หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 131
ยามเข็มเงินวาววับแทงเข้าผิวกายนุ่มนิ่มขาวลออ องค์หญิงเจินเจินอยากหลบตามสัญชาตญาณ
เฉียวเจาเหลือบตาขึ้นมองนางพลางกล่าวเรียบๆ “องค์หญิงไม่อยากสิ้นพระชนม์ก็อย่าหลบเพคะ”
“เจ้า…” องค์หญิงเจินเจินกัดริมฝีปากไว้แน่นสุดกำลัง ถึงอย่างไรนางก็ไร้เรี่ยวแรงจะงัดข้อตั้งแง่กับอีกฝ่ายแล้ว ฝืนกลอกตาไปทางหลงอิ่งเค้นเสียงกล่าว “หลงอิ่ง…ตีข้าให้สลบที…” ไม่เห็นก็ไม่ต้องหงุดหงิดใจให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปเถอะ
หลงอิ่งมองไปทางเฉียวเจาอย่างไม่ทันคิด
นางพยักหน้าน้อยๆ “ก็ดี”
องครักษ์ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดียกสันมือสับต้นคอองค์หญิงเจินเจินให้สลบไปอย่างคล่องแคล่วชำนาญ
เมื่อไม่มีใครรบกวนแล้ว เฉียวเจาฝังเข็มรอบปากแผลบนขาขององค์หญิงเจินเจินอย่างรวดเร็ว
แม้จะเป็นการฝังเข็มเงินไม่กี่เล่ม แต่เพราะนางลงมือด้วยความว่องไวเหลือเกิน พอทำเสร็จก็มีเม็ดเหงื่อเล็กๆ ผุดพราวทั่วหน้าผาก
หลงอิ่งลอบประหลาดใจสุดจะกล่าวทว่าสีหน้ายังนิ่งสนิทดุจเก่า
ท่าทางชำนิชำนาญอย่างนี้ หรือว่าคุณหนูท่านนี้เป็นยอดฝีมือในศาสตร์วิชาแพทย์?
เฉียวเจาถอนหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง นางยังล้วงขวดกระเบื้องเล็กๆ ใบหนึ่งในถุงผ้าปักออกมาเปิดฝาออก แล้วโรยผงสีเขียวอ่อนบนแผลขององค์หญิงเจินเจิน
“ปล่อยมือได้แล้ว”
หลงอิ่งคลายมือออกเงียบๆ ดวงตาของเขาจับจ้องบาดแผลขององค์หญิงเจินเจินไม่วางตา ตรงนั้นไม่มีเลือดไหลออกมาอีกจริงๆ
เขามองเฉียวเจาอย่างแปลกใจ
ฝ่ายเฉียวเจาไม่แยแสกับสายตาแปลกใจของหลงอิ่ง นางเปิดหีบที่วางอยู่ข้างผนังรถม้า หยิบเสื้อตัวในออกมาตัวหนึ่ง
หลงอิ่งเห็นแล้วรีบเบนสายตาออก สุ้มเสียงสงบนิ่งของเด็กสาวกลับดังขึ้นด้านหลัง “ช่วยฉีกมันให้ด้วย”
เขาหันมารับเสื้อตัวในที่นางส่งให้แล้วสองแก้มแดงระเรื่อ รีบเร่งฉีกเสื้อเป็นเศษผ้ายาวๆ ชิ้นแล้วชิ้นเล่า
เฉียวเจาไม่แม้แต่จะเหลียวมอง ยื่นมือรับผ้ามาพันแผลให้องค์หญิงเจินเจินจนเสร็จเรียบร้อย หยิบยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งจากในถุงผ้าปักส่งให้เขา “ทำให้องค์หญิงฟื้นสติแล้วให้นางกินเข้าไป”
หลงอิ่งเบนสายตาไปหยุดอยู่ตรงถุงผ้าปักที่เหน็บอยู่ข้างเอวเด็กสาว
ถุงผ้าปักใบนั้นมีรูปทรงแปลกๆ ดูท่าทางจะโดนฝนสาดจนเปียกแล้ว แต่ว่า…
หลงอิ่งเหลือบตาขึ้นมองยาลูกกลอนที่เด็กสาวยื่นให้
ยาลูกกลอนเป็นสีแดงอ่อนแลดูแห้งสนิท
ถุงผ้าปักเปียกน้ำ แต่ยาลูกกลอนข้างในกลับเป็นปกติดีทุกอย่าง หรือว่าถุงผ้าปักนี้มีกลไกลับซ่อนอยู่อีก
เฉียวเจาสังเกตเห็นแววตาฉงนสงสัยของหลงอิ่งแล้วไขความกระจ่างอย่างเปิดเผย “ด้านในถุงผ้าบุด้วยหนังปลาชั้นหนึ่งเลยไม่เปียกน้ำ ยาลูกกลอนเม็ดนี้ช่วยขับไล่ความเย็น องค์หญิงทรงตากฝนแล้วยังพระโลหิตไหลมากถึงเพียงนี้ พระวรกายอ่อนแอ หากโดนไอเย็นแทรกอีกอาการจะแย่ลง”
หลงอิ่งนิ่งเงียบหลุบตาลง คุณหนูหลีตรงไปตรงมาปานนี้ เขากลับประพฤติตนเฉกพวกคนถ่อยก็ไม่ปาน
เขายื่นมือกดจุดหนึ่งตรงท้ายทอยขององค์หญิงเจินเจิน นางก็ปรือตาฟื้นขึ้น
“หลงอิ่ง?” องค์หญิงเจินเจินกะพริบตาปริบๆ
“องค์หญิง พระโลหิตหยุดไหลแล้ว เสวยยาลูกกลอนเถอะพ่ะย่ะค่ะ” หลงอิ่งยื่นยาลูกกลอนสีแดงอ่อนไปจ่อข้างริมฝีปากนางพลางเอ่ยถามเฉียวเจา “บนรถม้ามีน้ำหรือไม่”
ช่างไร้ความเกรงใจดีแท้
ทว่าเฉียวเจาคร้านจะคิดเล็กคิดน้อยกับองครักษ์ผู้หนึ่ง หน้าที่ของพวกเขาคือคุ้มครององค์หญิงให้ปลอดภัย หากเกิดเรื่องขึ้นกับองค์หญิง เกรงว่ามีชีวิตเดียวยังไม่พอชดใช้ จะกระทำอะไรเกินเลยไปบ้างด้วยความร้อนใจก็ช่วยมิได้
“ปิงลวี่ รินน้ำถวายองค์หญิง”
ถึงแม้รถม้าของจวนตะวันตกจะไม่หรูหราสะดวกสบายเทียบชั้นรถม้าขององค์หญิงได้ แต่ยังมีน้ำชาให้
“เจ้าค่ะ” ปิงลวี่เบียดเข้ามาแล้วถลึงตาใส่หลงอิ่ง นางรินน้ำถ้วยหนึ่งยื่นส่งให้เขา “เอาไปสิ น้ำที่เจ้าอยากได้”
ไร้ยางอายจริงๆ แย่งรถม้าของพวกนางไป สุดท้ายยังต้องให้คุณหนูของนางช่วยเหลืออีกมิใช่หรือ ผลปรากฏว่าเจ้าคนผู้นี้ยังทำหน้าตายไม่รู้ไม่ชี้ อย่างกับว่าทั้งหมดที่คุณหนูทำไปนี้ล้วนสมควรดีอยู่แล้ว
หลงอิ่งรู้ว่าก่อนหน้านี้ตนกระทำอะไรเกินเลยไปบ้าง เขารับถ้วยน้ำมาป้อนให้องค์หญิงเจินเจินดื่มเงียบๆ
องค์หญิงเจินเจินมุ่นคิ้วมองยาลูกกลอนสีแดงอ่อนตาเขม็งชั่วครู่ก่อนอ้าปากกลืนมันลงไป
ยาเข้าปากก็ละลายทันทีกลายเป็นกระแสไอร้อนแผ่ซ่านเป็นริ้วๆ ไหลวนอยู่ในโพรงท้อง
องค์หญิงเจินเจินฟื้นกำลังขึ้นบ้าง นางถามไถ่หลงอิ่ง “ไฉ่อิงล่ะ”
หลงอิ่งชะงักไปก่อนกล่าวตอบ “องค์หญิง ไฉ่อิงตายแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ตายแล้ว?” องค์หญิงเจินเจินอึ้งงันไปครู่ใหญ่ แพขนตาของนางกระพือขึ้นลงยามกล่าวพึมพำ “ตายแล้วหรือนี่…นางอยู่ที่ใด”
“ด้านนอก…บนพื้น”
“เอานางขึ้นมาวางบนรถม้า”
หลงอิ่งไม่ขยับกาย “องค์หญิง รถม้าเล็กเกินไป อีกทั้งวิ่งแล่นไปได้ลำบาก พานางไปด้วยจะถ่วงเวลาพระองค์กลับไปรักษาอาการที่วังนะพ่ะย่ะค่ะ”
“เอานางขึ้นมาวางบนรถม้า” องค์หญิงเจินเจินพูดซ้ำคำเดิมแค่เน้นเสียงหนักขึ้น เห็นหลงอิ่งยังคงนิ่งเฉย นางเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว “หลงอิ่ง เจ้าหูหนวกไปแล้วรึถึงไม่ได้ยินที่ข้าบอก เพราะช่วยข้าไว้ไฉ่อิงถึงต้องตาย หรือว่าเจ้าจะให้ข้าทิ้งศพของนางไว้กลางป่ารกร้างในวันฝนตกหนักเช่นนี้”
ตอนนั้นรถม้าของพวกนางมาถึงตรงนี้ จู่ๆ ฟ้าผ่าเปรี้ยง ต้นไม้ริมถนนหักโค่นล้มลงทำให้ม้าตื่นตกใจ หากมิใช่ไฉ่อิงปกป้องนาง เห็นทีว่าขณะนี้คนที่เคราะห์ร้ายคงเป็นนางแล้ว
“น้อมรับพระบัญชา” หลงอิ่งเห็นองค์หญิงเจินเจินบันดาลโทสะ เขาก้มหน้าลงจากรถม้า
ปิงลวี่ได้ยินว่าจะแบกคนตายขึ้นมา นางทำสีหน้าบูดบึ้งอย่างยิ่ง แต่อยู่ต่อหน้าองค์หญิงก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามเกินไป ได้แต่กระตุกชายเสื้อเฉียวเจาเป็นการใหญ่
ในเวลานี้เององค์หญิงเจินเจินถึงมองไปทางเฉียวเจา กล่าวด้วยน้ำเสียงกะปลกกะเปลี้ย “วางใจได้ ข้ากลับไปจะชดใช้รถม้าให้เจ้า”
“ได้เพคะ” เฉียวเจาพูดอย่างสงบนิ่ง
บางทีอาจเพราะเคยตายมาแล้วคราหนึ่ง ประกอบกับร่ำเรียนวิชาแพทย์กับท่านปู่หลี่มาสิบกว่าปี นางถึงไม่ถือว่าศพเป็นสิ่งอัปมงคลเฉกคนทั่วไป
อีกทั้งพูดได้ว่าจากเรื่องนี้ทำให้นางรู้สึกว่านิสัยใจคอขององค์หญิงผู้นี้พอใช้ได้
แค่ว่า…
เฉียวเจาเหลียวมองภายในรถม้ารอบหนึ่ง รำพึงในใจว่า คนตั้งหลายคนเบียดกันอยู่ในรถม้าเล็กๆ คันนี้ ซ้ำอากาศยังย่ำแย่เช่นนี้ กว่าจะกลับเข้าเมืองได้ต้องใช้เวลานานเท่าใดก็สุดรู้
“คุณหนู…” พอได้ยินเฉียวเจาตอบตกลง ปิงลวี่ร้อนใจยกใหญ่ จะอยู่ในที่ที่เดียวกับศพได้อย่างไรกันเล่า
เฉียวเจามองไปทางสาวใช้น้อยแล้วพูดปลอบ “ไม่ต้องกลัว ก็คิดเสียว่านางยังมีชีวิตอยู่ แค่หลับไปเท่านั้นเอง”
ปิงลวี่ “…” คิดเช่นนี้ได้ด้วยหรือ
ประกายตาขององค์หญิงเจินเจินไหววูบ นางมองเฉียวเจาพลางพูด “ขาของข้า…ขอบคุณเจ้ามากนะ”
“องค์หญิงทรงไม่เป็นไรก็ดีแล้วเพคะ” เฉียวเจาคลี่ยิ้ม
ตอนนี้องค์หญิงเพิ่งสังเกตเห็นว่าเฉียวเจาเปียกปอนไปทั้งตัว
อาภรณ์ฤดูร้อนบางเบา อีกฝ่ายยังสวมชุดกระโปรงสีพื้นเรียบๆ ซึ่งในขณะนี้แนบติดเนื้อกายขับเน้นเรือนร่างแบบบางของเด็กสาวให้เห็นเด่นชัดขึ้น
องค์หญิงเจินเจินก้มหน้าลงถึงเพิ่งพบภายหลังว่าสภาพของตนเองก็ไม่ได้ดีไปกว่านางสักเท่าไร
องค์หญิงที่ไม่เคยเปียกม่อล่อกม่อแล่กเช่นนี้มาก่อนก็หน้าร้อนผ่าวๆ นางมองเห็นสายตาเรียบเฉยของเฉียวเจาแล้วหลากใจอย่างยิ่งยวด
นี่นาง…ไม่กระดากอายแม้สักนิดเลยหรือ
เวลานี้เองหลงอิ่งอุ้มศพของไฉ่อิงขึ้นมาวางตรงหน้าประตูรถม้าและกล่าวรายงาน “องค์หญิง…”
เขาเพิ่งอ้าปาก องค์หญิงเจินเจินก็หน้าเปลี่ยนสี ร้องตวาด “รีบออกไปนะ!”
หลงอิ่งอึ้งงันไป
เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าองครักษ์น้อยซึ่งกำลังตกอยู่ในภาวะตึงเครียดอยู่ตลอดเพราะองค์หญิงประสบอันตรายกะทันหันมิได้สังเกตเห็นอะไรทั้งสิ้น
“ออกไปสิ ไม่รู้หรือว่าอันใดเรียกว่าผิดประเพณีไม่พึงมอง”
น่าสงสารองครักษ์น้อยผู้ทุ่มกายถวายชีวิตเพื่อผู้เป็นนายยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นโดยสิ้นเชิง ก็ถูกองค์หญิงไล่ตะเพิดออกไปตากฝนอยู่ด้านนอกถึงเพิ่งฉุกคิดขึ้นได้ในตอนนี้
อันที่จริงเมื่อครู่นี้เขาไม่ได้สนใจดูอะไรสักอย่าง ไม่รู้ว่าพวกองค์หญิงจะเชื่อหรือไม่
องครักษ์ที่กระอักกระอ่วนใจเหลือจะกล่าวตวัดมือแย่งสายบังเหียนจากมือสารถีแล้วเงื้อแส้ม้าขึ้น