หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 142
เซ่าหมิงยวนเอี้ยวคอมองมา มุมปากมีรอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้น “พวกเจ้ามาได้อย่างไรกัน”
ฉือชั่นเดินก้าวยาวๆ เข้าไปหา มองสำรวจอีกฝ่ายขึ้นๆ ลงๆ ก่อนถาม “นี่เจ้าไปคลุกโคลนมารึ”
เซ่าหมิงยวนทำหน้ายิ้มๆ “ทำนองนั้นกระมัง”
พวกจูเยี่ยนก็เดินเข้ามาบ้าง
หยางโฮ่วเฉิงมองไปรอบๆ แล้วถามอย่างฉงนใจ “ไหนบอกว่ามีธุระมิใช่หรือ ยืนชมดอกไม้ตรงนี้?”
“อ้อ ไม่ใช่ ข้าพบคุณหนูหลีระหว่างทางกลับจากวัดต้าฝู รถม้าของนางพลิกคว่ำ…”
เขาพูดไม่ทันจบ ฉือชั่นก็หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย กล่าวแทรกขึ้นทันทีว่า “นางอยู่ที่ใด”
เซ่าหมิงยวนมองเขาอย่างหลากใจก่อนเอ่ยตอบ “อยู่ในห้อง สาวใช้ของนางดูแลอยู่ ข้าสั่งให้คนไปเชิญหมอเทวดาแล้ว”
พอได้ยินว่าเชิญหมอเทวดา สีหน้าของฉือชั่นกลับเป็นปกติดังเก่า เห็นอีกสามคนจ้องมองตนอยู่ เขาทำหน้าตึงกล่าวว่า “ข้านึกไว้แล้วเชียว แม่นางน้อยผู้นั้นไม่เจียมเนื้อเจียมตัวเลยสักนิด ช้าเร็วก็ต้องเคราะห์ร้ายกระมัง ฮ่าๆ”
จูเยี่ยนกับหยางโฮ่วเฉิงปรายตามองเขาพร้อมกัน
“พวกเจ้าสองคนทำสายตาเช่นนี้หมายความว่าอะไร” คุณชายฉือหาทางลงไม่ได้อยู่บ้าง เขากระแอมกระไอทีหนึ่งแล้วพูด “ข้าจะไปดูว่านางเคราะห์ร้ายถึงเพียงใดกันแน่”
เขาสะบัดแขนออกเดินไป ทิ้งเซ่าหมิงยวนซึ่งรู้สึกแปลกๆ ชอบกลไว้ที่เดิม จึงส่งสายตาเป็นเชิงถามไปทางจูเยี่ยนกับหยางโฮ่วเฉิงสองคน
จูเยี่ยนหยักยิ้มอย่างนุ่มนวล “ถิงเฉวียน เจ้าก็รู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานิสัยของสือซีล้วนเป็นเช่นนี้เสมอ”
ปากไม่ตรงกับใจหรือ
เมื่อคิดถึงสีหน้าท่าทางและคำพูดของสหายรักก่อนผละไป เซ่าหมิงยวนทำท่าครุ่นคิด
“นั่นน่ะสิ เขาเป็นห่วงคุณหนูหลีมากแท้ๆ ยังจะทำปากแข็งไม่ยอมรับ” หยางโฮ่วเฉิงพูดผสมโรง
เซ่าหมิงยวนคลายยิ้ม “ข้าจำได้ว่าแต่ก่อนสือซีเห็นสตรีก็วิ่งหนี ไม่คิดว่าตอนนี้จะไม่เหมือนเดิมแล้ว”
“ไม่เหมือนเดิมอะไรกัน” หยางโฮ่วเฉิงเบะปาก “เขาพบเจอสตรีทีไรก็ยังเชิดหน้าวางปึ่งทุกทีมิใช่หรือ เป็นต้นเหตุให้ข้ากับจื่อเจ๋ออยากชวนหญิงสาวโฉมงามสนทนาก็ทำไม่ได้ เขาเป็นเช่นนี้เฉพาะกับคุณหนูหลี…”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ หยางโฮ่วเฉิงขยิบตากับสหายรักสองคน พูดเสียงค่อยๆ ว่า “สือซีคงมิใช่ตาสว่างแล้วกระมัง หรือเขาอยากตบแต่งภรรยา”
เซ่าหมิงยวนอึ้งงันไป อดหันไปมองหน้าประตูห้องไม่ได้ ที่แท้สือซีชมชอบคุณหนูหลีนั่นเอง
ชั่วพริบตาที่ได้ข้อสรุปนี้ ชายหนุ่มแย้มปากยิ้มแล้ว
คุณหนูหลีเป็นสตรีที่ดีมาก สือซีจะมีจิตปฏิพัทธ์ต่อนางก็มิใช่เรื่องแปลก
เขาดึงสายตากลับไปมองกอดอกกุหลาบตรงข้างกำแพง
หลังฝนตกหนักผ่านไป กลีบดอกกุหลาบมากมายหล่นร่วงลงเกลื่อนพื้น กระนั้นส่วนที่ยังอยู่ตามปลายยอดกิ่งกลับยิ่งดูสวยสดงดงามลานตามากขึ้น ใบของมันซึ่งถูกชะล้างด้วยน้ำฝนก็เป็นสีเขียวสดใสเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา
เขามองไปทางจูเยี่ยนที่อมยิ้มอย่างอารมณ์ดีกับหยางโฮ่วเฉิงที่ทำหน้าสอดรู้สอดเห็นพลางคิดคำนึงในใจ ความจริงสหายรักล้วนถึงวัยตบแต่งภรรยาและมีบุตรแล้ว เช่นนี้ช่างดีเหลือเกิน
“ถิงเฉวียน เจ้าคิดอะไรอยู่หรือ”
แสงแดดหลังฝนซาซึ่งอ่อนโยนดุจสายน้ำสาดเฉียงๆ มากระทบใบหน้าขาวเกลี้ยงของเซ่าหมิงยวน เขาพูดพร้อมกับอมยิ้มมุมปาก “ข้ากำลังคิดว่าวันนั้นไม่รู้เป็นใครที่ดื่มสุราแล้วพูดสะอึกสะอื้นว่าไม่อยากตบแต่งภรรยากันนะ ไฉนวันนี้ยังจะโทษว่าสือซีเป็นตัวถ่วงทำให้เจ้าไม่อาจเข้าไปพูดคุยทำความรู้จักกับหญิงสาวได้เล่า”
หยางโฮ่วเฉิงหน้าแดงก่ำ เงื้อหมัดชกเขาทีหนึ่ง “ใครแฉโพยสหายกันเยี่ยงนี้บ้าง!”
เซ่าหมิงยวนกับจูเยี่ยนพากันหัวเราะออกมา
“ถิงเฉวียน เจ้าจะไม่ไปผลัดอาภรณ์สักหน่อยหรือ” จูเยี่ยนถามไถ่ยิ้มๆ
“รอท่านหมอเทวดามาถึง ข้าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขารู้แล้วค่อยไปเปลี่ยนชุด”
“คุณหนูหลีได้รับบาดเจ็บหรือ” จูเยี่ยนชี้ชายเสื้อที่ถูกฉีกขาดของเซ่าหมิงยวน
นั่นเหมือนกับฉีกออกไปใช้พันแผล
“น่าจะไม่มี” ปากเขากล่าวตอบไปเช่นนี้ หากในใจนึกสงสัยตงิดๆ
สตรีผู้นั้นเข้มแข็งเกินไป ถ้าบนตัวนางจะมีบาดแผลตรงที่ใด เขาก็สุดปัญญาจะรู้ได้
“คุณหนูหลีตากฝนเลยจับไข้”
“วันนี้ฝนตกแรงเหลือเกิน ซ้ำยังเทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก คุณหนูหลีโชคไม่ดีเอาเสียเลย” หยางโฮ่วเฉิงพูดอย่างสะท้อนใจ
“ใช่ โชคไม่ดี” เซ่าหมิงยวนกล่าวเสียงเรียบ ทว่าลอบตำหนิตนเองอยู่บ้าง
“ท่านหมอเทวดามาแล้ว” จูเยี่ยนทอดสายตามองไปไกลๆ แล้วบอกขึ้น
ทั้งสามย่างเท้าออกไปต้อนรับ
หมอเทวดาหลี่ปั้นหน้าบึ้งเอ่ยถามเซ่าหมิงยวน “แม่หนูเจาตากฝนได้เช่นไร”
เจ้าหนุ่มตัวเหม็นดูแลประสาใดกัน สมดังคำกล่าวว่าปากไร้หนวด ทำการใดไว้วางใจมิได้*!
“ข้าดูแลหละหลวมเองขอรับ ท่านหมอเทวดาไปตรวจอาการคุณหนูหลีก่อนค่อยว่ากันอีกทีเถอะขอรับ”
หมอเทวดาหลี่แค่นเสียงฮึ “ยังไม่นำทางอีก”
ทั้งสามเดินห้อมล้อมติดตามหมอเทวดาหลี่ไปยังห้องที่จัดให้เฉียวเจา
ฉือชั่นซึ่งมาที่นี่ก่อนก้าวหนึ่งยืนอยู่นอกประตูครู่ใหญ่
ประตูเปิดแง้มไว้ มองเห็นสาวใช้น้อยนามปิงลวี่คนนั้นวิ่งวุ่นไปมาได้ ประเดี๋ยวหยิบผ้านุ่มๆ เช็ดหน้าคนที่อยู่บนเตียง ประเดี๋ยวยื่นมืออังหน้าผากนาง ประเดี๋ยวย่ำเท้าวนไปมาในห้องพลางพึมพำกับตนเอง
คนบนเตียงหลับตาอยู่ เรือนผมแผ่สยายละม้ายสาหร่ายทะเล ดวงหน้าเล็กเท่าฝ่ามือเผือดขาวจนเกือบจะโปร่งแสง กระทั่งริมฝีปากก็ซีดจนไร้สีสัน มีเพียงไฝเม็ดเล็กเท่าปลายเข็มตรงหว่างคิ้วที่ยังแดงเข้มดุจเก่า แต่กลับทำให้ดูน่ารักน่าสงสารมากขึ้น
ฉือชั่นยืนมองอยู่ตรงนั้นเงียบๆ เขารำพึงในใจ ที่แท้แม่นางน้อยผู้นี้ยังอ่อนเยาว์เพียงนี้ เพราะเหตุใดนางมักทำให้ข้ารู้สึกเหมือนเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกันนะ
เด็กสาววัยเท่านี้ ข้า…เป็นอะไรไปกันแน่
ฉือชั่นพลันบังเกิดความละอายใจอยู่หลายส่วนที่ตนเองมีอาการร้อนรนอย่างประหลาดในชั่วพริบตาที่ได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเฉียวเจา
สำหรับคุณชายฉือแล้ว ความรู้สึกเฉกนี้แทบมิเคยเกิดขึ้นมาก่อน ส่งผลให้เขาสับสนระคนแตกตื่น แต่ที่มากกว่านั้นคืองุนงง และด้วยเหตุนี้เองเขาถึงละล้าละลังไม่กล้าเดินเข้าไป
ปิงลวี่บิดผ้าหมาดๆ วางประคบบนหน้าผากเฉียวเจา จากนั้นเดินถืออ่างน้ำไปที่หน้าประตูพลางบ่นอุบอิบ “ไฉนท่านหมอเทวดายังไม่มาอีกนะ ดูเหมือนคุณหนูจะตัวร้อนมากขึ้นทุกที”
นางมัวแต่ห่วงพะวงถึงอาการของเฉียวเจา ใช้มือหนึ่งดึงประตูเปิดออกแล้วสาดน้ำออกไปเลย พอเห็นคนบางคนที่ยืนอยู่หน้าประตูกลายเป็นลูกนกตกน้ำในพริบตาก็อ้าปากค้าง “คะ…คุณชายฉือ?”
หลังจากตะลึงงันไปอึดใจหนึ่ง สาวใช้น้อยรีบเอาอ่างน้ำวางแอบไว้ด้านข้างทันที นางกล่าวด้วยรอยยิ้มฝืดๆ “คุณชายฉือก็โดนฝนเหมือนกันหรือเจ้าคะ”
ฉือชั่นที่ตั้งสติได้แล้ว “…” อย่าห้ามข้า ข้าจะฆ่าสาวใช้น้อยผู้นี้ทิ้งเสีย!
ขณะที่คุณชายฉือตั้งท่าจะอาละวาด เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นเบื้องหลัง “สือซี นี่เจ้าเป็นอะไรไป”
ฉือชั่นหมุนกายขวับ กระชากคอเสื้อของหยางโฮ่วเฉิงแล้วดันตัวเขาไปติดกับเสาระเบียง พูดด้วยสีหน้าดุร้าย “หยางเอ้อร์ ขืนเจ้ากล้าพูดมากอีกคำเดียวล่ะก็ได้เห็นดีกัน”
หยางโฮ่วเฉิงนิ่งเงียบครู่หนึ่ง สุดท้ายก็รู้สึกว่าถ้อยคำนี้ข่มขวัญตนไม่ได้ เขาพูดตามความจริง “แต่เจ้าสู้ข้าไม่ได้สักหน่อย”
คุณชายฉือโดนจี้จุดอ่อน เส้นเลือดตรงขมับเขาปูดโปน ใบหน้าหล่อเหลาถมึงทึงด้วยความโมโหโทโส
จูเยี่ยนตบไหล่เขาเบาๆ “สือซี ข้าว่าเจ้าไปผลัดอาภรณ์พร้อมกับถิงเฉวียนดีกว่านะ”
“สือซี ไปเถอะ” เซ่าหมิงยวนแย้มปากยิ้มพร้อมพูดชักชวน เขากวาดสายตาไปข้างในห้องแวบหนึ่งโดยไม่รู้ตัว หยุดเว้นจังหวะเล็กน้อยก่อนเอ่ยต่อ “ประเดี๋ยวคุณหนูหลีฟื้นขึ้นมา นางเห็นเข้าจะไม่ใคร่ดี”
“นางเห็นแล้วจะดีหรือไม่ดีก็ช่างปะไรสิ” ฉือชั่นตอบคำหนึ่งอย่างโกรธเคืองกลบเกลื่อนความอับอาย แล้วกล่าวเอื่อยๆ “ไปเถอะ สวมเสื้อผ้าเปียกๆ แล้วอึดอัด ไม่เข้าใจจริงๆ เลยว่าเจ้าจะทนได้อย่างไร”
เซ่าหมิงยวนยิ้มสบายๆ “แค่นี้จะมีอะไร”
ตอนซุ่มโจมตีพวกต๋าจื่อที่แดนเหนือ ครั้งที่ยากลำบากที่สุดเขาเคยแทะเปลือกไม้กินด้วยซ้ำไป ขอเพียงมีชีวิตอยู่เพื่อขับไล่คนชั่วช้าเลวทรามพวกนั้นไปให้ไกลๆ ได้ จะมีอะไรที่ทนไม่ไหวเล่า
* ปากไร้หนวด ทำการใดไว้วางใจมิได้ เป็นสำนวน หมายถึงคนอายุน้อยที่ไร้ประสบการณ์ ทำเรื่องอะไรก็เชื่อถือไม่ได้