หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 140
“ขอถามเหตุผลสักหน่อยได้หรือไม่” เฉียวเจาถือไม้เขี่ยไฟไว้พลางไต่ถาม
เหตุผล? เขาทำเพื่อให้ข้าได้เป็นวีรบุรุษช่วยสาวงาม…
เซ่าหมิงยวนอาจเป็นคนตรงไปตรงมา แต่ไม่เบาปัญญา เหตุผลเช่นนี้ถึงตีให้ตายเขาก็ไม่มีวันพูดแน่นอน “ผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าคนนั้น…สมองไม่ค่อยปกติ”
สีหน้าของเฉียวเจาบูดบึ้งมากยิ่งขึ้น
แต่สมองของนางปกติดี นางจะเชื่อเหตุผลพรรค์นี้หรือ
เฉียวเจาวางไม้เขี่ยฟืนลง ยกชามโจ๊กขึ้นกินทีละคำเล็กๆ ไม่พูดไม่จาอีก
ในใจเซ่าหมิงยวนตึงเครียดขึ้นทันใด
จากประสบการณ์สอดแนมข้าศึกมานานปี คุณหนูหลีน่าจะโมโหแล้ว
แม่ทัพหนุ่มผู้มิเคยวิสาสะกับอิสตรีไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดีในพริบตา เขาถือชามโจ๊กก้มหน้าก้มตากินเงียบๆ
เฉียวเจาชายตามองเขาแวบหนึ่งอย่างคับอกคับใจ
ผู้ใต้บังคับบัญชาของคนผู้นี้ทำรถม้าของนางพัง เขาไม่บอกต้นสายปลายเหตุให้รู้สักอย่าง ยังจะกินโจ๊กอีกหรือนี่
เฉียวเจาวางชามโจ๊กบนเตาไฟแล้วมองเซ่าหมิงยวนตรงๆ เอ่ยเสียงเรียบ “แม่ทัพเซ่า”
เขาเงยหน้าขึ้น
“ข้าจำได้ว่าท่านเคยพูดว่าไปที่วัดต้าฝูตามลำพัง แล้วมีผู้ใต้บังคับบัญชาปรากฏตัวขึ้นอีกได้อย่างไร”
เซ่าหมิงยวนถือชามโจ๊กพลางลอบถอนใจ คุณหนูหลีคิดอ่านได้ละเอียดรอบคอบ หากอยู่ในค่ายทหารของเขาล่ะก็ ต้องเป็นคนเก่งที่หาได้เพียงหนึ่งในพันเลยทีเดียว จนใจที่นางเป็นสตรี น่าเสียดายนัก
เขาตัดสินใจเปิดเผยความจริงส่วนหนึ่ง “คุณหนูหลี อันที่จริงเรื่องเป็นเช่นนี้ ท่านหมอเทวดาต้องไปจากเมืองหลวง ด้วยเหตุนี้เลยไหว้วานข้าให้ดูแลท่าน ข้าจึงสั่งให้องครักษ์คนหนึ่งคอยเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของท่าน เอ่อ…เขาเห็นว่าถ้าทำรถม้าของท่านพัง สร้างเรื่องว่าสารถีบกพร่องในหน้าที่ ไม่แน่ว่าจะมีโอกาสแฝงกายเข้าไปเป็นสารถีของจวนสกุลหลีเพื่อจะได้คุ้มครองท่านได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นถึงได้ทำเรื่องโฉดเขลาพรรค์นี้อย่างขาดสติ”
ใบหน้าหล่อเหลาของแม่ทัพหนุ่มแดงเรื่อๆ “เขาโง่เขลาถึงเพียงนี้ ข้าเองก็รู้สึกเหลือเชื่อและละอายแก่ใจยิ่งนัก หวังว่าคุณหนูหลีจะให้อภัยด้วย”
“…” เฉียวเจาถึงกับจนวาจาจะกล่าวตอบ
นางนิ่งเงียบไปนานครู่ใหญ่ถึงปริปากพูด “ที่แท้เป็นอย่างนี้ ขอบคุณแม่ทัพเซ่าที่คอยดูแลข้าเจ้าค่ะ”
เมื่อรู้ว่าเขาไม่ได้ดีต่อหญิงสาวผู้หนึ่งเช่นนี้ตามชอบใจ ถึงที่สุดแล้วในใจนางก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
“เป็นเรื่องสมควรแล้ว ในเมื่อข้ารับปากรับคำท่านหมอเทวดาไว้ก็พึงทำตามที่ได้รับไหว้วานสุดความสามารถ เพียงคิดไม่ถึงว่าทำด้วยเจตนาดีกลับกลายเป็นเรื่องร้าย เป็นเหตุให้คุณหนูหลีต้องมาลำบากเดือดร้อนเสียแล้ว”
เซ่าหมิงยวนส่งยิ้มให้นางอย่างขอลุแก่โทษ “คุณหนูหลี ข้าขออภัยอย่างมาก”
“แม่ทัพเซ่าไม่จำเป็นต้องตำหนิตนเองถึงเพียงนี้ แล้วผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านคนนั้น…”
“ข้าให้เจ้าบัดซบผู้นั้นกลับไปเอารถม้ามารับคุณหนูหลี รอเมื่อส่งท่านกลับไปอย่างปลอดภัยแล้วจะลงโทษอย่างไรก็สุดแท้แต่ท่าน”
เฉียวเจาคลายยิ้ม “ที่ให้ข้าเป็นผู้ตัดสินโทษ หมายถึงตัวแม่ทัพเซ่าหรือว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านคนนั้นเจ้าคะ”
เซ่าหมิงยวนนิ่งขึงไป คุณหนูหลีถามคำถามนี้ได้อย่างมีชั้นเชิงเหลือหลาย หากเป็นการเจรจากับทัพข้าศึกต้องไม่มีทางเสียเปรียบ “เป็นเพราะข้าไม่เข้มงวดกวดขันเอง คุณหนูหลีประสงค์สิ่งใดล้วนเอ่ยปากบอกข้าได้ทั้งนั้น หากข้ามีความสามารถทำได้จะไม่ปฏิเสธเด็ดขาด”
นัยน์ตากลมโตสุกใสของเฉียวเจาโค้งขึ้น นางหัวเราะเบาๆ “คำกล่าวนี้ของแม่ทัพเซ่า ผูกมัดตนเองเกินไปแล้ว”
เซ่าหมิงยวนมองนางอย่างไม่เข้าใจความหมาย
“ถ้าข้าจะให้ท่านแม่ทัพตบแต่งข้าเป็นภรรยา ท่านก็จะตอบตกลงหรือ”
ขืนกล้าตอบตกลง ข้าจะฟาดท่านด้วยไม้เขี่ยไฟทันที!
“แค่กๆๆๆ…” เซ่าหมิงยวนเบือนหน้าไปอีกทางแล้วไออย่างรุนแรง จนกระทั่งหยุดไอได้แล้ว เขารู้สึกระคายคอพร้อมกับรับรู้ถึงรสคาวของโลหิตจางๆ
เขาเช็ดมุมปากก่อนจะหันหน้ากลับมามองเฉียวเจา กล่าวอย่างกระอักกระอ่วนใจ “คุณหนูหลีพูดล้อเล่นแล้ว”
คุณหนูหลีไม่คล้ายคนที่จะเข้าใจผิดอะไรง่ายๆ ด้วยเหตุนี้เองเขาไม่เคยคิดไปถึงเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง
“ฉะนั้นวันหน้าแม่ทัพเซ่าอย่าได้กล่าววาจาที่เป็นการผูกมัดตนเองเกินไป โดยเฉพาะกับพวกสตรี”
เซ่าหมิงยวนนิ่งคิดแล้วพยักหน้ากับเฉียวเจาอย่างจริงจัง “คุณหนูหลีพูดได้ถูกต้อง”
เฉียวเจาคลี่ยิ้ม “เช่นนั้นก็ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านคนนั้นมาเป็นสารถีของข้าเถอะ ถือเป็นบทลงโทษของเขา”
รถม้าพลิกคว่ำ สารถีสูงวัยของจวนตะวันตกคนนั้นวิ่งไล่ตามม้าแล้วหายไปไม่เห็นวี่แวว แสดงว่าพึ่งพาอาศัยไม่ได้ปานใด ต่อให้องครักษ์ของเซ่าหมิงยวนจะสมองไม่ค่อยปกติ แต่ดูทีว่าวิชายุทธ์คงไม่เลวเลย
ทั้งที่เป็นเรื่องไม่ถนัดแต่กลับอวดเก่งนั้นมิใช่วิสัยของเฉียวเจา ปิงลวี่เพิ่งเริ่มฝึกยุทธ์ ย่อมใช้ประโยชน์ไม่ได้ในชั่วประเดี๋ยวประด๋าว แต่หลังจากนี้นางต้องออกจากเรือนบ่อยๆ มีสารถีชั้นดีเช่นนี้เป็นผู้ติดตาม เรื่องอะไรจะไม่ทำเล่า
เซ่าหมิงยวนคิดไม่ถึงว่าเฉียวเจาจะเอ่ยขอเรื่องนี้ เขารับคำทันที
เมื่อวันหน้าเฉินกวงสามารถคุ้มครองคุณหนูหลีได้อย่างเปิดเผย เขาก็วางใจได้แล้ว แน่นอนว่ากลับไปยังต้องกำชับกำชาเจ้าบัดซบผู้นั้นสักหน่อยว่าอย่าทำเรื่องโฉดเขลาอีก
ภายในห้องครัวโกโรโกโสตกอยู่ในความเงียบไปทันใด เซ่าหมิงยวนได้ยินเสียงหายใจแผ่วเบาอย่างรวดเร็ว
เขาหันไปมองก็เห็นเด็กสาวฟุบหน้ากับหัวเข่าหลับไปแล้ว
เสียงลมหายใจของนางเบามาก ผิวหน้ายังขาวเผือดทว่าใสแวววาวราวกับหิมะบนยอดเขาสูงที่พอดวงอาทิตย์ขึ้นก็ละลายทันที
เซ่าหมิงยวนละล้าละลังครู่หนึ่งแล้วลุกขึ้นเดินออกนอกห้อง
“แม่ทัพเซ่า ท่านกินโจ๊กหมดแล้วหรือ คุณหนูของข้าล่ะเจ้าคะ”
“นางหลับไปแล้ว เจ้าไปดูแลเถอะ”
“เจ้าค่ะ” ปิงลวี่หมุนกายเข้าไป
เซ่าหมิงยวนมองนายพรานสองคนที่ยังสลบอยู่แวบหนึ่ง จากนั้นย่างเท้าออกไปข้างนอก
ไม่รู้ว่าฝนซาตั้งแต่เมื่อไร หมู่พฤกษาพรรณซึ่งได้รับน้ำฝนดูเขียวชอุ่มยิ่งขึ้น กลิ่นไอดินชื้นๆ หอมสดชื่นลอยมาแตะปลายจมูก
ชายหนุ่มยืนทอดสายตามองไปไกลๆ อยู่ตรงนั้นจนกระทั่งผ่านไปนานเท่าใดก็สุดรู้ จู่ๆ เขาก็หันหลังกลับเข้าไปในห้องครัว
ปิงลวี่นั่งยองๆ อยู่ข้างกายเฉียวเจาตลอดเพื่อประคองผู้เป็นนายที่นอนหลับไปไว้ไม่ให้ล้มลงไปบนพื้น นางได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้น “ปลุกคุณหนูหลีตื่นเถอะ พวกเราไปได้แล้ว”
ปิงลวี่ได้ยินแล้วยินดียกใหญ่ นางหมุนกายไปร้องเรียกเสียงแผ่วเบา “คุณหนู ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อไม่มีเสียงตอบใดๆ นางยื่นมือไปเขย่าตัวเฉียวเจาเบาๆ “ตื่นสิเจ้าคะ คุณหนู…”
ยังคงไม่มีเสียงตอบ ปิงลวี่ชักหน้าเสีย แต่มีฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งยื่นมาอังหน้าผากของเฉียวเจา
“แม่ทัพเซ่า?” ปิงลวี่เบิกตากว้างอย่างแตกตื่นอยู่บ้าง
เซ่าหมิงยวนเม้มปากแน่น บอกเสียงเครียด “คุณหนูหลีเป็นไข้แล้ว”
เขาก้มตัวลงอุ้มนางขึ้นแล้วสาวเท้าก้าวใหญ่เดินไปด้านนอก เดินไปพลางลอบทอดถอนใจพลาง
เฉินกวงเจ้าคนบัดซบนั่นเป็นตัวการทำให้คุณหนูหลีเคราะห์ร้ายครั้งใหญ่จริงๆ แน่นอนเขาในฐานะเจ้านายของเฉินกวง ย่อมเป็นคนแรกที่ปัดความรับผิดชอบไม่ได้
ยามปิงลวี่ตามเซ่าหมิงยวนออกไปอย่างสับสนวุ่นวายใจ นางก็เห็นรถม้าม่านสีเขียวคันหนึ่งจอดอยู่ข้างถนน มีคนสามคนเดินตะเกียกตะกายขึ้นมายังทิศทางที่พวกนางอยู่
“แม่ทัพเซ่า มีรถม้า มีคนด้วยเจ้าค่ะ”
“ใช่ พวกเขามารับพวกเรา” ชายหนุ่มอุ้มเฉียวเจาเร่งฝีเท้าลงไปหาคนที่มาถึง
“ท่านแม่ทัพ ข้ามาช้าไปแล้วขอรับ” เฉินกวงแสดงคำนับอย่างกระหืดกระหอบ
สองคนด้านหลังเขาพูดประสานเสียงกัน “คารวะท่านแม่ทัพ”
เซ่าหมิงยวนผงกศีรษะเล็กน้อยแล้วเดินสวนไหล่ไปพร้อมกับพูดสั่งเสียงห้วน “เฉินกวงมาขับรถม้า ส่วนพวกเจ้าเอาตัวเจ้าสองคนที่ถูกมัดอยู่ในกระท่อมไปที่ค่ายทหารแล้วฝึกฝนพวกเขาให้หนักๆ พออบรมสั่งสอนเรียบร้อยแล้วส่งตัวไปฆ่าพวกต๋าจื่อที่แดนเหนือ อย่าลืมบอกพวกเขาด้วยว่าถ้ากล้านำเรื่องในวันนี้ไปพูดจาส่งเดช จะโดนตัดลิ้นออกมาแกล้มสุรา!”
“น้อมรับคำสั่งขอรับ”
เขาอุ้มเฉียวเจาแล้วเดินไปที่รถม้า สังเกตเห็นชายชราในสภาพมอมแมมทั้งตัวยืนอยู่ด้านข้างแล้วอดมองปราดไปที่เฉินกวงไม่ได้