หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 130
ต้นไม้ต้นหนึ่งล้มนอนขวางอยู่ตรงกลางถนน ส่วนรถม้าที่องค์หญิงเจินเจินนั่งอยู่พลิกตะแคงอยู่ข้างทาง ฝั่งหนึ่งโดนกระแทกจนพังยุบเป็นรู
อาชาพ่วงพีที่ทำให้ปิงลวี่อิจฉาตาร้อนเหลือหลายตัวนั้นกู่ร้องเสียงดังลั่นแล้ววิ่งเตลิดไปไกลแต่แรก หลงอิ่งองครักษ์ประจำตัวองค์หญิงเจินเจินโอบตัวนางไว้ในอ้อมแขน ส่วนนางกำนัลที่ติดตามมาล้มหน้าคว่ำแน่นิ่งอยู่บนพื้น
“ว้าย!” ปิงลวี่ร้องอุทานคำหนึ่ง รีบปล่อยม่านประตูลง นางกล่าวปลอบเฉียวเจา “คุณหนูไม่ต้องกลัวนะเจ้าคะ ไม่ต้องกลัว ข้างหน้าเกิดเหตุเล็กๆ น้อยๆ ขึ้น”
เมื่อเห็นสาวใช้น้อยตกใจอยู่ชัดๆ แต่ยังพยายามพูดปลอบตนสุดกำลัง เฉียวเจาจึงยื่นมือไปตบตัวนางเบาๆ พลางกล่าวเสียงนุ่ม “ข้าเห็นแล้ว ปิงลวี่ เจ้ามานั่งตรงนี้”
ยิ่งเป็นเวลาที่แตกตื่นหวาดกลัว ปิงลวี่จะยิ่งเชื่อฟังคำพูดของคุณหนูของนางมากขึ้น เมื่อได้ยินคำนี้ก็ขยับถอยจากหน้าประตูรถม้าไปนั่งอีกทางทันที
เฉียวเจาหยิบร่มขึ้นมา ก้มตัวลอดออกจากตัวรถม้า
“คุณหนู ท่านจะทำอะไรเจ้าคะ…” ปิงลวี่รีบดึงเฉียวเจาไว้
นางหันหน้าไป “เจ้าอยู่บนรถม้าอย่าไปที่ใด ข้าจะลงไปดูสักหน่อย”
ปิงลวี่เห็นเฉียวเจากางร่มเดินออกไปข้างนอกแล้วละม้ายเพิ่งตื่นจากฝัน นางลุกลนตามออกไป รับร่มมาจากมือผู้เป็นนายพร้อมกับกล่าวขึ้น “เช่นนั้นจะได้อย่างไรกัน คุณหนูไปที่ใดข้าก็ต้องตามไปที่นั่นด้วยเจ้าค่ะ”
ด้านนอกฝนตกเหมือนฟ้ารั่วจนร่มกระดาษเคลือบมันแทบต้านไม่อยู่ เฉียวเจาไม่พูดอะไรมาก ย่างเท้าเดินไปข้างหน้าโดยให้ปิงลวี่ถือร่มให้
หลงอิ่งเห็นรถม้าด้านหลังหยุดจอด เขาอุ้มองค์หญิงลุกขึ้นยืนแล้วก้าวขาฉับๆ ตรงไปทางนั้นทันใด
แม้นกางกั้นด้วยม่านฝน เขาแทบจะไม่หยุดฝีเท้า อุ้มองค์หญิงเจินเจินเดินตรงดิ่งไปที่รถม้าของเฉียวเจา
“นี่ เจ้าจะทำอะไร” ปิงลวี่มองเห็นหลงอิ่งอุ้มองค์หญิงเจินเจินเข้าไปในรถม้าต่อหน้าต่อตาแล้วอดตะโกนเสียงดังไม่ได้
น่าชังจริงๆ ใต้หล้ายังมีคนไร้ยางอายเยี่ยงนี้อีกหรือ
นั่นเป็นรถม้าของคุณหนูของนางนะ ไฉนคนผู้นี้ถือวิสาสะเข้าไปโดยไม่บอกกล่าวกันสักคำ องค์หญิงท่านนั้นยังเปรอะเปื้อนน้ำโคลนไปทั้งตัว แล้วจะไม่ทำให้ข้างในรถม้าเปียกแฉะหมดหรือไร
ปิงลวี่คิดจะวิ่งไล่กวดไปขัดขวาง แต่พบว่าเฉียวเจายังสาวเท้าก้าวใหญ่ไปข้างหน้า นางหวั่นใจว่าผู้เป็นนายจะตากฝน จึงรีบเร่งถือร่มติดตามไป
เฉียวเจาเดินไปถึงเบื้องหน้านางกำนัลที่ฟุบหมอบกับพื้นแล้วย่อตัวลง
นางกำนัลคนนั้นสองตาเหลือกลาน นอนนิ่งไม่ไหวติงปล่อยให้สายฝนซัดสาดใส่ดวงหน้าหมดจดแต่เดิมของตน ตรงลำคอเรียวเล็กขาวผ่องมีกิ่งไม้ท่อนหนึ่งปักคาอยู่เฉียงๆ โลหิตสีแดงฉานข้นคลั่กถูกน้ำฝนชะให้เจือจางไหลลงไปบนพื้น กลายเป็นหย่อมน้ำสีแดงอ่อนในเวลารวดเร็ว
“คุณหนู นาง…นางตายแล้ว…ใช่หรือไม่” ใบหน้าของปิงลวี่ซีดเผือด นางถามเสียงสั่น
ปกตินางไม่กลัวแมลงสาบหรือหนู คนอื่นล้วนบอกว่านางใจกล้ามากกว่าบุรุษ แต่จะใจกล้าปานใดก็ไม่เคยเห็นคนตายมาก่อน
เฉียวเจาเม้มปากพลางยื่นมือไปจับชีพจรของนางกำนัล เป็นเหตุให้ปิงลวี่ร้องอุทานขึ้น “คุณหนู! อย่าเจ้าค่ะ”
นางดึงมือกลับ สุ้มเสียงที่ดังขึ้นกลางลมฝนแฝงรอยวังเวงใจอยู่หลายส่วนชอบกล “นางตายแล้ว”
ปิงลวี่หน้าซีดลงอีก นางกำชายเสื้อของเฉียวเจาไว้แน่นสุดแรงพลางกล่าว “คุณหนู พวกเรารีบกลับไปเถอะเจ้าค่ะ”
“อื้อ” เฉียวเจาลุกขึ้นยืน
หากแค่ได้รับบาดเจ็บ เฉียวเจาจะช่วยรักษาอย่างเต็มที่ แต่ในเมื่อตายไปแล้ว ย่อมสมควรให้เจ้านายของนางจัดการสะสางเองเป็นธรรมดา
เฉียวเจาคิดเช่นนี้แล้วหมุนกายไป เห็นหลงอิ่งกระโดดลงจากรถม้าของตนพอดี เขาพูดกับสารถีที่ยืนมองตาค้างอยู่ “มาช่วยกันสิ”
หลงอิ่งพูดจบแล้วยื่นมือฉุดตัวสารถีเดินมาทางที่พวกนางอยู่
“เขาจะทำอะไร” ปิงลวี่พูดพึมพำแล้วยกมือปิดปากกะทันหัน “สวรรค์! เขาจะหามคนตายไปบนรถม้าพวกเราใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ชั่วเวลาพริบตาเดียว หลงอิ่งเดินมาถึงใกล้ๆ แต่มิได้แบกตัวนางกำนัลไปบนรถม้าอย่างที่ปิงลวี่คาดเดา เขาก้มตัวลงยกปลายด้านหนึ่งของต้นไม้ใหญ่ที่ล้มขวางอยู่กลางถนนขึ้น และตวาดสั่งสารถีที่ยืนทื่อไม่ขยับตัวเสียงกระด้าง “ยังไม่เข้ามาช่วยอีก!”
สารถีได้สติก็ลุกลี้ลุกลนเข้าไปช่วย
ด้วยความพยายามของบุรุษสองคน ต้นไม้ใหญ่ถูกเคลื่อนย้ายออกไปทีละน้อยทีละนิด
หลงอิ่งเปียกโชกไปทั้งเนื้อทั้งตัว เขายืดตัวขึ้นปาดน้ำฝนบนใบหน้าออก สาวเท้าฉับๆ กลับไปขึ้นรถม้าแล้วนั่งตรงที่นั่งของสารถีเงื้อแส้ม้าในมือขึ้นทันที
เฉียวเจาเลิกคิ้วขึ้นโดยไม่พูดไม่จา
ปิงลวี่กลับร้อนใจเสียแล้ว นางโมโหเป็นฟืนเป็นไฟเสียจนลืมเลือนความกลัวไปจนสิ้น พุ่งทะยานไปถามเสียงดัง “นี่! เจ้าหมายความว่าอะไร”
“หลีกไป!” ท่ามกลางฝนตกหนัก น้ำเสียงของหลงอิ่งฟังดูเย็นชาไร้หัวใจเป็นพิเศษ
ปิงลวี่กางสองแขนกั้นไว้ นางพูดอย่างโกรธจัด “เจ้ายังมียางอายอยู่หรือไม่ ยึดเอารถม้าของพวกข้าไปไม่ว่า ตอนนี้ยังจะทิ้งพวกข้าไว้ที่นี่อีกอย่างนั้นหรือ”
“ข้าบอกให้หลีกไป!” เส้นเลือดตรงขมับของหลงอิ่งปูดโปนเต้นตุบๆ เขาชูแส้ม้าขึ้นสุดแขน “ขืนไม่หลีกไปอีก รถม้าจะพุ่งชนแล้วนะ สาม สอง…”
“รอประเดี๋ยว” เพราะปิงลวี่วิ่งไปต่อว่าด้วยความเดือดดาล เฉียวเจาจึงยืนตากฝนอยู่ ทว่ายังเยือกเย็นดุจเก่า มิได้แสดงท่าทางตัวสั่นงันงกประหนึ่งลูกนกตกน้ำ นางเปล่งเสียงเรียบๆ เอ่ยถามหลงอิ่งที่สิ้นความอดทนแล้ว “องค์หญิงทรงได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่”
ชะรอยว่าท่วงทีสงบนิ่งของเด็กสาวช่วยกล่อมอารมณ์ที่หงุดหงิดร้อนรุ่มของเขาได้ หลงอิ่งเม้มปากแน่นแล้วกล่าวตอบ “ไม่ผิด องค์หญิงทรงได้รับบาดเจ็บที่พระชงฆ์ เลือดไหลไม่หยุด จำเป็นต้องกลับไปรักษาที่วังโดยด่วน หากพาพวกท่านไปด้วยจะทำให้รถม้าแล่นช้าลง คุณหนูโปรดหลีกทางเถอะ”
เฉียวเจาเดินไปที่รถม้าด้วยฝีเท้าเป็นจังหวะ “ถ้าเลือดไหลไม่หยุด นั่นแสดงว่าเส้นเลือดฉีกขาดแล้ว อย่าว่าแต่ฝนตกหนักอย่างนี้ ต่อให้เป็นถนนสายใหญ่และอากาศปลอดโปร่ง ถึงรีบรุดกลับไปรักษาที่วังก็ไม่ทันกาลเหมือนกัน”
หลงอิ่งได้ยินแล้วทำสีหน้าไม่ดียิ่งขึ้น เขานั่งอยู่บนรถม้ากำสายบังเหียนแน่นจนข้อกระดูกนิ้วขาวซีด ก้มศีรษะลงจ้องมองเด็กสาวที่ย่างเท้าเดินมา
นางพูดเอื่อยๆ “เจ้าหลีกทางสิ ข้าจะห้ามเลือดให้นางเอง”
หลงอิ่งเบี่ยงกายให้เฉียวเจาขึ้นรถม้าโดยไม่รู้ตัว เห็นนางจะก้มตัวเข้าไปแล้วถึงตั้งสติได้ เขาตะโกนขึ้น “ประเดี๋ยวก่อน! คุณหนู…”
เด็กสาวหมุนกายมา น้ำฝนชำระดวงหน้างามเกลี้ยงเกลาของนางจนสะอาดหมดจด นัยน์ตาทั้งคู่สุกใสแวววาวจับตาดุจอัญมณีสีดำ
“ยังไม่เข้ามาช่วยกันอีก” เฉียวเจากล่าวทิ้งท้ายไว้คำหนึ่งแล้วก้มตัวเข้าไปในรถม้า
ภายในรถม้าอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวโลหิตฉุนแรง
องค์หญิงเจินเจินเอามือกุมขาฝืนลืมตาขึ้น ใบหน้างามล้ำเหลือขาวซีดปราศจากสีเลือด นางอ่อนระโหยโรยแรงเต็มทีแล้ว
เฉียวเจาเลื่อนสายตาลงไปยังขาซ้ายที่พันผ้าไว้ลวกๆ ขององค์หญิงเจินเจิน เห็นอาภรณ์ตรงบริเวณนั้นเปียกชุ่มไปด้วยเลือดกับน้ำฝน
นางยื่นมือไปแกะผ้าพันแผลออก
หลงอิ่งเข้าไปในรถม้าเมื่อเห็นดังนั้นก็คว้าข้อมือนางไว้หมับ “ท่านจะทำอะไร”
“ห้ามเลือดแล้วพันแผลให้องค์หญิงใหม่”
“คุณหนูอย่าแตะต้องส่งเดช หาไม่แล้วถ้าพระโลหิตไหลมากขึ้น ผลที่ตามมามิใช่ท่านจะรับผิดชอบได้ไหว”
เฉียวเจามองหลงอิ่งอย่างเฉยชา “พูดราวกับว่าตอนนี้พระโลหิตขององค์หญิงไม่ได้ไหลอยู่กระนั้น เจ้าปล่อยมือ ถ้าไม่อยากเห็นองค์หญิงพระโลหิตไหลหมดกายจนสิ้นพระชนม์”
“หลงอิ่ง ปล่อย…มือ…” อาการวิงเวียนตาลายถาโถมใส่องค์หญิงเจินเจินเป็นระลอก นางกัดฟันกล่าว
เด็กสาวผู้นี้พิลึกพิลั่นมาก ในเวลาเช่นนี้แทนที่จะเชื่อว่าตนเองจะทนรอกลับไปให้หมอหลวงรักษาได้ไหว มิสู้เชื่อนางปีศาจตนนี้จะดีกว่า
หลงอิ่งคลายมือออก
เฉียวเจาแกะเศษผ้าที่ใช้แทนผ้าพันแผลออกอย่างว่องไว มือหนึ่งกดที่ตำแหน่งหนึ่งเหนือปากแผลที่ขา นางเอ่ยสั่งหลงอิ่งเสียงเย็นๆ “กดไว้”
หลงอิ่งกดที่จุดนั้นทันทีโดยไม่กล้าอิดเอื้อน
เฉียวเจายื่นมือควานหาหยิบเข็มเงินจากถุงผ้าปักแล้วจิ้มลงตรงปากแผลโดยไม่เปิดช่องให้ปฏิเสธ