หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 135
ปิงลวี่หอบเสื้อผ้าไว้ในวงแขนข้างหนึ่ง ใช้นิ้วมือสองนิ้วคีบผ้าเช็ดหน้าสีมอๆ ผืนนั้น พูดด้วยสีหน้ารังเกียจ “นี่เป็นอาภรณ์ที่บุรุษสองคนเคยใช้มาก่อน จะให้คุณหนูสวมได้อย่างไร ยังมีผ้าผืนนี้ สกปรกจะตายอยู่แล้ว…”
เซ่าหมิงยวนหมุนกายมา เขาก้มตัววางเฉียวเจาลงบนเก้าอี้เบาๆ
เฉียวเจาได้นั่งพิงบนเก้าอี้แห้งๆ แล้วเริ่มมีเรี่ยวแรงขึ้นบ้างในที่สุด นางพูดกับปิงลวี่เสียงเบาทว่าหนักแน่นว่า “สวมได้”
คนที่เคยตายมาแล้วยังมีอะไรสำคัญไปกว่าการมีชีวิตอยู่
อย่าว่าแต่เป็นชุดที่นายพรานเคยสวมใส่ ต่อให้เป็นเรื่องที่ทำให้สตรีคนอื่นๆ ยากจะทนรับได้กว่านี้ ขอเพียงมิต้องละวางปณิธานและไม่หมิ่นเกียรติของตน นางล้วนทนรับได้ทั้งสิ้น
นางอยากมีชีวิตอยู่ มีชีวิตอยู่ให้ดียิ่งขึ้นแทนคนในครอบครัวที่ตายไป เพื่อสืบให้กระจ่างว่าเหตุเพลิงไหม้นั่นมีเงื่อนงำหรือไม่ และเพื่อได้เห็นวันที่ใบหน้าของพี่ใหญ่หายดี
เซ่าหมิงยวนมองเฉียวเจาอย่างพินิจ เขานึกว่าตนต้องเปลืองแรงพูดเกลี้ยกล่อมคุณหนูหลีผู้นี้บ้าง
ชายหนุ่มถือกำเนิดในตระกูลขุนนางใหญ่ เป็นธรรมดาที่ได้ฟังกับหูได้ดูกับตาว่าบรรดาสตรีสูงศักดิ์พิถีพิถันเรื่องการกินอยู่ปานใด มิต้องเอ่ยถึงอาภรณ์เก่าที่บุรุษแปลกหน้าเคยสวมใส่ เกรงว่าถึงเป็นชุดใหม่เอี่ยมก็ยังยากจะยอมรับได้
แต่เขาอยู่ที่แดนเหนือมานานเจ็ดแปดปี เห็นพวกชาวบ้านสามัญชนซึ่งยอมแลกได้ทุกอย่างเพื่อความอยู่รอดโดยไม่ลังเล เห็นเหล่าสตรีที่โดนชาวต๋าจื่อย่ำยีจนสูญสิ้นศักดิ์ศรีไม่เหลือหลอ รวมถึงแม่ทัพนายกองที่เสียเลือดเสียเนื้อกลางสมรภูมิเพื่อปกป้องมาตุภูมิเบื้องหลังจนชินตา
นอกจากความเป็นความตาย ไม่มีอะไรเป็นเรื่องใหญ่แล้ว
ทั้งที่มีคนมากมายดิ้นรนอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแต่กลับทำไม่ได้ ทั้งที่มีบางคนไร้ความผิดแต่เขาต้องลงมือเข่นฆ่าให้ดับดิ้น ในเวลาอย่างนี้เขาจะเข้าใจถ้อยคำนี้ได้ดียิ่งขึ้น
คุณหนูหลีผิดแผกจากสตรีสูงศักดิ์ของเมืองหลวงในความทรงจำเขาอย่างมาก แม่ทัพหนุ่มคิดคำนึง
“ส่งผ้าเช็ดมือให้ข้า” เซ่าหมิงยวนยื่นมือรับผ้าสีมอๆ จากปิงลวี่แล้วบอกกับเฉียวเจา “รอข้าสักครู่”
เขาหมุนกายออกจากประตู สาวเท้าก้าวใหญ่ไปทางห้องครัว
นายพรานหนุ่มเริ่มก่อไฟแล้ว
“มีน้ำร้อนหรือไม่”
นายพรานหนุ่มแปลกใจที่เซ่าหมิงยวนปรากฏกายขึ้น เขาอึ้งไปก่อนเอ่ยขึ้น “มีๆ”
เขาวางไม้เขี่ยไฟลงแล้วลุกขึ้นยืน เอามือเช็ดกับเสื้อบนตัวก่อนยกกาน้ำพลางเอ่ยถามเซ่าหมิงยวน “จะดื่มน้ำใช่หรือไม่ เพิ่งเดือดได้ไม่นาน แต่ว่ามีแค่ชามกินข้าว…”
“ช่วยหยิบอ่างน้ำให้ข้าสักใบ” เซ่าหมิงยวนบอกด้วยน้ำเสียงสุภาพ
นายพรานหนุ่มได้ยินแล้วกุลีกุจอหาอ่างไม้ใบหนึ่งส่งให้เขา
เซ่าหมิงยวนรับกาน้ำมาเทน้ำร้อนส่วนหนึ่งชะล้างอ่างไม้ก่อน จากนั้นใส่น้ำร้อนลงไปครึ่งอ่าง ค่อยโยนผ้าสกปรกผืนหนึ่งลงไป
นายพรานหนุ่มเห็นแล้วกล่าวอย่างกระดากใจ “ล้างไม่สะอาดแล้ว”
เซ่าหมิงยวนหลุบตาลง ใช้มือขยี้ผ้ารอบแล้วรอบเล่าจนน้ำในอ่างกลายเป็นสีขุ่นๆ ก็เททิ้งแล้วเปลี่ยนน้ำใหม่ เขาใช้น้ำไปสามอ่างถึงซักผ้าผืนนั้นให้ขาวขึ้นได้ในที่สุด
เขาบิดผ้าให้แห้งหมาดๆ กล่าวขอบคุณนายพรานหนุ่มแล้วกลับไปหาพวกเฉียวเจา เขายื่นผ้าที่ยังแฝงไอร้อนไว้ให้ปิงลวี่ กล่าวเสียงเรียบว่า “รีบเปลี่ยนชุดแห้งๆ ให้คุณหนูหลีเถอะ เสร็จแล้วออกมาเรียกข้า ข้าจะเฝ้าอยู่นอกประตู” ว่าแล้วก็หมุนกายเดินออกไป
ปิงลวี่กำผ้าอุ่นจัดผืนหนึ่งไว้ อดหันไปมองเฉียวเจาไม่ได้ “คุณหนู…”
เฉียวเจาปล่อยผมยาวเปียกชุ่มสยายลง นางกัดปลายลิ้นพยักหน้ากับปิงลวี่ “เปลี่ยน!”
ปิงลวี่ได้ยินแล้วไม่อิดเอื้อนอีก รีบถอดอาภรณ์เปียกฝนบนร่างผู้เป็นนายออก นางถือผ้าไว้ในมือแล้วลังเลใจอีกครา “คุณหนู ดูเหมือนกวนจวินโหวจะซักผ้า…” ดังนั้นท่านไม่รังเกียจจริงๆ ใช่หรือไม่
“พูดมาก เช็ดตัวข้าให้แห้ง!” เฉียวเจาทั้งหนาวทั้งปวดท้อง นางไม่เหลือกำลังวังชาสักเท่าไร ได้แต่ถลึงตาใส่ปิงลวี่
ปิงลวี่ทำใจแข็งเอาผ้าไปเช็ดตัวเฉียวเจาจนแห้ง จากนั้นเลือกเอาชุดที่สะอาดกว่าจากอาภรณ์สองชุดนั้นมาผลัดเปลี่ยนให้เฉียวเจา
เมื่อได้สวมเสื้อผ้าแห้งสบายตัว เฉียวเจาพลันรู้สึกคล้ายรอดตายแล้ว นางเอ่ยสั่งปิงลวี่เสียงเบา “เอาอาภรณ์ที่ข้าถอดออกไปบิดให้แห้งแล้วพันผมข้าไว้”
ปิงลวี่ทำงานพวกนี้ได้ไม่มีปัญหา นางช่วยเฉียวเจาโพกศีรษะเสร็จอย่างว่องไว
“เจ้าก็เปลี่ยนชุดด้วยสิ” เฉียวเจากุมท้องพลางพูด
“ข้า…” ปิงลวี่ชำเลืองมองเสื้อผ้าอีกชุดหนึ่งแล้วส่ายหน้า “ข้าไม่เปลี่ยนดีกว่าเจ้าค่ะ”
ฮือๆๆ เหตุใดคุณหนูกล้าใส่นะ ข้าขอยอมตายก็ไม่ยอมเปลี่ยน!
“เปลี่ยนชุด” น้ำเสียงของเฉียวเจาเด็ดเดี่ยว
สุดท้ายสาวใช้น้อยก็รีบผลัดเปลี่ยนอาภรณ์
แม้ว่านางจะมีหลักการมาก ขอยอมตายก็ไม่ยอมสวมเสื้อผ้าของพวกบุรุษตัวเหม็น แต่คำพูดของคุณหนูนั้นถึงตายก็ต้องเชื่อฟัง
เฉียวเจายิ้มอย่างพึงพอใจ นางเหลือบตามองหน้าประตู บอกเสียงเบาว่า “เชิญแม่ทัพเซ่าเข้ามาเถอะ”
“เจ้าค่ะ” ปิงลวี่ขานรับแล้วก้าวขาเดินไปข้างนอก หากในใจนึกฉงนอยู่บ้างว่า เหตุใดคุณหนูไม่เรียกกวนจวินโหวว่าท่านโหว กลับเรียกว่าแม่ทัพเซ่าอยู่ตลอดนะ? ทั้งที่ท่านโหวฟังดูทรงอำนาจบารมีกว่า
สาวใช้น้อยไปถึงหน้าห้องก็เห็นเซ่าหมิงยวนยืนถือหนังเสือในมืออยู่ตรงนั้น แต่สายตาจ้องเขม็งไปทางห้องครัว
ชายหนุ่มได้ยินเสียงแล้วหันหน้ามา ยื่นหนังเสือให้นาง “ให้คุณหนูหลีห่มตัวไว้ ข้าจะไปรอน้ำแกงที่ห้องครัว”
ปิงลวี่หอบหนังเสือไว้ในอ้อมแขนเอาเข้าห้องไปคลุมให้เฉียวเจา
ชั่วพริบตาที่ถูกไออุ่นโอบล้อม ราวกับว่ากระทั่งอาการปวดท้องก็บรรเทาลงเพราะความอบอุ่นที่แผ่ออกมากะทันหันนี้ เฉียวเจาไม่ใส่ใจกับกลิ่นเหม็นสาบจางๆ จากหนังเสือโดยสิ้นเชิง นางพรูลมหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจะขยับนิ้วมือเบาๆ ดึงหนังเสือให้กระชับตัวยิ่งขึ้น
เมื่อเห็นสีหน้าของผู้เป็นนายดีขึ้น ปิงลวี่แอบถอนใจโล่งอกแล้วกลับมาร่าเริงดังเก่า นางพูดเสียงกระซิบ “คุณหนู แม่ทัพเซ่าไปรอน้ำแกงที่ห้องครัวเจ้าค่ะ”
เฉียวเจาเหลือบตาขึ้น ทอดสายตามองไปทางหน้าประตูโดยไม่เอื้อนเอ่ยคำใด
ภายในห้องครัว นายพรานสองคนกำลังทำงานง่วนอยู่ พอเห็นเซ่าหมิงยวนมาถึง นายพรานวัยกลางคนเอี้ยวคอบอก “คุณชาย ท่านไปพักผ่อนก่อนเถอะ ดื่มน้ำร้อนสักหน่อยให้อุ่นกาย รอน้ำแกงเสร็จแล้วข้าจะยกไปให้พวกท่าน”
“ไม่ต้องแล้ว ข้าจะผึ่งเสื้อผ้าให้แห้งพอดี รอน้ำแกงเสร็จแล้วข้ายกไปเองก็ได้” เซ่าหมิงยวนเดินไปนั่งยองๆ และรับไม้เขี่ยไฟจากมือนายพรานหนุ่ม
เขาก้มหน้าหลุบตาต่ำ เขี่ยฟืนในกองไฟอย่างเอาจริงเอาจัง
นายพรานสองคนสบตากันแวบหนึ่งแล้วหมุนกายแอบย่องออกไป
“พวกท่านอยู่ด้วยกันกับข้าจะดีกว่านะ” เซ่าหมิงยวนกล่าวเสียงราบเรียบโดยไม่แม้แต่จะเหลียวหน้าไป
นายพรานสองคนชะงักเท้าหยุดยืนนิ่ง
“คุณชายยังมีเรื่องใดอีกหรือ” นายพรานวัยกลางคนไต่ถาม
หนนี้ชายหนุ่มหันมาพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ไม่มี ข้าขอบคุณพวกท่านทั้งสองเป็นอันมากที่ให้ความช่วยเหลือ จึงอยากจะพูดคุยสัพเพเหระกับพวกพี่ชาย”
เขาพูดจบแล้วหันกลับไป ก้มหน้าผึ่งเสื้อผ้าที่เปียกโชกต่อพลางลอบถอนใจเฮือก
มาตรว่านายพรานสองคนนี้อาจดูท่าทางซื่อสัตย์ แต่สำหรับเขาแล้วเรื่องเก็บสีหน้ากลับอ่อนหัดเหลือเกิน เทียบกับไส้ศึกซึ่งปลอมตัวเป็นราษฎรต้าเหลียงที่พบในแดนเหนือเหล่านั้นยังห่างชั้นกันไกลลิบ
เป็นเพราะสภาพตัวเปียกม่อล่อกม่อแล่กของคุณหนูหลีกับสาวใช้ทำให้พวกเขาเกิดตัณหาขึ้นฉับพลัน หรือเพราะเงินที่เขามอบให้เป็นเหตุให้พวกเขาบังเกิดความละโมบกะทันหัน
เงินตรากับนารีสั่นคลอนจิตใจคน สิ่งที่ชายหนุ่มกระทำได้คือไม่ให้โอกาสพวกเขาก่อความผิด ให้ทั้งสองฝ่ายพานพบและลาจากกันด้วยดี
น่าเสียดายที่นายพรานสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเซ่าหมิงยวนไม่คิดเช่นนี้ พวกเขาส่งสายตากันอึดใจหนึ่งแล้วตกลงปลงใจได้ในที่สุด ใบหน้าเผยแววเหี้ยมเกรียมออกมา