หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 134
บทที่ 134
เซ่าหมิงยวนสานหมวกใบที่สองเสร็จอย่างรวดเร็วและส่งให้ปิงลวี่
ปิงลวี่รับหมวกไว้แล้วเกือบน้ำตาคลอเบ้า กวนจวินโหวถึงกับสานหมวกฟางให้สาวใช้น้อยๆ ผู้หนึ่งอย่างนาง แทบจะเป็นเรื่องที่สุดปัญญาจะนึกภาพออกได้เลยทีเดียว!
ฮือๆๆๆ
พลันนั้นนางรู้สึกว่ากวนจวินโหวที่สานหมวกฟางได้เหมาะสมกับคุณหนูของตนมากกว่าคุณชายฉือรูปงาม อย่างน้อยเวลาฝนตกลืมนำร่มติดตัวก็ไม่ต้องกลัวแล้ว
“คุณหนูหลี พวกท่านยืนรอตรงนี้ครู่หนึ่งก่อน” แม่ทัพหนุ่มกลางม่านฝนมีหยดน้ำเกาะตามเรียวคิ้วและขนตา ขับเน้นให้ผิวหน้าขาวมากขึ้น มันดูขาวเกลี้ยงดุจหยกน้ำแข็ง มีรอยคล้ำจางๆ ใต้ตาล่าง
เฉียวเจาคิดในใจ อากาศเช่นนี้ เขาน่าจะทรมานยิ่งขึ้นกระมัง
นางไม่ปริปากพูด มองดูเขาหมุนกายเดินไปตรงรถม้าที่พังไปแล้ว ก้มตัวลงยกไม้คานขึ้น
“คุณหนู กวนจวินโหวจะทำอะไรเจ้าคะ” ปิงลวี่เบิกตากว้างมองตามเซ่าหมิงยวน นางอดปิดปากสูดหายใจเฮือกไม่ได้ “สวรรค์! เขาคงจะไม่ซ่อมรถม้าด้วยกระมัง”
กวนจวินโหวที่ทั้งสานหมวกเป็นทั้งซ่อมรถม้าได้ ช่างเพียบพร้อมไร้ที่ติเหลือเกิน นางใกล้จะหลงรักเขาแทนคุณหนูของตนแล้วทำอย่างไรดี
ไม่มีคนตอบนาง ปิงลวี่หันหน้ามาแล้วตกใจยกใหญ่ “คุณหนู ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ”
เฉียวเจากุมท้องด้วยท่าทางเจ็บปวด นางฝืนเปล่งเสียงพูดคำหนึ่ง “หนาวเล็กน้อย”
ร่างกายนี้เปราะบางเกินไป ถึงจะปรับสมดุลกระเพาะอาหารกับลำไส้แล้วยังคงอ่อนแอเจ็บไข้ได้ง่าย
เซ่าหมิงยวนได้ยินแล้วเงยหน้าขึ้น วางงานในมือลงเดินฉับๆ เข้ามาหา “เป็นอะไรไปรึ”
เขาเป็นคนร่างสูง พอก้มหน้าถาม เม็ดฝนก็ไหลลงมาตามข้างแก้มลอดเข้าไปในคอเสื้ออย่างไร้สุ้มเสียง
เฉียวเจากล่าววาจาไม่ออก นางกุมท้องไว้ เหงื่อเย็นหลั่งรินลงมาผสมรวมกับน้ำฝน ริมฝีปากซีดขาว
ปิงลวี่ร้อนใจจนร่ำไห้แล้ว “ท่านโหว คุณหนูของข้าบอกว่าหนาวเจ้าค่ะ”
เซ่าหมิงยวนเพ่งมองเด็กสาวที่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จานิ่งๆ
เขาคุ้นเคยกับสีหน้าท่าทางเช่นนี้อย่างมาก ดูทีว่าขณะนี้คุณหนูหลีมิใช่แค่หนาว ยังเจ็บปวดมากอีกด้วยเป็นแน่
“อดทนไว้” เซ่าหมิงยวนหันหลังสาวเท้าก้าวยาวๆ ไปทางรถม้า หลังเสียงตึงๆ ตังๆ ดังขึ้นระลอกหนึ่ง เขาก็เอาคานรถม้าที่หักเป็นสองท่อนมัดไว้ด้วยกันเสร็จเรียบร้อย
เขาย้อนกลับมาบอกคำหนึ่ง “ล่วงเกินแล้ว” ก่อนจะโน้มตัวอุ้มเฉียวเจาขึ้นเดินไปที่รถม้า
ปิงลวี่นิ่งงันชั่วอึดใจก่อนก้าวขาตามไป
เซ่าหมิงยวนวางเฉียวเจาบนรถม้า
เพราะชายหนุ่มรื้อผนังตัวรถม้าที่หลุดจากโครงออกไป ส่งผลให้ในตอนนี้มันดูคล้ายเกวียนเล่มใหญ่ของพวกชาวนา
เซ่าหมิงยวนมองไปทางปิงลวี่ พลางเอ่ยถามว่า “เดินเองได้หรือไม่”
ปิงลวี่งุนงงอยู่บ้างแต่ยังพยักหน้าหงึกหงัก กวนจวินโหววางตัวคุณหนูบนรถม้าด้วยเหตุใด อย่างไรก็ไม่มีม้าแล้วนี่นา
หลังจากนั้นปิงลวี่ก็ยกมือปิดปากด้วยความตกตะลึง นางทำตาปริบๆ มองดูเซ่าหมิงยวนใช้สองมือลากรถม้าออกเดินไปหลายจั้งแล้วถึงตั้งสติได้รีบไล่กวดตามไป
เฉียวเจาปวดท้องเหมือนโดนบิดไส้ นางมองคนที่ลากรถม้าเงียบๆ ด้วยจิตใจที่สับสนปนเป
ราวกับว่าบุรุษที่ก้มหน้าก้มตาลากรถม้าผู้นี้กับบุรุษหน้าตาเฉยเมยตรงเชิงกำแพงเมืองที่ยิงธนูสังหารนางโดยไม่กล่าววาจาสักคำวันนั้นเป็นคนละคนกันโดยสิ้นเชิง
ทว่าเงาของคนสองคนนี้ก็ค่อยๆ ซ้อนทับกันทีละน้อยอีก
เซ่าหมิงยวนในสนามรบกับเซ่าหมิงยวนในเวลานี้ แต่ละด้านแต่ละมุมล้วนเป็นตัวตนที่แท้จริง แค่ว่าทางเลือกไม่เหมือนกันยามเผชิญกับสถานการณ์ที่ต่างกัน
แล้วเพียงสองครั้งในชีวิตที่นางตกอยู่ในสภาพจนตรอก ครั้งนั้นเขาสังหารนาง ครั้งนี้เขาช่วยชีวิตนาง
เฉียวเจาคิดท่ามกลางสติที่มึนงงว่านางอาจจะยกโทษให้เขาได้จริงๆ
รถม้าถูกลากออกจากถนนสายใหญ่ไปตามถนนที่คับแคบลงจนมุ่งหน้าต่อไปได้ยากขึ้นทุกที
เซ่าหมิงยวนหยุดฝีเท้าวางไม้คานรถม้าลงช้าๆ แล้วเดินไปตรงหน้าเด็กสาว
“คุณหนูหลี ข้างหน้าไม่ไกลนักมีกระท่อมอยู่ ข้าจะพาท่านไปหลบฝนก่อน รอฝนหยุดแล้วค่อยเดินทางต่อ”
เฉียวเจาทนความทรมานทางกายไว้ผงกศีรษะเบาๆ
ด้วยสภาพร่างกายของนางในยามนี้ หากฝืนทนกลับไปถึงในเมืองจริงๆ เกรงว่าจะเคราะห์ร้ายมากกว่าเคราะห์ดี
ชายหนุ่มโน้มตัวอุ้มเฉียวเจาขึ้นอีกคำรบหนึ่ง เขาพยักหน้ากับปิงลวี่แล้วก้าวขาเดินไปข้างหน้า
ทั้งสามลัดเลาะไปตามเส้นทางบนเขา มีกระท่อมหลังหนึ่งซ่อนตัวอยู่กลางแมกไม้ร่มรื่นดกดื่นจริงๆ
กระท่อมหลังนั้นไม่ใหญ่นัก ตรงชายคาแขวนพริกสีแดงไว้พวงหนึ่งซึ่งถูกฝนสาดจนร่วงหล่นกระจัดกระจาย ยังมีกระดิ่งสำริดขนาดใหญ่เท่าปากชามโคมลูกหนึ่งแกว่งไกวไปมา แต่เสียงของมันถูกกลบด้วยเสียงลมฝน
เฉียวเจาแหงนหน้ามองเซ่าหมิงยวนแล้วทำได้แต่กะพริบตา เพราะเปล่งเสียงพูดต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรง
เขากลับคล้ายอ่านความคิดในใจนางออกได้ เอ่ยอธิบายขึ้นว่า “ตอนเดินผ่านถนนสายนี้ เห็นแสงสะท้อนโดยไม่ตั้งใจ”
ชายหนุ่มพูดสั้นกระชับ ทว่าเฉียวเจาเข้าใจได้ทันที
ผู้คนทางเมืองหลวงมีความเคยชินอย่างหนึ่ง ถ้าอาศัยอยู่ในที่ที่มีคนบางตา โดยเฉพาะตามเรือนพำนักของพรานป่า มักจะแขวนกระดิ่งสำริดสลักลายมงคลไว้ตรงชายคาเพื่อขับไล่สิ่งอัปมงคล
เวลาอากาศดี กระดิ่งจะสะท้อนแสงอาทิตย์ เซ่าหมิงยวนซึ่งเคยผ่านทางมามองเห็นแสงสะท้อนในป่าโดยบังเอิญ จึงคาดคะเนได้ว่ามีกระท่อมอยู่ที่นี่
คนผู้นี้ช่างสังเกตสังกาจริงๆ ไม่รู้ว่าเหตุใดวันนี้ถึงพบกับเขาได้
หรือว่าเขาไปที่วัดต้าฝู คนเดียว?
เฉียวเจาหลุบเปลือกตาลงซ่อนแววตาครุ่นคิด
เพียงเสี้ยวขณะที่ตกอยู่ในภวังค์ความคิด เซ่าหมิงยวนอุ้มนางมาถึงหน้ากระท่อมแล้วตะเบ็งเสียงถาม “มีคนอยู่หรือไม่!”
อึดใจต่อมา ประตูเปิดออก ชายวัยกลางคนร่างล่ำสันผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นหน้าประตู พูดด้วยน้ำเสียงระแวดระวังว่า “มีเรื่องใดรึ”
“ข้า…” เซ่าหมิงยวนลังเลใจเล็กน้อยก่อนเอ่ยตอบ “ข้ากับน้องสาวไปไหว้พระที่วัดต้าฝู ไม่คิดว่าระหว่างทางกลับจะเจอฝนตกหนัก น้องสาวข้าร่างกายอ่อนแอตากฝนไม่ได้ หวังว่าพี่ชายจะเอื้อเฟื้อให้พวกข้าได้หลบฝนรับไออุ่นในเรือนท่านด้วยขอรับ”
เขากล่าวจบแล้วล้วงก้อนเงินเล็กๆ ก้อนหนึ่งในถุงผ้าปักยื่นส่งให้
ชายวัยกลางคนตาเป็นประกาย ยื่นมือรับก้อนเงินไว้แล้วพูดพึมพำ “อากาศอย่างนี้จะออกจากเรือนมาไหว้พระอะไรกัน เข้ามาสิ”
พวกเซ่าหมิงยวนเข้าไปในกระท่อม พบว่าในนั้นยังมีบุรุษที่อ่อนวัยกว่าบ้างอีกคนหนึ่ง
คนผู้นั้นลุกขึ้นยืน
ชายวัยกลางคนเอ่ยปากบอก “นี่เป็นพี่น้องของข้าเอง ที่แห่งนี้เป็นที่ที่พวกข้าแวะพักยามล่าสัตว์”
เขาพูดพลางหันหน้าไปพูดกับชายหนุ่ม “พวกเขาผ่านทางมาขอหลบฝน”
ชายหนุ่มหยักยิ้ม ตวัดสายตามองปิงลวี่ซึ่งเปียกปอนไปทั้งตัว ค่อยมองไปทางเฉียวเจาอีกที
เซ่าหมิงยวนเบี่ยงกายบังสายตาที่จับจ้องมา เขามองชายหนุ่มผู้นั้นอย่างเฉยชา
ชายหนุ่มเกาศีรษะแกรกๆ ดูท่าทางซื่อๆ อยู่หลายส่วน “ที่นี่มีเสื้อผ้าแห้งสะอาดของพวกข้าวางทิ้งไว้บ้าง พวกท่านจะไปผลัดชุดกันหรือไม่ แต่ไม่มีของสตรีนะ”
ชายวัยกลางคนพูดผสมโรง “ใช่ ถ้าไม่รังเกียจก็ผลัดชุดก่อนเถอะ ข้าจะไปก่อไฟต้มน้ำแกงร้อนมาให้”
“เช่นนั้นก็ขอบคุณมาก”
ชายวัยกลางคนพาพวกเซ่าหมิงยวนเข้าไปที่ห้องด้านใน รื้อหาเสื้อผ้าสองชุดกับผ้าเช็ดหน้าสีมอๆ ผืนหนึ่งจากในตู้ที่ทำด้วยฝีมือหยาบๆ “มีแค่สองชุด…”
เซ่าหมิงยวนรับมาส่งให้ปิงลวี่ เขาอ้าปากกล่าว “ขอบคุณมาก พี่ชายโปรดขายหนังเสือที่แขวนอยู่บนผนังด้านนอกให้ข้าเถอะ น้องสาวข้าโดนฝน นางหนาวจนตัวแข็งแล้ว”
ร่างกายของเด็กสาวในอ้อมแขนเย็นเฉียบยิ่งขึ้นทำให้เขากังวลใจอยู่บ้าง หากที่เหนือความคาดหมายของเขาคือถึงนางจะตัวสั่นสะท้านตลอดเวลา แต่กลับนิ่งเงียบอยู่จนแล้วจนรอด
“อ้อ ไม่มีปัญหา แต่หนังเสือนี้มีราคาไม่ถูก…”
“ไม่เป็นไร เท่านี้คงพอกระมัง” เซ่าหมิงยวนยื่นก้อนเงินก้อนหนึ่งให้
“พอสิๆ ถ้าอย่างนั้นพวกท่านตามสบาย ข้าไปต้มน้ำแกงก่อนล่ะ” ชายวัยกลางคนกำก้อนเงินไว้ในมือก่อนออกจากห้องไป