หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 129
“คราก่อนข้าเห็นเจ้า” องค์หญิงเจินเจินยกมือเด็ดใบโพธิ์มาหนึ่งใบขยำเล่นในมือ “บนถนน”
“เพคะ” เฉียวเจาไม่ค่อยเข้าใจความหมายของถ้อยคำนี้นัก
“เจ้ากับญาติผู้พี่ของข้าเป็นอะไรกันกันแน่” พอเห็นเฉียวเจาทำน้ำเสียงเรียบเฉย องค์หญิงเจินเจินชักขุ่นใจ โยนใบไม้ที่ขาดวิ่นทิ้งลงบนพื้น จ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาวาวโรจน์ “อย่าหลอกข้าเหมือนเป็นคนโง่เขลา ด้วยนิสัยของญาติผู้นี้ ถ้าแค่เพราะอยากรู้อยากเห็นการแสดงกลหยิบเหรียญในหม้อน้ำมันที่งานวัด เป็นไปไม่ได้ที่จะยื่นไมตรีต่อเจ้าถึงเพียงนี้”
มิใช่ยื่นไมตรีเท่านั้น หลายปีมานี้พี่ฉือแทบจะไม่เคยพูดจาดีๆ กับสตรี ตอนอยู่ที่ประตูเมืองวันนั้นแทบจะทำให้นางนึกว่าตนเองตาฝาดไปเลยทีเดียว
บุรุษที่ถึงโดนยั่วโทสะก็ยังคงทำใจแข็งไม่ลงกับท่าทางที่ทั้งห่วงใยทั้งจนปัญญาอย่างนั้น เป็นญาติผู้พี่ที่ปากร้ายหยิ่งยโสของนางจริงหรือ
“เจ้าพูดสิ ร้อนใจแล้วรึ หือ?” องค์หญิงเจินเจินทอดหางเสียงยาวๆ
เฉียวเจากลั้นยิ้มไม่อยู่ “หม่อมฉันไม่ทราบว่าที่แท้จำเป็นต้องทูลรายงานเรื่องพวกนี้ต่อพระองค์ด้วยเพคะ”
องค์หญิงเจินเจินโดนตอกกลับถึงกับสะอึกไป นางทำหน้าบึ้งทันควัน “บังอาจ! ข้าถามความเจ้าอยู่ เจ้าแสดงท่าทีเยี่ยงนี้หมายความว่าอะไร”
เฉียวเจาหุบยิ้ม กล่าวอย่างสุภาพเรียบร้อย “หม่อมฉันกับคุณชายฉือนับเป็นสหายกันกระมัง”
“เป็นสหายกัน?” องค์หญิงเจินเจินไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัด นางสืบเท้าขึ้นหน้าหนึ่งก้าวเข้าไปใกล้ๆ เฉียวเจา “เป็นไปได้อย่างไร ญาติผู้พี่ของข้าจะเป็นสหายกับเจ้า เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใคร”
คนอย่างฉือชั่นนั้น กระทั่งองค์หญิงเช่นนางยังไม่เห็นอยู่ในสายตา แต่กลับเป็นสหายกับเด็กสาวผู้นี้หรือ
“จะอย่างไรก็คงมิใช่คุณชายฉือหลงใหลในความงามของหม่อมฉันกระมังเพคะ” เฉียวเจาย้อนถาม
“เจ้านี่นะ?” องค์หญิงเจินเจินไม่เพียงไม่โกรธ กลับหัวเราะออกมา “อย่าล้อเล่นเลย หากว่ากันถึงเรื่องความงาม ญาติผู้พี่ข้าไม่มีวันถูกตาต้องใจเจ้าหรอก”
นางโฉมงามกว่าเด็กสาวผู้นี้ตั้งมากชัดๆ ญาติผู้พี่ก็ไม่เหลียวแลไยดีนางมิใช่หรือ แล้วเขาจะให้ความสนใจกับเด็กสาวที่ยังไม่เจริญวัยเต็มที่ผู้นี้เพราะความงามได้อย่างไรกัน
“เช่นนั้นหม่อมฉันก็ไม่ทราบแล้วเพคะ ถ้าองค์หญิงทรงอยากทราบจริงๆ ไยไม่ไปถามคุณชายฉือดูเล่า”
ถามญาติผู้พี่? นางไม่หาเรื่องฉีกหน้าตนเองหรอก
“เอาเป็นว่าวันหน้าเจ้าเจียมเนื้อเจียมตัวสักหน่อย อย่าได้เล่นลูกไม้อะไร” องค์หญิงเจินเจินกล่าวเตือน
นางลืมไม่ลงว่าเด็กสาวผู้นี้พิลึกพิลั่นอย่างมาก
“หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ” เฉียวเจาพูดเรียบๆ
“ข้าจะถามเจ้าเรื่องหยิบเหรียญในหม้อน้ำมันที่เห็นในงานวัดวันนั้น มันทำได้อย่างไรกันแน่” ถึงองค์หญิงเจินเจินจะโมโหเฉียวเจามาก แต่ยังคงอดมิได้ที่จะถามปัญหาที่กวนใจนางมาหลายวันนี้
“เพราะด้านล่างของน้ำมันเป็นน้ำส้มเปรี้ยวเพคะ” เฉียวเจาอธิบายเหตุผลให้องค์หญิงเจินเจินฟัง
นี่คือจุดที่ทำให้คนจนใจ บางคราศักดิ์ฐานะอาจไม่สลักสำคัญอะไรทั้งนั้น แต่จะไร้ศักดิ์ฐานะเลยก็ไม่ได้เป็นอันขาด
ดังเช่นเวลานี้ นางต้องการศักดิ์ฐานะของหลีเจาบุตรสาวของอาลักษณ์ในสำนักราชบัณฑิต แต่ด้วยศักดิ์ฐานะนี้จะไม่ก้มศีรษะให้องค์หญิงก็ทำไม่ได้
บางทีนางน่าจะทำให้ตนเองกลายเป็นคนสำคัญมากขึ้น เป็นต้นว่าเช่นท่านปู่หลี่…
ความคิดนี้ผุดขึ้นในหัวเฉียวเจากะทันหัน แต่นางปัดมันทิ้งไป
“แล้วเหตุไฉนเจ้าไม่เปิดโปงนักต้มตุ๋นผู้นั้น” องค์หญิงเจินเจินฟังจบแล้วถามไล่เลียง
เป็นการแสดงกลหลอกลวงคนดังคาด เจ้าคนโกหกต้มตุ๋นพวกนั้นช่างน่าชังจริงๆ
น้ำเสียงของเด็กสาวเรียบเฉย “แค่เป็นการประทังชีพ และคนเต็มใจติดเบ็ดเอง แล้วจะตัดทางทำมาหากินของผู้อื่นไปไย”
องค์หญิงเจินเจินนิ่งขึงไป นางอยากโต้เถียง แต่ไม่รู้เพราะอะไรถึงรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าวาจาของเด็กสาวตรงหน้ามีเหตุผลอยู่บ้าง ส่วนองค์หญิงอย่างนางกลับกลายเป็นดูก้าวร้าวบีบคั้นผู้อื่น นางจึงกลืนคำพูดที่จ่อรอตรงปลายลิ้นกลับลงคอไป
เพลานี้เองภิกษุณีจิ้งซีเดินมาประนมมือคำนับพวกนาง “สีกาทั้งสอง ซือไท่บอกว่าท้องฟ้าเริ่มขมุกขมัวกลัวจะฝนตก ให้พวกท่านรีบกลับไป”
นางพูดพลางยื่นร่มสองคันส่งให้คนทั้งคู่
เฉียวเจากับองค์หญิงเจินเจินต่างคนต่างรับไว้และกล่าวลากับจิ้งซี
พวกนางออกจากอารามซูอิ่งแล้วลงเขาไปขึ้นรถม้าของตน
วันนี้ไม่ใช่วันพิเศษอะไร ทั้งครึ้มฟ้าครึ้มฝนตลอด ผู้คนตามถนนหนทางบางตา มีเพียงรถม้าขององค์หญิงเจินเจินกับเฉียวเจาสองคันแล่นตามหลังกัน
รถม้าขององค์หญิงเจินเจินวิ่งเร็วรี่จนหายลับไปในเวลาอันสั้น
ปิงลวี่มองท้องฟ้าไม่หยุดพร้อมกับพูดเร่งสารถีซ้ำๆ “เร็วขึ้นหน่อย จะฝนตกอยู่แล้วนะ ไม่เห็นรถม้าของคนอื่นที่ออกมาพร้อมกันวิ่งแล่นไปไกลแล้วรึ”
สารถียิ้มฝืดๆ อย่างจนปัญญา “พี่สาว นี่จะเทียบกันมิได้นะ ม้าเทียมรถของผู้อื่นเป็นม้าอะไร แล้วของเราเป็นม้าอะไรเล่า”
ชีวิตความเป็นอยู่ของจวนตะวันตกมิได้ร่ำรวยเหลือเฟือ เพียงเลี้ยงดูสารถีสูงวัยไว้ผู้หนึ่งกับม้าแก่ไว้ตัวหนึ่งเท่านั้น
ปิงลวี่จะพูดอะไรอีกก็ไม่ถนัดปาก นางบอกเสียงขุ่นๆ “เอาล่ะ ให้เร็วขึ้นเท่าที่จะทำได้ก็แล้วกัน”
นางปล่อยม่านประตูลง ล้วงหาฟักเชื่อมในถุงผ้าปักออกมาส่งให้เฉียวเจา “คุณหนู ท่านยังไม่ได้กินอะไรเลย กินขนมหวานสองสามชิ้นรองท้องเถอะ รถม้าของเรือนเราวิ่งเร็วไม่ไหว ยังไม่รู้ว่าจะถึงเรือนได้เมื่อไร ดีไม่ดีอาจเจอฝนด้วยเจ้าค่ะ”
เฉียวเจารับฟักเชื่อมไว้ นางเลิกม่านหน้าต่างขึ้นดูแวบหนึ่งแล้วพูดเสียงเรียบๆ “ฝนใกล้จะตกแล้ว”
ปิงลวี่ยื่นหน้าออกไปดูอย่างไม่ใคร่เชื่อ “จริงหรือเจ้าคะ ฟ้าครึ้มตั้งแต่เช้าตรู่จนตอนนี้ ไม่แน่ว่าจะครึ้มเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ก็ได้นะเจ้าคะ”
“ไม่หรอก อีกประเดี๋ยวฝนก็ตกแล้ว”
ตอนท่านปู่ยังสุขภาพดีอยู่ชอบพานางกับท่านย่าออกท่องชมธรรมชาติ ท่านจึงสนใจการเปลี่ยนแปลงของอากาศเป็นอันมาก นางจึงพอรู้ไปด้วยบ้างเป็นธรรมดา
ฝนฤดูร้อนนั้นอยากจะตกก็ตก เพิ่งสิ้นเสียงเฉียวเจาไม่นาน เกิดลมพัดระลอกหนึ่งฉับพลัน เมฆดำทะมึนบนฟ้าม้วนตัวละม้ายคลื่นยักษ์ปั่นป่วน จากนั้นสายฝนก็เทกระหน่ำลงมา
ม่านหน้าต่างรถม้าปลิวสะบัดพรึบพรับ ลมพัดกรูเข้ามาพร้อมละอองฝน
ปิงลวี่จับม่านไว้จนมือเป็นระวิง ครั้นเห็นว่าไม่ได้ผลก็ใช้ตัวบังไว้เสียเลย
เฉียวเจาดึงนางมาหา “ไม่ต้อง ปล่อยให้พัดเข้ามาเถอะ ฝนตกเช่นนี้จะโดนสาดจนเปียกก็ช่วยไม่ได้”
“ข้ากลัวคุณหนูโดนความเย็นเจ้าค่ะ”
“ไม่หรอก” เฉียวเจาตบแขนนางเบาๆ ล้วงยาลูกกลอนในถุงผ้าปักติดตัวออกมาสองเม็ด เม็ดหนึ่งกินเอง อีกเม็ดให้ปิงลวี่
ปิงลวี่กินยาลูกกลอนแล้วถามนางอย่างสนใจใคร่รู้ “คุณหนู นี่คืออะไรเจ้าคะ”
เฉียวเจาแย้มยิ้ม “ของที่กินแล้วทำให้เจ้าไม่โดนความเย็น”
“น่าอัศจรรย์ถึงเพียงนี้เลยหรือเจ้าคะ” ปิงลวี่ชำเลืองมองถุงผ้าปักที่เหน็บอยู่ตรงเอวเฉียวเจา
ถุงผ้าปักรูปทรงแปลกพิกลใบนั้นยังคงดูน่าเกลียดขัดนัยน์ตา ทว่านับตั้งแต่วันไปที่สำนักศึกษาหญิง ดูคล้ายคุณหนูจะพกติดกายไว้เสมอ คิดไม่ถึงว่าในนั้นจะใส่ของดีๆ อย่างนี้เอาไว้ด้วย
พอกินยาลูกกลอนเมื่อครู่นี้เข้าไปก็ได้รสชาติหวานละมุนและละลายในปากทันที ตอนนี้เริ่มรู้สึกอุ่นผะผ่าวในโพรงท้องแล้ว
คุณหนูเก่งกาจจริงๆ สาวใช้น้อยคิดคำนึงในใจ
ฝนตกหนักขึ้นตามลำดับ ในสภาพเฉกนี้ต่อให้นั่งรถม้าก็รู้สึกได้ว่าสะเทือนโคลงเคลงไม่หยุด มุ่งหน้าต่อไปได้ยากลำบาก
อสนีบาตสายหนึ่งพาดผ่านกลางนภาฟาดผ่าลงพื้นดิน ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องดังครืนๆ
รถม้าแล่นฝ่าสายฝนอย่างทุลักทุเลเป็นเวลานานราวหนึ่งเค่อแล้วหยุดจอดกะทันหัน
“เหล่าเฉียน เกิดอะไรขึ้นหรือ!” ปิงลวี่ตะโกนถามสุดเสียง
“คุณหนูสาม ทางข้างหน้าไปต่อไม่ได้ มีต้นไม้ล้มขวางถนนไว้” จู่ๆ สารถีก็ตะเบ็งเสียงดังขึ้น “ซ้ำยังทับรถม้าคันข้างหน้าด้วยขอรับ!”
“อะไรนะ!” ปิงลวี่ตกอกตกใจ แหวกม่านประตูรถม้าออกทันที
ลมฝนซัดเข้ามาปะทะใบหน้า สาวใช้น้อยขยี้ตามองภาพเบื้องหน้าแล้วเบิกตากว้างอย่างสุดระงับ