หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 146
ชั่วพริบตานั้น ประหนึ่งคลื่นคลั่งถั่งโถมเข้ากลางอกเซ่าหมิงยวน
กระนั้นเขายังยืนตัวตรงอกผายไหล่ผึ่งดุจเดิม นัยน์ตาสีดำนิ่งสนิทจนอ่านอารมณ์ที่กำลังปั่นป่วนพลุ่งพล่านไม่ออกคู่นั้นกลับตรึงติดอยู่ที่ร่างเฉียวเจาโดยไม่ละสายตาอย่างลืมตัว
ข้างหูเป็นเสียงถามของเฉียวโม่ ‘เซ่าหมิงยวน เจ้ารู้ชื่อก่อนออกเรือนของน้องสาวข้าหรือไม่’
จากนั้น เฉียวโม่กล่าวต่อว่า ‘เจ้าจงจำเอาไว้ นางมีชื่อคำเดียวว่า ‘เจา’ แปลว่าแจ่มแจ้ง ดังในคำกล่าวว่า นักปราชญ์พึงรู้เองให้แจ่มแจ้ง จึ่งสอนผู้อื่นให้รู้แจ่มแจ้ง’
ตั้งแต่ตอนนั้น ชื่อนี้ก็สลักลงกลางใจเขา
ไม่ลืมเลือนชั่วชีวิต
เด็กสาวอมยิ้มมองมาด้วยแววตาเรียบเฉย
เสียงฉือชั่นกล่าวขึ้นลอยๆ “เป็นอักษร ‘เจา’ ตัวนี้นะเอง” หลีเจา…นับว่าไพเราะดีนี่
“แม่ทัพเซ่า วันนี้ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ ข้าอยากกลับไปโดยไว เกรงว่าคนในเรือนคงเป็นห่วงแล้ว”
“อ้อ ข้าจะไปเตรียมการเดี๋ยวนี้เลย” เซ่าหมิงยวนดึงสายตากลับมามองสหายรักแวบหนึ่ง ถึงหมุนกายเดินออกไปด้านนอกอย่างเงียบๆ
ต่อมารถม้าเปลี่ยนเป็นคันที่รูปทรงคล้ายคลึงกับคันเดิมของเฉียวเจาที่คานหักไป สภาพกลางเก่ากลางใหม่ สารถีคนเดิม ม้าเทียมก็ตัวเดิม ไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตของใครๆ
ก่อนเฉียวเจาขึ้นไป นางหมุนกายมา “แม่ทัพเซ่า เชิญท่านไปคุยกันทางโน้นสักครู่เจ้าค่ะ”
หมอเทวดาหลี่ซึ่งเพิ่งขึ้นรถม้าไปแหวกม่านเปิดพรึบ ชะโงกศีรษะออกมามองชายหนุ่มด้วยแววตาคมปลาบ
ฝ่ายฉือชั่นที่ยืนห่างไปไม่ไกลก็หรี่ตาลง กลอกตามองเฉียวเจากับเซ่าหมิงยวนสลับไปมา
แม่ทัพหนุ่มรู้สึกคล้ายตกเป็นเป้าสายตาคนนับหมื่น แม้นเขาจะได้สัมผัสกับความรู้สึกเช่นนี้มามากมายหลายครั้ง แต่ว่าหนนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ ชอบกลอย่างบอกไม่ถูก
ด้วยเด็กสาวมีสีหน้าท่าทางสงบนิ่งเปิดเผย เขาจึงผงกศีรษะกล่าวตอบ “ได้”
ทั้งสองเดินไปเรื่อยๆ จนถึงจุดที่คนอื่นมองเห็นแต่ไม่ได้ยินเสียง ถึงหยุดยืนสนทนากับใต้ต้นไทร
“คุณหนูหลียังมีเรื่องใดหรือ”
เซ่าหมิงยวนถามอย่างสุภาพ แต่เฉียวเจารับรู้ถึงความห่างเหินได้อย่างเฉียบไว
ราวกับว่าหลังกลับถึงหอชุนเฟิง มีบางสิ่งบางอย่างไม่เหมือนเดิมแล้ว
กระนั้นนางหาได้ใส่ใจไม่ เพียงกล่าวยิ้มๆ “แม่ทัพเซ่า ท่านปู่หลี่บอกข้าว่าจะไปจากเมืองหลวงวันพรุ่งนี้ และท่านส่งคนสองคนตามไปอารักขาท่านปู่”
“ใช่”
“ข้าได้ยินมาว่าชายทะเลแดนใต้ไม่ปลอดภัยมาก แม้คนที่ท่านแม่ทัพส่งไปจะต้องเป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่งอย่างแน่นอน แต่บางครั้งสองหมัดยากจะต่อกรสี่มือ ข้ากังวลใจว่ามีแค่สองคนจะน้อยเกินไปบ้าง แต่ท่านปู่หลี่ไม่ชอบให้มีคนติดตามมากเกินไป หากท่านแม่ทัพไม่ติดขัด จะส่งอีกสองสามคนตามไปคุ้มครองลับๆ ได้หรือไม่เจ้าคะ”
เฉียวเจากล่าวจบแล้วเห็นเขาเอาแต่มองตนเองโดยไม่กล่าววาจา นางเม้มปากเล็กน้อยเอ่ยถามขึ้น “ข้าขอร้องมากเกินไปใช่หรือไม่เจ้าคะ”
นัยน์ตาของเซ่าหมิงยวนมีแววยิ้มๆ ผุดขึ้น เขากล่าวเสียงนุ่มตอบว่า “มิใช่ คุณหนูหลีวางใจได้ ข้าจัดเตรียมคนตามอารักขาในที่ลับไว้แต่แรกแล้ว”
ดวงตากลมโตของเฉียวเจาโค้งขึ้น นางยอบกายคำนับชายหนุ่มอย่างเป็นพิธีรีตอง “เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านแม่ทัพเซ่าเป็นอย่างมากเจ้าค่ะ”
“คุณหนูหลีไม่ต้องเกรงใจ” เซ่าหมิงยวนเบี่ยงกายออกเป็นเชิงไม่รับการคารวะของนาง “วันหน้าคุณหนูหลีประสบปัญหา ก็ให้คนมาส่งข่าวกับผู้ดูแลหอชุนเฟิงได้เลย ข้ามาที่นี่เป็นประจำ”
เขาหยุดเว้นจังหวะเหลียวมองข้างหลังแวบหนึ่ง เปลี่ยนเป็นกล่าวว่า “หรือขอให้สือซีช่วยก็ไม่ต่างกัน”
เฉียวเจาขมวดคิ้วมองเขา
เซ่าหมิงยวนโดนนางจ้องหน้าก็ชักกระอักกระอ่วนใจ เขานึกในใจว่าดูเหมือนตนเองมิได้พูดอะไรผิด แต่เพราะอะไรวันนี้ถึงมีคนตั้งหลายคนล้วนมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ
แม่ทัพหนุ่มผู้ตกอยู่ในความงุนงงสบตากับเด็กสาวที่มุ่นคิ้วอยู่ ไม่กล้าพูดจาส่งเดชไปในชั่วขณะ
“ขอบคุณท่านแม่ทัพเซ่าที่ห่วงใยเจ้าค่ะ” เฉียวเจาเน้นเสียงกล่าวทีละคำจบก็ก้าวขาเดินไป
เซ่าหมิงยวนเดินตามไปอย่างใจลอย
เฉียวเจาขึ้นรถม้าโดยไม่รั้งรอ สารถีชราเงื้อแส้ม้าสะบัดเบาๆ รถม้าก็เคลื่อนตัวออกวิ่งเนิบๆ จนลับสายตาของทุกคนไปในเวลาอันสั้น
ฉือชั่นชำเลืองมองเซ่าหมิงยวน หยักยิ้มอย่างไม่ยินดียินร้าย “พวกเจ้าช่างมีเรื่องพูดคุยกันมากมายนักนะ จำเป็นต้องอาลัยอาวรณ์กันปานนี้ด้วยหรือ”
“ไม่ใช่…”
“พอแล้ว ไม่ต้องอธิบาย ไปดื่มสุรากันเถอะ” คุณชายฉือสะบัดแขนเสื้อออกเดินไป
อธิบายก็คือกลบเกลื่อน เขาเกลียดการอธิบายเป็นที่สุด
แม่นางน้อยไม่รู้คุณคน ก็แค่ช่วยนางไว้ตอนฝนตกมิใช่รึ มันเรื่องใหญ่เพียงใดเชียว ทีเขาช่วยนางจากมือโจรค้าทาส ไม่เห็นนางจะซาบซึ้งในบุญคุณเลย
บุรุษทั้งสี่กลับไปดื่มสุราที่เรือนหน้า
อีกด้านหนึ่ง ชาวสกุลหลีกำลังโกลาหลกันไปทั้งจวน
เหอซื่อถือผ้าเช็ดหน้าร่ำไห้กระซิกๆ “ฮูหยินผู้เฒ่า ข้าบอกแล้วว่าให้ออกไปรับเจาเจา ท่านก็ให้ท่านพี่ไป ท่านพี่ออกไปตอนฝนตกหนักที่สุดจนบัดนี้ฝนซาแล้ว ผลปรากฏว่าเจาเจายังหายตัวไป ท่านพี่ก็หายไปอีกคน ฮือๆๆ…”
“หุบปาก!” เส้นเลือดปูดโปนตรงขมับของหญิงชราเต้นตุบๆ นางผ่อนลมหายใจก่อนกล่าว “นี่มีอะไรน่าร้องไห้กัน เจาเจาไปที่อารามซูอิ่ง มิได้ไปที่อื่นเสียหน่อย ซ้ำมีสารถีกับสาวใช้ติดตามไปด้วย ใต้เบื้องบาทโอรสสวรรค์ยังจะประสบเหตุใดได้อีกหรือ”
เหอซื่อฟังแล้วร้องไห้หนักขึ้น “ใต้เบื้องบาทโอรสสวรรค์เจาเจายังถูกล่อลวงไปนะเจ้าคะ…”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งหงุดหงิดจนทนไม่ไหวในที่สุด นางกลอกตาขึ้นซึ่งเป็นกิริยาที่ดูไม่งามแม้แต่น้อย “ฝนตกหนักถึงเพียงนี้ พวกโจรค้าทาสก็ไม่ออกมาหรอก”
เหอซื่อที่ร้องไห้น้ำตานองกะพริบตาปริบๆ นางถึงกับรู้สึกว่ามารดาสามีพูดมีเหตุผลมาก
เหอซื่อหยุดร้องไห้ กำผ้าเช็ดหน้าในมือพลางกล่าว “แต่ไฉนท่านพี่กับเจาเจายังไม่กลับมาเล่าเจ้าคะ ฮูหยินผู้เฒ่า จะเป็นเพราะฝนตกหนักเกินไป เจาเจาเลยติดฝนอยู่กลางทางใช่หรือไม่”
“เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร หลบฝนอยู่ในรถม้าได้” แม้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งรู้สึกเป็นห่วงอยู่บ้าง แต่เพื่อมิให้ลูกสะใภ้ร้องไห้ตีโพยตีพายอีก นางจึงปั้นหน้าขรึมกล่าวปลุกปลอบ
เหอซื่อลุกขึ้นยืน ประเดี๋ยวมองท้องฟ้าประเดี๋ยวย่ำเท้าวนไปวนมาพลางพูดบ่นกระปอดกระแปด “ถ้าเกิดรถม้าเสียล่ะ ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านก็มิใช่ไม่รู้ว่ารถม้าของจวนเราเก่าทรุดโทรมเหลือใจ ถ้ายอมรับฟังข้าคงเปลี่ยนคันใหม่แต่แรกแล้ว ท่านกลับไม่อนุญาต…”
พอเห็นฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งหน้าบึ้งไม่พูดไม่จา เหอซื่อยังกล่าวต่อไป “คราวนี้เจาเจากลับมา ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเปลี่ยนรถม้าคันใหม่ได้แล้ว จริงสิ ยังมีเจ้าม้าตัวนั้นที่แก่จนวิ่งไม่ไหว ถึงเวลาซื้อตัวใหม่ได้แล้ว อืม…ยังมีสารถี…”
เหอซื่อยิ่งพูดยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้น นางพูดสรุป “เปลี่ยนใหม่ทั้งหมดไปเลยเถอะ ข้าออกเงินเองเจ้าค่ะ”
“เหอซื่อ เจ้าหุบปากเสีย” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งโกรธแทบลมจับ
ถ้าใช้เงินของลูกสะใภ้เปลี่ยนม้า รถม้า และสารถีใหม่แล้วถูกลือออกไป เป็นเรื่องเชิดหน้าชูตาของสกุลหลีมากนักใช่หรือไม่ ก็บุตรชายนางมีปัญญาชุบเลี้ยงสารถีแก่กับม้าแก่เทียมรถม้าเก่าแค่นี้เท่านั้น
“ข้าพูดผิดตรงที่ใดหรือเจ้าคะ” เหอซื่อทำหน้าฉงนใจ นางออกเงินเองด้วยความเต็มใจ มันเรื่องอะไรไม่ให้นั่งรถม้าดีๆ เล่า
คนหนึ่งติว่ามารดาสามีคร่ำครึหัวโบราณ คนหนึ่งก็ติลูกสะใภ้ว่าอวดมั่งมีเป็นพวกเศรษฐีใหม่ ขณะที่พวกนางประสานสายตากันนานครู่หนึ่งนั้น รอบด้านสงบเงียบเป็นพิเศษ
หลิวซื่อนายหญิงรองรีบพูดแก้สถานการณ์ “ที่คุณหนูสามยังไม่กลับมาเสียที ไม่แน่ว่าอาจถูกซือไท่รั้งตัวไว้ก็เป็นได้นะเจ้าคะ”
“เรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้กระมัง” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งดึงความคิดคืนมา การต้องอารมณ์เสียกับลูกสะใภ้หัวทื่อเป็นตอไม้ไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย
“ไฉนจะเป็นไปไม่ได้เล่าเจ้าคะ คุณหนูสามของเราทั้งฉลาดทั้งน่ารัก ซือไท่ของอารามซูอิ่งต้องโปรดปรานนางอย่างที่สุดเป็นแน่ ดีไม่ดีอาจเห็นว่าฝนตกถึงรั้งตัวคุณหนูสามไว้ เวลานี้คนที่มาส่งข่าวอาจจะอยู่ระหว่างทางแล้ว”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกับเหอซื่ออดพยักหน้าพร้อมกันไม่ได้
ถ้อยคำนี้กล่าวได้ไม่ผิด เจาเจาทั้งฉลาดทั้งน่ารักจริงๆ ซือไท่รั้งตัวไว้ค้างแรมจะมีอันใดน่าประหลาด
เหอซื่อมองคู่สะใภ้อย่างพินิจพลางรำพึงในใจ เมื่อก่อนไม่รู้สึกว่าคู่สะใภ้มีสายตาเฉียบแหลมปานนี้ เห็นได้ว่าพอคนเราสูงวัยแล้วมีความคิดความอ่านมากขึ้นกระมัง