หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 132
รถม้าเคลื่อนตัวอืดอาดอยู่กลางสายฝนอย่างยากลำบาก ทุกคราที่ม้าแก่ตัวนั้นย่างเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าวก็จะขาสั่นระริก สารถีที่โดนหลงอิ่งเบียดไปอยู่ด้านข้างมองดูอยู่อย่างอกสั่นขวัญแขวน
ภายในรถม้า องค์หญิงเจินเจินขบริมฝีปาก ยกสองมือกอดอก “เจ้า…” เจ้าไม่กระดากอายใช่หรือไม่
คำกล่าวนี้มารออยู่ที่ปลายลิ้นก็ถูกกลืนกลับลงไปอีก
อีกฝ่ายเพิ่งช่วยนางไว้ นางยังพอมีสามัญสำนึกเล็กๆ น้อยๆ อยู่
“เจ้ามีอาภรณ์ให้ผลัดเปลี่ยนหรือไม่” องค์หญิงไพล่ไปถามอีกอย่าง
“ปิงลวี่ หยิบอาภรณ์ถวายองค์หญิง”
ปกติบุตรสาวตระกูลใหญ่ออกจากเรือนจะตระเตรียมอาภรณ์ไว้หนึ่งชุดเผื่อรับมือสถานการณ์เฉพาะหน้า เฉียวเจาย่อมมิใช่ข้อยกเว้น
ถึงปิงลวี่ไม่เต็มใจ แต่อีกฝ่ายเป็นองค์หญิง นอกจากรับคำแล้วดูเหมือนไม่มีหนทางอื่นอีก นางได้แต่แอบทำหน้ามุ่ยหยิบอาภรณ์ในหีบออกมายื่นให้ด้วยสองมือ
องค์หญิงเจินเจินเพ่งมองอาภรณ์สีพื้นชุดนั้นด้วยท่าทางรังเกียจอยู่บ้าง แต่จะรังเกียจสักเพียงใดก็ดีกว่าสวมเสื้อผ้าเปียกแฉะ นางฝืนใจบอกกับปิงลวี่ “ช่วยข้าผลัดอาภรณ์”
ปิงลวี่มองไปทางเฉียวเจา
นางผงกศีรษะเล็กน้อย
องค์หญิงผู้นี้ได้รับบาดเจ็บอยู่ ทั้งยังฝนตกไม่ลืมหูลืมตาเช่นนี้ ถึงจะกินยาลูกกลอนขับไอเย็นของนางไปแล้วยังไม่อาจรับรองว่าปลอดภัยได้ เปลี่ยนเป็นชุดที่แห้งสบายตัวย่อมดีกว่าแน่นอน
ในใจปิงลวี่อึดอัดคับข้องอยู่สักหน่อย
คุณหนูน่าสงสารเหลือเกิน ส่วนองค์หญิงก็น่าชังยิ่งนัก!
สาวใช้น้อยทำหน้าง้ำงอช่วยสวมอาภรณ์แห้งสะอาดให้องค์หญิงเจินเจินอย่างเงียบๆ
เมื่อถอดชุดที่เปียกชุ่มออกจากตัว องค์หญิงเจินเจินรู้สึกสบายขึ้นมากทันใด นางพิงผนังรถม้าพักเอาแรงพลางไต่ถามเฉียวเจา “ไฉนเจ้าไม่ผลัดชุด”
ปิงลวี่สอดปากขึ้นอย่างทนไม่ไหวจริงๆ “มีอาภรณ์อยู่ชุดเดียวก็ให้องค์หญิงไปแล้ว คุณหนูของหม่อมฉันจะมีชุดให้ผลัดเปลี่ยนที่ใดกันเพคะ”
องค์หญิงเจินเจินอึ้งไปเล็กน้อย
องค์หญิงเสด็จออกนอกวัง ไม่มีทางเตรียมฉลองพระองค์สำรองไว้แค่ชุดเดียวเป็นธรรมดา
นางก้มหน้าลงดูอาภรณ์บนกาย นานครู่ใหญ่ถึงมองไปทางเฉียวเจา นางเผยอปากพูดเสียงแผ่วเบา “ขอบใจ”
เด็กสาวฝั่งตรงข้ามมีสีหน้าสงบนิ่งดุจเดิม กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “องค์หญิงทรงหลับพระเนตรพักผ่อนเถอะ อีกสักครู่ก็จะรู้สึกเจ็บแผล ต้องถนอมแรงไว้มากๆ จึงจะอดทนจนกลับไปถึงวังได้”
องค์หญิงเจินเจินได้ยินแล้วนิ่งงันไป เพิ่งนึกขึ้นได้ตอนนี้ว่าก่อนนางหมดสติยังเจ็บปวดถึงขั้นจะเอื้อนเอ่ยวาจาสักคำก็ยังยากเย็นเหลือแสน ครั้นฟื้นขึ้นมาอีกทีดูเหมือนไม่รู้สึกเจ็บเลย
นางก้มหน้ามองไปทางขาซ้ายที่มีบาดแผลอยู่
อาภรณ์แห้งสะอาดชุดใหม่ปิดบังผ้าพันแผลตลอดจนรอยเลือดเป็นดวงๆ พวกนั้นเอาไว้ ผู้อื่นมองเห็นก็ดูไม่ออกสักนิดว่านางได้รับบาดเจ็บ
“ไฉนขณะนี้ถึงไม่รู้สึกเจ็บเลยเล่า”
“อ้อ อีกประเดี๋ยวเดียวก็จะเจ็บแล้วเพคะ”
องค์หญิงเจินเจิน “…” สมองข้ามิได้ผิดปกติสักหน่อย ข้าไม่ได้หมายความว่าอยากรู้สึกเจ็บเร็วๆ นะ!
“ข้าหมายถึงว่าเหตุใดถึงไม่รู้สึกเจ็บ”
“เพราะตอนห้ามพระโลหิตให้พระองค์ หม่อมฉันฝังเข็มตามจุดบางจุดที่บรรเทาความเจ็บปวดได้ชั่วคราว แต่ทำได้เพียงเวลาสั้นๆ เท่านั้นเพคะ”
ด้วยเหตุฉะนี้ตั้งแต่หลายปีก่อนท่านปู่หลี่ก็เฝ้าใฝ่ฝันอยากศึกษายาหมาเฟ่ยส่าน* ในตำนานเล่าขานว่าทำให้คนเกิดอาการชาจนไม่รู้สึกเจ็บปวดตลอดการรักษา เพียงแต่ยังเสาะหาตัวยาสำคัญที่เหมาะสมไม่ได้เรื่อยมา ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้คืบหน้าไปถึงที่ใดแล้ว
เฉียวเจาปล่อยใจลอยไปชั่วขณะ
ยาหมาเฟ่ยส่านนั้น…เป็นยามหัศจรรย์ที่กล่าวถึงในตำราแพทย์โบราณ หากท่านปู่หลี่ศึกษาได้สำเร็จจริงๆ จะมีคุณอนันต์ต่อผู้คนมากมายเท่าใด โดยเฉพาะเหล่านักรบที่สละเลือดเนื้อเพื่อปกปักรักษาแผ่นดินต้าเหลียง
ขณะที่เฉียวเจาจมอยู่ในภวังค์ องค์หญิงเจินเจินก็มองนางอย่างเหม่อลอยเช่นเดียวกัน
ไฉนคุณหนูสามสกุลหลีผู้นี้ถึงรอบรู้อะไรต่อมิอะไรมากมายถึงเพียงนี้ได้นะ นางดูไม่เหมือนกับสตรีสูงศักดิ์พวกนั้นแม้แต่น้อยนิด
สายตาขององค์หญิงเจินเจินหยุดอยู่ที่เสื้อเปียกๆ บนตัวเฉียวเจา
หลีซานจะยกอาภรณ์แห้งสะอาดเพียงชุดเดียวให้นาง นางหาได้แปลกใจไม่
นางมีฐานะเป็นถึงองค์หญิง อีกฝ่ายยังกล้าผลัดชุดใหม่เองแล้วปล่อยให้นางสวมเสื้อผ้าเปียกแฉะได้หรือ ต่อให้สละรถม้าคันนี้ให้นางนั่ง นางก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไร
ทว่าเหตุใดถึงมีสตรีสวมอาภรณ์เปียกๆ ต่อหน้าบุรุษแล้วไม่รู้สึกกระดากอายแต่อย่างใด
แต่เผอิญว่าท่าทางไม่กระดากอายเฉกนั้นของอีกฝ่ายไม่เพียงไม่ทำให้รู้สึกว่าหน้าหนา กลับมีลักษณะของคนเปิดเผยจริงใจ ส่งผลให้คนที่คิดไปในเชิงนี้รู้สึกว่าตนเองไม่บริสุทธิ์ใจ และดูเป็นพวกจิตใจคับแคบ
องค์หญิงเจินเจินยิ่งคิดยิ่งขัดเคือง นางนึกไว้แล้วเชียว คุณหนูสามสกุลหลีผู้นี้พิลึกพิลั่นอย่างมาก
ความเจ็บแล่นปราดมากะทันหัน องค์หญิงเจินเจินครางในลำคอเสียงหนึ่ง นางกดบริเวณรอบปากแผล หน้าซีดเผือดไปในพริบตา
“รู้สึกเจ็บแล้วกระมังเพคะ” เฉียวเจาดึงความคิดคืนมาแล้วเอ่ยถาม
“ใช่…” องค์หญิงเจินเจินกัดฟันไม่เปล่งเสียงใดอีก
ไม่รู้เพราะอะไรนางรู้สึกว่าการร้องครวญครางต่อหน้าเด็กสาวผู้นี้เป็นเรื่องน่าขายหน้ามาก
“จริงสิ ข้ายังไม่รู้ว่า…”
องค์หญิงเจินเจินยังถามไม่จบความ รถม้าก็ทรุดฮวบฉับพลัน
ในเสี้ยวขณะที่ฟ้าดินพลิกกลับตาลปัตร เสียงร้องอุทานขององค์หญิงเจินเจินกับปิงลวี่ดังเป็นทอดๆ ไม่หยุด
หลงอิ่งขยับกายว่องไวดุจสายฟ้าแลบ ชั่วพริบตาที่ตัวรถม้าพลิกคว่ำ เขาอุ้มองค์หญิงเจินเจินกระโดดลงมาแล้วโอบตัวไว้ในอ้อมอก
ชั่วเวลาเส้นยาแดงผ่าแปดนี้ เฉียวเจาจับผนังรถม้าไว้แน่นสุดแรงเกิดตามสัญชาตญาณพร้อมความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัว แย่แล้ว ต้องเป็นเพราะคนมากเกินไป รับน้ำหนักไม่ไหวเป็นแน่!
ปิงลวี่กระเด็นออกไปหล่นลงบนพื้นทันที เคราะห์ดีที่ถนนเป็นดินอ่อนนุ่มจึงกระแทกไม่แรงนัก แต่ยังมีเงาดำสายหนึ่งลอยตามมาทับบนตัวนาง
“กรี๊ด…” ปิงลวี่ร้องลั่นเสียงหนึ่ง
พอนางตั้งสติได้แล้วเห็นสิ่งที่ตกใส่ตัวนางได้ชัดถนัดตาว่าคืออะไร เสียงหวีดร้องเสียงที่สองก็ดังก้องฟ้า
เฉียวเจาเกาะผนังรถม้าที่หยุดนิ่งแล้วชะโงกหน้ามองออกไปข้างนอก เห็นศพของนางกำนัลผู้นั้นทับอยู่บนตัวปิงลวี่พอดี สาวใช้น้อยกำลังลนลานผลักศพออกเป็นพัลวันอย่างน่าสงสาร คงเพราะนางหวาดกลัวเกินไป กลับกลายเป็นว่าศพทับนางไว้แน่นโดยไม่ขยับเขยื้อนแม้สักนิด
เฉียวเจากลอกตามองไปรอบๆ เห็นหลงอิ่งคุ้มกันองค์หญิงเจินเจินไปหลบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาร่มครึ้มริมถนน ส่วนสารถีจับบังเหียนไว้สุดแรงไม่ให้ม้าแก่ตัวนั้นสะบัดหลุด จึงไม่มีใครไปช่วยปิงลวี่อีกแรงได้ในชั่วครู่ชั่วยาม
นางถอนใจเฮือกหนึ่งแล้วคลานออกมาจากรถม้าที่ล้มตะแคงอยู่ เดินไปตรงหน้าปิงลวี่แล้วย่อตัวลงช่วย
ร่างร่างนี้ของนางเดิมทีก็ผอมบางอ่อนแอ อีกทั้งอายุยังน้อย ไหนเลยจะมีพละกำลังอะไรได้ นางออกแรงดึงแล้วศพก็ยังไม่ขยับ ได้แต่พูดปลอบปิงลวี่เสียงนุ่ม “ปิงลวี่ เจ้าไม่ต้องแตกตื่น เจ้าแรงเยอะมากมิใช่หรือ ใจเย็นๆ แล้วรวบรวมแรงทีเดียวก็จะผลักศพออกไปด้านข้างได้”
ปิงลวี่เจียนร่ำไห้เต็มแก่
คุณหนูก็รู้ว่าเป็นศพหรือนี่ ตอนนี้ข้ามือไม้นางอ่อนแรงไปหมด ยังจะมีเรี่ยวแรงอีกที่ใดกันเล่า
“ปิงลวี่ เจ้าลองคิดดูนะ ถ้าเกิดเวลานี้คนที่ถูกทับเป็นข้าเล่า”
ถ้อยคำเดียวของเฉียวเจาทำให้ปิงลวี่ปลดปล่อยพลังเต็มที่ในพริบตา นางยกมือออกแรงผลักศพออกไปทางด้านข้าง
ในที่สุดก็รอดพ้นแล้ว!
ปิงลวี่ระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง จู่ๆ ก็รู้สึกว่ารอบด้านนิ่งเงียบเกินไป นางเพ่งสายตามองไปแล้วอดตกใจยกใหญ่ไม่ได้
ศพของนางกำนัลผู้นั้นพลิกไปทับขาของคุณหนู เป็นเหตุให้คุณหนูล้มหงายหลังไปแล้ว
สวรรค์ คุณหนูที่น่าสงสารของข้า!
แม่นางเฉียวซึ่งนอนราบบนพื้นโคลนมีศพทับขาอยู่ทำสีหน้าทอดอาลัย
เพราะอะไรเมื่อครู่นางต้องพูดสมมติเช่นนั้น ต้องเป็นเพราะโดนเจ้าม้าแก่ตัวนั้นเตะที่หัวสมองเป็นแน่
น้ำฝนทำให้สายตาพร่าพราย เฉียวเจากะพริบตาแล้วมองเห็นรองเท้าทรงสูงสีดำพื้นขาวคู่หนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้า
เจ้าของรองเท้าย่อกายลงดึงศพออก จากนั้นก้มตัวอุ้มนางขึ้น
* ยาหมาเฟ่ยส่าน เป็นชื่อของยาชาที่สกัดจากต้นกัญชา เชื่อกันว่าผู้ที่คิดค้นคือหมอฮว่าถัว (ฮัวโต๋ว) แพทย์ชื่อดังสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก