกเสียใจมากเกินไป
มิไยว่าจะเป็นความเป็นไปได้ประการใดล้วนทำให้เฉียวเจาปวดใจเหลือจะกล่าว นางไม่ทันระวังทำหมึกหยดลงบนกระดาษเซวียนจื่อหยดหนึ่ง มันซึมกระจายออกในพริบตา
นางยกพู่กันขึ้นดึงสติคืนมา จ้องมองรอยหมึกที่กระจายเป็นวงอย่างงงงัน
อู๋เหมยซือไท่ทางด้านหลังพลันเอ่ยปากขึ้น “วันนี้เจ้ามีความในใจหรือ หากจิตใจไม่สงบ อย่าคัดลอกพระธรรมจะดีกว่า”
เฉียวเจาวางพู่กันลง หันกายไปกล่าวอย่างขอลุแก่โทษ “ซือไท่กล่าวได้ถูกต้องเจ้าค่ะ”
อู๋เหมยซือไท่พิศดูเฉียวเจาครู่หนึ่งถึงไต่ถามนาง “พบกับปัญหาใดใช่หรือไม่”
เฉียวเจารู้สึกอบอุ่นในอกน้อยๆ ผู้มีศักดิ์ฐานะเฉกอู๋เหมยซือไท่เอ่ยถามนางเช่นนี้ก็หาได้ยากแล้ว
วันนี้อู๋เหมยซือไท่สวมจีวรสีเทาปลอด ทั้งที่เรียบง่ายอย่างที่สุด กลับทำให้นางรู้สึกถึงความงามกระจ่างตาที่ตกผลึกตามกาลเวลา ทว่าเมื่อความงดงามเช่นนี้อยู่คู่กับจีวรสีหม่นจางกลับชวนให้บังเกิดความเสียดายอย่างไร้สาเหตุ
จู่ๆ เฉียวเจาก็คิดคำนึงว่าในอดีตอู๋เหมยซือไท่ประสบผ่านความขัดแย้งในจิตใจเช่นไรถึงออกบวชนะ
ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใด นางนึกอยากปรับทุกข์
“ซือไท่ หากมีคนผู้หนึ่งที่ท่านเป็นห่วงเขา อยากพบเขามาก แต่กลับติดขัดที่ฐานะจึงไม่มีเหตุผลใดๆ ให้เข้าใกล้ได้ เช่นนั้นสมควรทำฉันใดดีเจ้าคะ”
เมื่อวานถ้าไม่ใช่เพราะพี่ใหญ่หมดสติ นางแทบจะมั่นใจได้เลยว่าจะต้องได้พบกับเขาที่ร้านน้ำชาแห่งนั้น แต่เผอิญเกิดข้อผิดพลาดเสียก่อน
นี่คงเป็นดังคำกล่าวว่าแผนการอยู่ที่คน ผลสำเร็จขึ้นอยู่กับฟ้ากระมัง ถ้าอย่างนั้นนางจะเข้าไปใกล้ชิดสองสาวพี่น้องสกุลโค่วทีละก้าวผ่านทางชุมนุมฟู่ซานเพื่อหาโอกาสพบหน้าพี่ใหญ่ จะเกิดเรื่องไม่คาดฝันอีกหรือไม่
นางอยากพบกับพี่ใหญ่เหลือเกินจริงๆ ถึงขั้นอยากจะวิ่งไปที่จวนเสนาบดีบอกเขาว่านางคือเฉียวเจา…เฉียวเจาน้องสาวของเขาแทบใจจะขาด
ทว่าถึงที่สุดแล้วก็ทำไม่ได้ บัดนี้นางคือหลีเจา หากกระทำการอย่างหุนหันพลันแล่น คนอื่นต้องคิดว่านางสติฟั่นเฟือนเป็นแน่ อีกทั้งเป็นไปไม่ได้ที่พี่ใหญ่ซึ่งเล่าเรียนหนังสือตำรานักปราชญ์อย่างแตกฉานจะเชื่อเรื่องพิสดารพันลึกปานนี้
เว้นแต่ว่า…
เฉียวเจาคิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งกะทันหัน เว้นเสียแต่ว่าจะได้พบปะพูดคุยกับพี่ชายเป็นเวลานาน ให้เขาค่อยๆ ค้นพบว่านางคล้ายคลึงกับน้องสาวที่ตายไปเพียงนี้ และส่งผลให้เป็นฝ่ายบังเกิดความคิดนี้ขึ้นเอง
กระนั้นก็วกกลับมาที่ปัญหาเดิมอีก นางมีเหตุผลอะไรที่จะพบหน้าพี่ใหญ่บ่อยๆ ได้เล่า
เป็นคราครั้งแรกที่แม่นางเฉียวรู้สึกสับสนวุ่นวายใจ
อู๋เหมยซือไท่อ้าปากกล่าววาจาแล้ว “ถ้าไม่ลืมเขาเสีย ก็…ลืมเรื่องฐานะและเหตุผล กระทำไปตามใจปรารถนา”
ตามใจปรารถนา?
คำกล่าวของอู๋เหมยซือไท่เป็นดั่งไม้เคาะกระหม่อมให้สติ ขับไล่ความสับสนวุ่นวายในใจเฉียวเจาให้มลายหายไป
จริงสิ นางจะกลัวอะไร จะหวั่นไหวด้วยเหตุใด สวรรค์ให้ชีวิตใหม่แก่นางเป็นการให้โอกาสนาง มิใช่พันธนาการนางไว้
ล้มเหลวครั้งหนึ่ง ยังมีครั้งที่สอง…ครั้งที่สาม
ขอเพียงพี่ใหญ่ยังอยู่ ขอเพียงนางยังอยู่ ย่อมจะมีสักวันที่ความคิดของนางต้องกลายเป็นความจริง
“ขอบคุณซือไท่มากเจ้าค่ะ ข้าเข้าใจแล้ว”
“เข้าใจก็ดีแล้ว” อู๋เหมยซือไท่ยิ้มเอื่อยๆ เบนสายตามองไปนอกหน้าต่าง
ลืมเรื่องฐานะและเหตุผล กระทำไปตามใจปรารถนา ก็อาจล้มเหลวได้เช่นกัน
แค่ว่าอย่าเอ่ยถ้อยคำหลังกับเด็กผู้นี้จะดีกว่า ตัวนางอาจเคยล้มเหลว แต่หวังว่าเด็กผู้นี้จะประสบความสำเร็จ
“พระอาจารย์อา องค์หญิงเก้าเสด็จมาเจ้าค่ะ” ยามนี้เองจิ้งซีเข้ามารายงาน
“เจินเจิน?” อู๋เหมยซือไท่มองเฉียวเจาปราดหนึ่งก่อนบอกเสียงราบเรียบ “ให้นางเข้ามาเถอะ”
ผ่านไปครู่หนึ่ง องค์หญิงเจินเจินซึ่งรออยู่นอกประตูอารามซูอิ่งก็ถูกเชิญเข้ามา
“ซือไท่ เจินเจินคิดถึงท่านยิ่งนัก วันนี้ข้าอ่านคัมภีร์พระธรรมให้ท่านฟังดีหรือไม่เจ้าคะ”
องค์หญิงเจินเจินเข้ามาแล้วเห็นเฉียวเจาอยู่ข้างกายอู๋เหมยซือไท่ นางลอบไม่สบอารมณ์ แต่ใบหน้ายังประดับรอยยิ้มอ่อนหวาน
นับแต่เด็กสาวผู้นี้มาคัดลอกพระธรรมกับซือไท่ นางก็ได้พบกับซือไท่น้อยครั้งลง ช่างน่าขัดเคืองจริงๆ
“อ่านสิ” อู๋เหมยซือไท่พยักหน้าแล้วนั่งขัดสมาธิ
องค์หญิงเจินเจินเห็นอู๋เหมยซือไท่มิได้ปฏิเสธก็แย้มปากยิ้ม นั่งคุกเข่าบนอาสนะเริ่มต้นอ่านคัมภีร์พระธรรม
สุ้มเสียงของนางอ่อนหวาน อ่านออกเสียงชัดถ้อยชัดคำ ได้หลับตาฟังเช่นนี้เป็นความเพลิดเพลินเจริญใจอย่างหนึ่งโดยมิต้องสงสัย
ยังอ่านคัมภีร์พระธรรมเล่มหนึ่งไม่จบก็เห็นลมหายใจของอู๋เหมยซือไท่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ สีหน้าสงบนิ่ง บ่งบอกว่านางเข้าฌานไปแล้ว
องค์หญิงเจินเจินเห็นดังนั้นก็วางคัมภีร์พระธรรมลง ย่องออกจากห้องวิปัสสนาอย่างระมัดระวัง
เฉียวเจาถอยออกไปเช่นกัน
องค์หญิงเจินเจินยืนรออยู่ข้างนอก เห็นเฉียวเจาออกมาก็เอ่ยขึ้น “เจ้าตามข้ามา”
ทั้งคู่ยืนนิ่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์ เฉียวเจาถามอย่างสงบนิ่ง “ไม่ทราบว่าองค์หญิงทรงเรียกข้ามาด้วยเรื่องใดเพคะ”