หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 141
เฉินกวงรีบกล่าวอธิบาย “ข้าได้พบกับท่านลุงผู้นี้ระหว่างทางเข้าเมือง เขาจูงม้าแก่ๆ ตัวหนึ่งร้องไห้อยู่กลางฝน ข้าเข้าไปถามไถ่ เขาเล่าว่ารถม้าพลิกคว่ำเลยไปไล่ตามม้า ผลปรากฏว่าตามม้ามาได้แล้วกลับหารถม้าของพวกเขาไม่เจอ ข้าตรึกตรองดูแล้ว นี่มิใช่หมายถึงคุณหนูหลีหรอกหรือ พอซักถามดูก็ไม่ผิดจากที่คาด ข้าจึงพาเขามาด้วยกันขอรับ”
สารถีสูงวัยทำสีหน้าละอายใจ เขาปาดน้ำตาพลางเอ่ยถามปิงลวี่ “คุณหนูสามเป็นอย่างไรบ้าง”
ปิงลวี่ถลึงตาใส่สารถีสูงวัย กล่าวเสียงขุ่นว่า “เหล่าเฉียน ท่านยังมีหน้ามาถามอีก ทิ้งคุณหนูไปไล่ตามม้าได้อย่างไรกัน ถ้ามิใช่ได้พบท่านแม่ทัพเซ่า คุณหนูต้องแย่แน่ๆ”
อืม…ดูเหมือนตอนนี้ก็ย่ำแย่มาก แต่หากไม่ได้แม่ทัพเซ่าสานหมวกฟางให้คุณหนู ทั้งยังพามาหลบฝนแล้วต้มโจ๊กให้กินอีก เช่นนั้นคุณหนูต้องย่ำแย่กว่านี้แน่นอน
เหล่าเฉียนร้องไห้ฟูมฟายมากขึ้นอีก “ขะ…ข้าลืมไปชั่ววูบ พอไล่ตามม้าทันแล้วกลับมาอีกที ข้าหาอย่างไรก็หารถม้าของพวกเราไม่เจอแล้ว”
“ท่านช่างเลอะเลือนเสียจริง” ปิงลวี่กระทืบเท้าด้วยความโกรธ
เฉินกวงก้มหน้าลงลอบคิดคำนึงว่า ตาเฒ่าผู้นี้ก่อเรื่องใหญ่กว่าข้าเสียอีก เห็นทีว่าหลังกลับไปแล้วคงไม่ได้เป็นสารถีอีก เฮ้อ…ส่วนข้า ไม่รู้ว่าประเดี๋ยวท่านแม่ทัพจะลงโทษข้าอย่างไร
“ข้าก็ไม่รู้ว่าหมู่นี้เป็นอะไรไป มักลืมโน่นลืมนี่บ่อยๆ บางครั้งเพิ่งกินข้าวไปก็ลืมแล้วยังกินซ้ำอีกรอบ โดนยายเฒ่าของข้าด่าว่าถึงได้รู้ว่ากินไปแล้ว” สารถีเฒ่ารู้เช่นกันว่าวันนี้ก่อความผิดไว้ไม่น้อย เขาแก้ตัวอย่างน่าสงสาร
ปิงลวี่เดาะลิ้นทีหนึ่ง “กินข้าวแล้วกินซ้ำอีกรอบ? ท่านหลงลืมแต่ละครั้งกลับมิได้ทำให้ตนเองต้องกล้ำกลืนฝืนทนเลยนะ”
สาวใช้น้อยทำหน้าตึง เดินตามเซ่าหมิงยวนที่พาเฉียวเจาเข้าไปในรถม้า
ภายในรถม้าสะอาดสะอ้านนั่งสบาย ทำให้รู้สึกคล้ายรอดตายแล้วฉับพลันทันใด
“มีของต่างๆ เช่นอาภรณ์ของพวกเจ้ากับน้ำร้อนเตรียมไว้ให้ ช่วยเช็ดตัวผลัดอาภรณ์ให้คุณหนูหลีก่อนเถอะ ถ้ามีเรื่องใดก็ตะโกนเรียกข้า” เซ่าหมิงยวนสั่งกำชับเสร็จแล้วถอยออกไป
เฉินกวงถือแส้ม้าไว้พลางขอคำสั่ง “ท่านแม่ทัพ ไปได้แล้วใช่หรือไม่ขอรับ”
“เอาแส้ให้ข้า เจ้าลงไปเถอะ”
“เอ๊ะ?” เฉินกวงลงจากรถม้าอย่างฉงนฉงาย
ตกลงกันไว้ว่าให้ข้าเป็นสารถีนี่
“พาท่านลุงผู้นี้ไปรอที่หอชุนเฟิง” ชายหนุ่มกล่าวคำนี้ตบท้ายแล้วหวดแส้ทีหนึ่ง รถม้าก็เริ่มออกแล่นช้าๆ ทิ้งเฉินกวงยืนอ้าปากค้างไว้ที่เดิม
ท่านแม่ทัพถึงกับเป็นสารถีให้คุณหนูหลีด้วยตนเองหรือ!
หลังฝนหยุดตก รถม้าวิ่งแล่นไปตามถนนหลวงได้สะดวกขึ้นมาก เซ่าหมิงยวนเร่งความเร็วเต็มที่ก็ไม่รู้สึกสะเทือนโคลงเคลงแม้แต่น้อย ก่อนฟ้ามืดก็รุดมาถึงหอชุนเฟิงในที่สุด
รถม้าตรงไปเข้าทางประตูหลังจนถึงในลานเรือนจึงหยุดจอด
เซ่าหมิงยวนอุ้มเฉียวเจาเข้าเรือน เขาออกคำสั่งกับองครักษ์ซึ่งเฝ้าอยู่ที่นี่ “รีบไปเชิญท่านหมอเทวดามา”
องครักษ์ออกไปปฏิบัติตามคำสั่ง ส่วนอีกคนหนึ่งกล่าวรายงาน “ท่านแม่ทัพ พวกคุณชายฉือดื่มสุราอยู่ด้านหน้า บอกว่าถ้าท่านกลับมาแล้วเชิญไปที่นั่นขอรับ”
เขายังไม่วางใจอาการของเฉียวเจาเลยกล่าวว่า “ไปบอกพวกเขาว่าข้ากลับมาแล้ว แต่ตอนนี้มีธุระ จะไปที่นั่นช้าสักหน่อย”
“ขอรับ”
เพราะสายฝนเทลงมาอย่างหนัก ด้านหน้าหอชุนเฟิงที่ควรจะคึกคักพลุกพล่านจึงมีรถม้าบางตา บรรยากาศเงียบสงบ
ริมหน้าต่างห้องส่วนตัวชั้นบน จูเยี่ยนกับหยางโฮ่วเฉิงนั่งประจันหน้ากันหมุนคลึงจอกสุราเล่นในมือ ด้านฉือชั่นยืนพิงราวระเบียงข้างนอก แลมองพื้นถนนที่โดนสายฝนชะล้างจนมันปลาบอย่างเหม่อลอย
หยางโฮ่วเฉิงตวัดสายตามองแผ่นหลังของฉือชั่นก่อนดื่มสุราคำหนึ่ง เขาพูดพึมพำว่า “วันนี้สือซีเป็นอะไรไป ทำท่าใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตลอด”
จูเยี่ยนหยักยิ้ม “ใครจะรู้เล่า”
เขานิ่งคิดแล้วพลันกล่าวรำพึงขึ้น “ดูเหมือนวันนี้เป็นวันที่คุณหนูหลีไปที่อารามซูอิ่งกระมัง”
หยางโฮ่วเฉิงนับนิ้วมือแล้วพยักหน้า “ใช่ เป็นวันนี้ คุณหนูหลีเคยบอกว่าจะไปที่นั่นทุกเจ็ดวัน”
เขากล่าวจบก็ตบโต๊ะทีหนึ่ง “แย่จริง ฝนตกไม่ลืมหูลืมตาถึงเพียงนี้ คุณหนูหลีจะไม่เจอฝนพอดีเลยหรือไร”
หยางโฮ่วเฉิงตบโต๊ะจนเกิดเสียงดังไม่น้อย ฉือชั่นเอี้ยวตัวมาพูดด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “ตบโต๊ะอะไรของเจ้า”
“ก็ข้าร้อนใจแทนคุณหนูหลีมิใช่หรือ ฝนหนักอย่างนั้น ทั้งยังตกนานถึงเพียงนี้ถึงเพิ่งหยุดลง พวกเจ้าว่าคุณหนูหลีจะติดฝนอยู่กลางทางหรือไม่ แล้วจะพบกับอันตรายใดหรือไม่”
“หุบปากเสีย!” ฉือชั่นก้าวปราดๆ กลับมาทรุดตัวลงนั่ง ยกจอกสุราขึ้นกระดกดื่มจนเกลี้ยง
หยางโฮ่วเฉิงจ้องสหายรักตาปริบๆ แล้วจู่ๆ ก็เกิดหัวไวขึ้นมา เขากล่าวขึ้น “ข้าเข้าใจแล้ว! สือซี เจ้าทำท่ามีความในใจหนักอึ้งอยู่ตลอด ที่แท้เป็นห่วงคุณหนูหลีนั่นเอง”
ฉือชั่นฟังแล้วหน้าบึ้งมากขึ้น เขามองหยางโฮ่วเฉิงด้วยหางตาปราดหนึ่ง “พูดเหลวไหล! ข้าจะเป็นห่วงนางด้วยเหตุใด ข้ารำคาญที่เจ้าพูดมากหนวกหูจนดื่มสุราไม่ได้รสชาติต่างหาก” ว่าแล้วเขาก็รินสุราให้ตนเองจอกหนึ่งดื่มรวดเดียวหมด
หยางโฮ่วเฉิงเบะปาก “เป็นห่วงคุณหนูหลีก็บอกตรงๆ เถอะ ทำปากแข็งอยู่ได้ ข้าน่ะเพิ่งนึกขึ้นได้ตอนนี้ ไม่เช่นนั้นคงเป็นห่วงอยู่ตลอดดุจเดียวกัน นางยังเป็นเด็กสาวน้อยๆ ท่าทางบอบบางอ่อนแอ เกิดโดนลมพัดปลิวไปจะทำฉันใด ไม่ได้ ข้าจะไปตามหาระหว่างทางดู”
ฉือชั่นกำจอกสุราแน่นจนข้อกระดูกนิ้วขาวซีดจางๆ
จูเยี่ยนรีบรั้งตัวสหายรักที่บทจะไปก็ไปไว้ “หยางเอ้อร์ เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าวันนี้ยังมีอีกคนไปที่วัดต้าฝู”
“ยังมีอีกคน?” หยางโฮ่วเฉิงนิ่งขึงไป
“ถิงเฉวียน?” ฉือชั่นคิดตามทันแล้ว
“ใช่ ถิงเฉวียนใจกว้างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ หากเกิดอะไรขึ้นกับคุณหนูหลีจริงๆ เขาพบเจอเข้าก็ต้องให้ความช่วยเหลือแน่ ดังนั้นพวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว”
หยางโฮ่วเฉิงนั่งลง ระบายลมหายใจเฮือก “ได้อย่างนั้นก็ดี”
ฉือชั่นคลายนิ้วมือออก วางจอกสุราลงด้านข้าง กล่าวเสียงเย็นๆ “ใครเป็นห่วงกัน มีแต่หยางเอ้อร์ที่ใจดีพร่ำเพรื่อ ไม่รู้ว่าโดนหลีซานวางยาเสน่ห์อะไร”
สองสหายรักมองเขาเป็นตาเดียวกัน
“มองข้าด้วยเหตุใด”
จูเยี่ยนหัวเราะ “ฮ่าๆ”
ฝ่ายหยางโฮ่วเฉิงเบ้ปากทันที “เอาล่ะๆ มีข้าคนเดียวที่เป็นห่วง คุณชายฉือของพวกเราไม่เป็นห่วงหรอก แค่ยืนตากลมเย็นอยู่ข้างนอกครึ่งค่อนวันเท่านั้น พวกข้าต่างรู้ว่าเจ้าไม่เป็นห่วง”
ฉือชั่น “…” เจ้าสองคนนี้หมายความว่าอะไร ก็ข้าไม่ได้เป็นห่วงเลย! ไม่เป็นห่วงจริงๆ!
“คุณชายทั้งสามท่าน ท่านแม่ทัพกลับมาแล้วขอรับ”
“เขาอยู่ที่ใด ตรงไปเข้าทางประตูหลังรึ” ฉือชั่นเอ่ยถาม
“ขอรับ ท่านแม่ทัพตรงไปที่เรือนหลังเลย เชิญท่านทั้งสามรอสักครู่ ท่านแม่ทัพจะมาที่นี่ช้าสักหน่อย”
“กลับมาเวลานี้แล้วยังมีเรื่องอะไรอีกหรือ” หยางโฮ่วเฉิงถามอย่างสงสัย
“ท่านแม่ทัพบอกว่ามีธุระขอรับ”
พวกฉือชั่นมองหน้ากันไปมา
“คงไม่ใช่ว่าไปจุดประทีปที่วัดมาแล้วจิตใจหดหู่ แอบหลบมุมร้องไห้อยู่กระมัง” หยางโฮ่วเฉิงกล่าวคาดเดา
การคาดเดาที่ไม่เข้าท่านี้ทำให้คุณชายฉือกลอกตาขึ้น ฉือชั่นวางจอกสุราแล้วลุกขึ้น “ไปดูกันเถอะ”
มิใช่ว่าอาจได้พบกับแม่นางน้อยผู้นั้นหรือ พอกลับมาก็หลบอยู่ที่เรือนหลังคนเดียวหมายความว่าอะไร
ด้วยรู้ว่าสามคนนี้เป็นสหายรักของท่านแม่ทัพ อีกทั้งท่านแม่ทัพมิได้สั่งกำชับอย่างอื่น องครักษ์จึงก้าวขาเดินตามไปโดยไม่ได้ขัดขวาง
ฉือชั่นเห็นเซ่าหมิงยวนแต่ไกล เขายืนอยู่ใต้ชายคาระเบียงเหม่อมองดอกกุหลาบข้างกำแพงเงียบๆ ส่วนอาภรณ์บนกายนั้นแทบจำสภาพเดิมมิได้แล้ว
“ถิงเฉวียน” เขาเรียกขานเสียงหนึ่ง