หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 138
เซ่าหมิงยวนใส่ข้าวกล้องที่ล้างสะอาดในหม้อแล้วยืดตัวขึ้น “คุณหนูหลี ข้าออกไปข้างนอกสักครู่”
ดวงตาของเฉียวเจาทอประกายวูบหนึ่ง
เขาออกไปทำอะไรอีกนะ
“แม่ทัพเซ่าเชิญตามสบายเจ้าค่ะ” นางเห็นเขาเดินไปด้านนอกก็ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นได้ นางตะเบ็งเสียงเรียก “แม่ทัพเซ่า”
ชายหนุ่มเหลียวหน้ามา
“ด้านนอกยังฝนตก ถ้าท่านจะไปข้างนอกก็สวมหมวกฟางไว้เถอะ ปิงลวี่ ไปที่ห้องนั้นหยิบหมวกฟางมา”
เซ่าหมิงยวนคลายยิ้ม “ไม่ต้อง ข้าไปหยิบเอง”
เขาหายลับไปตรงหน้าประตูอย่างรวดเร็ว
ปิงลวี่กะพริบตาปริบๆ พูดเสียงกระซิบ “คุณหนู ข้าไปดูว่าแม่ทัพเซ่าไปทำอะไรนะเจ้าคะ”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ปิงลวี่ย้อนกลับมานั่งยองๆ ข้างเฉียวเจาแล้วบอกเสียงเบาๆ “คุณหนู แม่ทัพเซ่าออกไปแล้วจริงๆ สวมหมวกฟางที่เขาสานด้วยเจ้าค่ะ แต่ว่าฝนยังไม่หยุดตกเลย เขาออกไปข้างนอกตอนนี้ เสื้อผ้าก็ต้องเปียกฝนอีก ท่านว่าเขาออกไปทำอะไรเจ้าคะ”
เฉียวเจามองไปทางหน้าประตูแล้วส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้”
นางมิใช่หนอนในท้องเขาสักหน่อย ไหนเลยจะคาดเดาอะไรๆ ได้หมดเล่า
“คุณหนูท่านเห็นหรือไม่เจ้าคะ เจ้าคนเลวสองคนนั่นถูกมัดไว้ด้านนอกนี่เอง ท่านว่าถ้าเกิดแม่ทัพเซ่ายังไม่กลับมาแล้วสองคนนั้นแก้มัดได้ อย่างนั้นพวกเราจะไม่ตกอยู่ในอันตรายหรือไร” ปิงลวี่พูดด้วยแววตาหวาดกลัว “คุณหนู ขอไม้เขี่ยไฟไปใช้ประเดี๋ยวหนึ่งเจ้าค่ะ”
สาวใช้น้อยหยิบไม้เขี่ยไฟมาแล้ววิ่งผลุนออกไปโดยไม่รอเฉียวเจาปริปาก
ไม่ถึงชั่วครู่ก็ได้ยินเสียงร้องโอดโอยสองเสียงดังมาจากด้านนอก
ปิงลวี่หอบไม้เขี่ยไฟไว้ในอ้อมแขน วิ่งกลับมาด้วยสีหน้าเริงร่า “ทีนี้ก็เรียบร้อย ข้าตีหัวพวกเขาไปคนละทีเจ้าค่ะ”
เฉียวเจาอึ้งงันไปครู่หนึ่ง “…ตายหรือไม่”
ดีนักนะ ถ้าตีตายไปแล้ว เซ่าหมิงยวนก็ไม่ต้องลำบากใจ
ว่าแต่…ตกลงสาวใช้ผู้นี้เป็นคนของใครกันแน่
ปิงลวี่สั่นศีรษะ “ไม่ตายๆ ข้าใจเสาะ ไม่กล้าฆ่าคนหรอกเจ้าค่ะ”
เฉียวเจามองฟ้าอย่างหมดคำพูด ไม่กล้าฆ่าคนก็เลยตีศีรษะจากทางข้างหลังสินะ อภัยที่นางผ่านโลกมาน้อย ไม่เคยเห็นสาวใช้ ‘ใจเสาะ’ เยี่ยงนี้มาก่อน
“คอยคนข้าวไว้ อย่าให้ไหม้” ไม่รู้ว่าเซ่าหมิงยวนจะกลับมาเมื่อใด เฉียวเจาเป็นห่วงว่าโจ๊กจะไหม้หมดแล้วกินไม่ได้ นางจึงเอ่ยเตือนขึ้น
ร่างนี้ของนางอ่อนแอเกินไปจึงยิ่งต้องกินอาหารฟื้นฟูกำลัง ต่อให้กินแล้วคลื่นไส้ก็ต้องกล้ำกลืนลงไป
“ปิงลวี่”
“เจ้าคะ” เมื่อสะสางภัยร้ายที่แอบแฝงอยู่ สาวใช้น้อยดูคึกคักร่าเริงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“กลับไปอย่าลืมฝึกต้มโจ๊ก”
สาวใช้น้อยทำหน้าม่อยคอตกทันควัน “เจ้าค่ะ”
ฟืนข้างในก้นเตาลุกไหม้แรงมากจนเกิดเสียงสะเก็ดไฟปะทุดังเปรี๊ยะๆ เป็นระยะ น้ำในหม้อใบใหญ่เริ่มเดือดปุดๆ ทีละน้อย พาให้เมล็ดข้าวเดี๋ยวลอยเดี๋ยวจม
เฉียวเจาเช็ดคราบขี้เถ้าที่เลอะติดหลังมือออก กลับพบว่ายิ่งเช็ดยิ่งเปื้อนก็เลยปล่อยเลยตามเลย นางจับจ้องเปลวไฟที่เต้นระริกพลางคิดคำนึง
เซ่าหมิงยวนออกไปทำอะไรนะ
ด้านนอกฝนตกเบาลงแล้ว แต่เพิ่งก้าวออกจากเรือน เสื้อผ้ายังคงเปียกแฉะอย่างรวดเร็ว
เซ่าหมิงยวนพบสิ่งที่เสาะหาอยู่ใต้ต้นไม้จุดหนึ่งในที่สุด เขาก้มตัวลงขุดขิงป่าหลายต้นนั่นออกมา
เขายืดตัวขึ้นมองไปทางกระท่อม แย้มปากยิ้มสาวเท้าย้อนกลับไป แต่เดินไปครึ่งทางก็หยุดฝีเท้าแล้วเลิกคิ้วขึ้น
ชายหนุ่มที่เปียกฝนเหมือนลูกนกตกน้ำคนนั้นมองเห็นเซ่าหมิงยวนแล้วยิ้มอวดไรฟันขาวทั้งปาก วิ่งมาหาอย่างกระฉับกระเฉงพลางกล่าว “ท่านแม่ทัพ ข้าหาท่านพบจนได้”
“เฉินกวง เจ้าท้องเสียมิใช่หรือ ไฉนไม่รอฝนซาก่อนค่อยออกมา”
องครักษ์ประจำตัวที่เปียกม่อล่อกม่อแล่กทำสายตาหลุกหลิก เขาลูบน้ำฝนบนใบหน้าออกก่อนเอ่ยขึ้น “ข้าเห็นฝนตกหนัก กลัวจะเกิดเรื่องใดขึ้นก็เลยไล่ตามมา ท่านแม่ทัพ เหตุใดรถม้าของคุณหนูหลีพังเสียหายหนักถึงเพียงนั้น แล้วนางเป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
เซ่าหมิงยวนมององครักษ์ประจำตัวนิ่งๆ ปกติเขาไม่รู้สึกว่าเจ้าหนุ่มผู้นี้ช่างพูดเช่นนี้ “รถม้าพลิกคว่ำ อาการของคุณหนูหลีไม่สู้ดีนัก”
“พลิกคว่ำ? ไม่กระมัง…” องครักษ์ตกอกตกใจยกใหญ่
เซ่าหมิงยวนจ้ององครักษ์ตาเขม็งครู่หนึ่ง ไต่ถามเสียงขรึม “เฉินกวง เจ้ามีเรื่องใดปิดบังข้าใช่หรือไม่”
เมื่อท่านแม่ทัพที่เคารพแผ่บารมีน่าเกรงขามออกมา องครักษ์ก็แข้งขาอ่อน คุกเข่าลงข้างหนึ่งบนพื้นโคลน “ท่านแม่ทัพอภัยให้ด้วย ข้า…”
เขาเหลือบตาขึ้นมองแม่ทัพซึ่งทำหน้าเคร่งขรึมแล้วรีบก้มศีรษะลงดังเดิม สารภาพอย่างซื่อสัตย์ “ข้าเป็นคนทำให้คานรถม้าของคุณหนูหลีหักเองขอรับ”
เซ่าหมิงยวนฟังแล้วสีหน้าปึ่งชาไป เขาสูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่งถึงเอ่ยถาม “เพราะอะไร”
หรือว่าข้างกายเขาจะเหลือคนที่เชื่อใจได้ไม่กี่คน แต่ละคนล้วนมีปัญหา
สายตาของชายหนุ่มจับอยู่ที่ตัวเฉินกวงซึ่งคุกเข่าข้างเดียวบนพื้น สีหน้าฉายแววขมขื่น
ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น เฉินกวงติดตามเขามาเนิ่นนานเช่นเดียวกับเยี่ยลั่ว และเป็นคนที่เขาช่วยกลับมาจากกองศพคนตาย
“พูด เพราะอะไรถึงทำเช่นนี้”
องครักษ์น้อยจับน้ำเสียงแฝงรอยกรุ่นโกรธระคนผิดหวังของท่านแม่ทัพที่เคารพได้แล้วแทบร่ำไห้ด้วยความตกใจ เขาไม่กล้าปกปิดอีก พรั่งพรูเหตุผลทั้งหมดออกมา “ข้าคิดว่าถ้ารถม้าของคุณหนูหลีเสียกลางทาง ท่านแม่ทัพที่ไล่ตามไปก็จะได้เป็นวีรบุรุษช่วยสาวงามพอดีมิใช่หรือขอรับ”
ท่านแม่ทัพของข้าซ่อมรถม้าเป็นนี่นา
แม่ทัพหนุ่มคิดหาเหตุผลไปร้อยแปดพันประการ กลับไม่เคยคิดถึงข้อนี้เพียงข้อเดียว เขาอดนิ่งงันไปไม่ได้
องครักษ์ซึ่งคุกเข่าอยู่กลางน้ำโคลนพูดอย่างหมดเปลือกดังคำกล่าวที่ว่าไหร้าวแล้วขว้างให้แตกไปเลย “รถม้าของคุณหนูหลีไม่ค่อยดีเท่าไร เจ้าม้าตัวนั้นก็แก่หง่อมวิ่งได้ไม่เร็ว ต่อให้คานรถม้าหัก อย่างมากก็แล่นไม่ได้ ข้าทบทวนไตร่ตรองดีแล้ว ไม่มีทางเป็นอันตรายได้…”
ครั้นสายตาปะทะกับดวงตาดำเข้มนิ่งขรึมของท่านแม่ทัพ องครักษ์ก็ก้มศีรษะลง “เป็นความผิดของข้าผู้เดียว ท่านแม่ทัพลงโทษข้าเถอะขอรับ”
ไฟโทสะของเซ่าหมิงยวนปะทุขึ้น เขาไต่ถามเสียงราบเรียบ “เจ้าทบทวนไตร่ตรองดีแล้วรึ ฝนตกหนักถึงเพียงนี้ เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าระหว่างทางคุณหนูหลีรับคนอื่นขึ้นรถม้า เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าร่างกายของคุณหนูหลีไม่แข็งแรงเท่าสตรีแดนเหนือ และถึงขั้นอ่อนแอกว่าสตรีทั่วเมืองหลวงด้วยซ้ำไป เจ้าเคยคิดหรือไม่”
เดิมทีเขาต้องการคุ้มครองนางให้ปลอดภัย ใครจะรู้ว่ากลับกลายเป็นต้นเหตุให้นางประสบเคราะห์
องครักษ์ฟังแล้วหน้าซีดเผือด เกิดเรื่องขึ้นกับหญิงในดวงใจท่านแม่ทัพแล้วหรือ เช่นนั้นเขาจะมิใช่คนบาปหรือไร
“เป็นข้าหุนหันพลันแล่นเองขอรับ ข้าผิดต่อท่านแม่ทัพ” องครักษ์ชักกระบี่ยาวตรงเอวออกมาปาดคอ
เซ่าหมิงยวนเงื้อเท้าเตะกระบี่กระเด็นหวือไป
“ท่านแม่ทัพ?”
“เก็บหัวสมองขี้เลื่อยของเจ้าไว้ชั่วคราว ไปทำคุณไถ่โทษ!”
องครักษ์มองเซ่าหมิงยวนพลางถามอย่างงุนงง “ท่านจะมอบตัวข้าให้คุณหนูหลีลงโทษใช่หรือไม่ขอรับ”
เซ่าหมิงยวนหลับตาลง เขาหัวเสียกับผู้ใต้บังคับบัญชาเบาปัญญาเยี่ยงนี้ ช่างไม่คุ้มค่ากับการลงแรงฝึกฝนเสียเลย
“รุดกลับเข้าเมืองโดยไวที่สุด เอารถม้ากับอาภรณ์ของสตรีมาสองสามชุด ระวังอย่าให้เป็นที่สังเกตของผู้อื่น” เซ่าหมิงยวนคิดๆ แล้วพูดเสริมขึ้น “ชุดของคุณหนูหลีเลือกเสื้อสีเขียวกระโปรงสีขาว ส่วนชุดของสาวใช้เลือกสีเขียวสด แล้วก็พาองครักษ์มาอีกสองคน รีบไปรีบกลับ”
“น้อมรับคำสั่งขอรับ” องครักษ์ลุกขึ้นก้าวขาออกวิ่งทันที แต่วิ่งไปไม่กี่จั้งก็หมุนตัวขวับย้อนกลับมาดึงกระบี่ยาวที่เสียบอยู่บนพื้นโคลนเก็บเข้าฝัก จากนั้นทะยานกายจากไป
เมื่อเซ่าหมิงยวนกลับถึงกระท่อม เฉียวเจาได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้นเห็นเขาเปียกโชกไปทั้งตัว น้ำฝนไหลหยดลงมาตามชายเสื้อรวมกันเป็นหย่อมน้ำบนพื้นในเวลาอันสั้น นางจึงกล่าวขึ้น “แม่ทัพเซ่ามาผิงไฟเถอะเจ้าค่ะ”
เซ่าหมิงยวนถือขิงป่ากำหนึ่งอยู่ในมือ แลมองเด็กสาวเผยรอยยิ้มบางๆ อย่างสงบเยือกเย็นแล้วชักเริ่มร้อนตัวไปในชั่วขณะ
ไม่รู้ว่าอีกประเดี๋ยวพอบอกกับคุณหนูหลีอย่างตรงไปตรงมาแล้ว นางจะไล่ตะเพิดเขาออกไปหรือไม่