หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 147
เมื่อเห็นสายตาของเหอซื่อ หลิวซื่อลอบเบะปาก
นางไม่สนใจหรอกว่าคุณหนูสามจะฉลาดหรือว่าน่ารัก แค่ว่าทุกคราที่เห็นคุณหนูสามจะเคราะห์ร้าย ผลปรากฏว่าคนที่เคราะห์ร้ายล้วนเป็นคนอื่น เพื่อมิให้บุตรสาวสองคนของนางต้องพลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วย ภาวนาให้คุณหนูสามปลอดภัยสบายดีเป็นการกันไว้ก่อนจะดีกว่า
เฮ้อ…ยังต้องคอยห่วงบุตรสาวคนอื่นอีก ช่างน่าเหนื่อยใจเสียนี่กระไร
ถึงที่สุดแล้วผู้เป็นมารดาย่อมคิดฟุ้งซ่านมากกว่า เหอซื่อเพิ่งวางใจได้ครู่เดียวก็พลันถามขึ้นอีก “ถ้าเกิดตอนเจาเจาออกมาฝนยังไม่ตกล่ะ วันนี้มีฟ้าแลบฟ้าร้องตลอด รถม้าแล่นอยู่กลางถนนคงไม่โดนฟ้าผ่ากระมัง ยังมีท่านพี่อีกคน!”
เหอซื่อคิดถึงตรงนี้ก็อยู่ไม่เป็นสุข ก้าวขาจะเดินออกไปข้างนอก “ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ ข้าไปตามหาดีกว่า”
“กลับมานี่!” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งทำหน้าตึงตวาดห้าม “เจ้าใหญ่ออกไปตั้งนานแล้ว เมื่อครู่นี้ฮุยเอ๋อร์ก็เพิ่งพาคนออกไป เจ้ายังจะออกไปก่อความวุ่นวายอะไรอีก ประเดี๋ยวเจาเจากลับมาไม่เห็นเจ้าก็ต้องออกไปตามหาเจ้าใช่หรือไม่”
เหอซื่อเดินหน้าม่อยคอตกกลับมา นางบิดผ้าเช็ดหน้าเริ่มร่ำไห้ต่อ
ยามนี้เองชิงอวิ๋นสาวใช้อาวุโสก้าวฉับๆ เข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ฮูหยินผู้เฒ่า คุณหนูสามกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งยินดียกใหญ่ “รีบบอกให้นางเข้ามาๆ”
เหอซื่อผลุนผลันออกไปแล้ว
เฉียวเจายืนทรงตัวนิ่งบนบันไดได้ไม่ทันไร ชายเสื้อก็โดนลมพัดปลิวไสวพร้อมกับถูกคนผู้หนึ่งสวมกอดไว้
“เจาเจาของข้า แม่เป็นห่วงเจ้าแทบตายอยู่แล้ว” เหอซื่อร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหล กอดเฉียวเจาไว้แน่นไม่ยอมปล่อยมือ
เฉียวเจาเงยหน้าขึ้นอย่างยากเย็นแล้วมองไปทางหมอเทวดาหลี่
เขากระแอมกระไอเสียงหนึ่ง
เสียงร้องไห้ของเหอซื่อเงียบลง นางเงยหน้าขึ้น
เอ๊ะ ผู้เฒ่าท่านนี้ดูคุ้นๆ หน้า
เฉียวเจาอ้าปากพูดอย่างอ่อนใจเอาการ “ท่านแม่ ท่านปู่หลี่พาข้ามาส่งเจ้าค่ะ”
เหอซื่อ “…” นึกออกแล้ว บุตรสาวนับถือหมอเทวดาผู้หนึ่งเป็นท่านปู่บุญธรรม!
ในตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งที่ได้รับข่าวก็ออกมาต้อนรับแล้ว “ท่านหมอเทวดามาด้วยหรือนี่ เชิญเข้าไปข้างในเถอะ”
เมื่ออยู่ต่อหน้าทุกคน หมอเทวดาหลี่ทำทีเอ่ยอธิบายขึ้นด้วยน้ำเสียงตามสบาย “พรุ่งนี้ข้าจะออกเดินทางไกล ดังนั้นอยากมาดูแม่หนูเจาสักหน่อย แต่ตอนหลังนึกขึ้นได้ว่าวันนี้นางไปที่อารามซูอิ่งเลยตรงไปหานางที่นั่น ระหว่างทางที่ไปพบรถม้าของนางเสียอยู่ ข้าจึงพานางกลับมาพอดี”
สายตาของหลีเจี่ยวมองไปที่ตัวเฉียวเจา นางคลี่ยิ้มพริ้มพรายเข้าไปคล้องแขนอีกฝ่าย “น้องเจากลับมาก็ดีแล้ว ทุกคนเป็นห่วงกันอยู่ตลอด ท่านพ่อกับน้องสามออกไปตามหาเจ้าถึงตอนนี้ยังไม่กลับมาเลยนะ”
นางกุมมือของเฉียวเจาไว้หมับ ทำท่าเป็นห่วงเป็นใยเต็มเปี่ยม “มือของน้องเจาเย็นเฉียบเลย กลางทางโดนฝนแล้วใช่หรือไม่ ยังผลัดอาภรณ์ชุดใหม่ด้วย”
นางไม่เคยเห็นหลีซานสวมเสื้อผ้าชุดนี้มาก่อน
หลีเจี่ยวชายตามองไปทางหมอเทวดา นางคิดคำนึงในใจ ช่างบังเอิญดีแท้ พอรถม้าของหลีซานเสียก็ได้พบกับหมอเทวดาหลี่?
เฉียวเจาดึงมือคืน กล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าตากฝนเลยต้องเปลี่ยนชุดเจ้าค่ะ”
ฉะนั้นผลัดอาภรณ์ชุดใหม่คือจุดสำคัญที่หลีเจี่ยวให้ความสนใจอย่างนั้นหรือ
เฉียวเจาไม่อาจเข้าใจความคิดอันผิดเพี้ยนพรรค์นี้ได้โดยสิ้นเชิง นางแสดงคารวะต่อผู้อาวุโสทั้งหลายแล้วกล่าวอย่างเยือกเย็น “ทำให้พวกท่านย่าเป็นห่วงแล้ว ตอนกลางทางมีรถม้าของผู้อื่นเสียจึงมาขออาศัย สุดท้ายกลายเป็นว่ารถม้าของข้าพังไปด้วยเพราะรับน้ำหนักไม่ไหวเจ้าค่ะ”
เหอซื่อได้ยินแล้วยินดีปรีดาอย่างยิ่ง ดีเหลือเกิน ในที่สุดนางก็มีเหตุผลที่จะออกเงินเปลี่ยนรถม้าได้อย่างเต็มปากเสียที
ดวงตาของหลีเจี่ยวเปล่งประกายวูบหนึ่ง “น้องเจาระวังตัวไว้สักหน่อยจะดีกว่า เหตุใดปล่อยให้คนแปลกหน้าตามถนนที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าขึ้นรถม้าได้ ยิ่งกว่านั้นฝนก็ตกอยู่ ทั้งยังเป็นกลางป่ากลางเขา ถ้าเกิดพวกเขาคิดมิดีมิร้ายอะไรขึ้นมา จะทำฉันใดดีเล่า!”
นางหันหน้าไปพูดกับฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง “ท่านย่าเจ้าคะ ข้าฟังเหตุการณ์ที่น้องเจาได้ประสบพบเจอแล้วยังหวาดผวาเลยเจ้าค่ะ”
สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งนิ่งขึงไปเล็กน้อย
ความกังวลใจของหลานสาวคนโตก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผลเสียทีเดียว
แต่เมื่อเห็นหลานสาวที่หน้าตาซีดขาวแล้ว หญิงชรายังคงหักใจพูดมากไปกว่านี้มิได้ นางกล่าวกับหมอเทวดาหลี่อย่างเกรงอกเกรงใจ “เชิญท่านหมอเทวดาเข้าไปดื่มน้ำชาเถอะ”
เขาโบกมือไปมา “ไม่ล่ะ ส่งแม่หนูเจามาถึงเรือนแล้วข้าก็สบายใจ พรุ่งนี้ข้าต้องออกเดินทาง ยังมีข้าวของต้องจัดเตรียมอีกมาก คงต้องขอตัวก่อน”
“เช่นนั้นข้าก็ละอายแก่ใจจริงๆ”
หมอเทวดาหลี่หยักยิ้ม กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่มอย่างเหนือความคาดหมาย “ฮูหยินผู้เฒ่าพูดอย่างนี้ออกจะเห็นเป็นคนอื่นคนไกลเกินไป ข้าเป็นท่านปู่บุญธรรมของแม่หนูเจา ว่าไปแล้วล้วนเป็นคนครอบครัวเดียวกัน พวกเจ้าเป็นห่วงแม่หนูเจา ข้าเองก็หวังว่านางจะอยู่ดีมีสุขนะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งรู้สึกได้ชัดเจนว่าหมอเทวดาหลี่มาเยือนคราวนี้ดูคล้ายจะสนิทสนมกับหลานสาวคนที่สามยิ่งขึ้นอีก มันเป็นความสนิทสนมที่ต่างจากครั้งที่แล้ว ถ้าพูดว่าก่อนหน้านี้เป็นความชมชอบต่อผู้เยาว์ที่ถูกชะตากัน ตอนนี้ก็คือความใกล้ชิดที่ปราศจากช่องว่างใดๆ
หญิงชราย่อมต้องยินดีที่ได้เห็นว่ามีคนดีต่อหลานสาวเป็นธรรมดา นางตามไปส่งหมอเทวดาอย่างมีมารยาทแล้วถึงเดินนำหน้าทุกคนกลับไปที่ห้องโถง
เฉียวเจาทนความรู้สึกไม่สบายตัวไว้เอ่ยขึ้นว่า “ท่านย่า ข้าอยากไปชำระกายเจ้าค่ะ”
“ไปเถอะ” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งมองสำรวจหลานสาวอย่างละเอียดแล้วกลืนคำพูดเต็มอกกลับลงไป
หลานเจาอาจจะดูสะอาดหมดจด แต่ถ้าพินิจให้ดีๆ จะเห็นความอิดโรยหมองคล้ำได้ สมควรรีบไปจัดการธุระส่วนตัวผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย
“แม่ไปเป็นเพื่อนเจ้านะ”
“ไม่ต้องเจ้าค่ะท่านแม่ ท่านพ่อกับพี่สามยังไม่กลับมามิใช่หรือ ท่านอยู่ที่นี่รอพวกเขาเถอะ”
เหอซื่อถึงไม่รบเร้าต่อ นางพูดกำชับว่า “ข้าให้คนของเรือนครัวต้มน้ำขิงไว้ หลังเจ้าชำระกายแล้วอย่าลืมดื่มสักชามก่อนนะ”
เฉียวเจาพยักหน้ารับ
ราวเกือบครึ่งชั่วยามให้หลัง อาจูมารายงานว่า “คุณหนูชำระกายเสร็จนอนหลับไปแล้วเจ้าค่ะ”
“ดื่มน้ำขิงแล้วใช่หรือไม่”
“ดื่มแล้วเจ้าค่ะ”
เหอซื่อวางใจได้แล้วหันไปมองมารดาสามี
“ให้นางนอนเถอะ มีเรื่องอะไรค่อยว่ากันใหม่วันพรุ่งนี้” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งถอนใจเฮือกหนึ่ง “คนกลับมาอย่างปลอดภัยก็ดีแล้ว เรื่องอื่นๆ ไว้ค่อยคุยกันอีกทีเถอะ ว่าแต่เหตุใดเจ้าใหญ่กับฮุยเอ๋อร์ยังไม่กลับมาอีกนะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเห็นฟ้ามืดลงทุกทีๆ ก็เริ่มร้อนรุ่มใจอยู่หลายส่วน
“ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ คุณชายสามกลับมาแล้ว”
ขณะชิงอวิ๋นรายงานอยู่ หลีฮุยสาวเท้าเดินเข้ามาแสดงคารวะต่อท่านย่า นางดึงตัวเขามาหา แล้วเอ่ยถามอย่างโล่งอก “กลับมาจนได้ เจอกับท่านพ่อหรือไม่”
แขนเสื้อของหลีฮุยเปื้อนคราบดินเป็นจุดๆ ไม่น้อย แต่เขาไม่มีเวลาใส่ใจ กล่าวตอบด้วยสีหน้าหนักอก “ข้าไม่พบท่านพ่อเลยขอรับ แล้วก็ตามหาน้องเจาไม่เจอด้วย…”
“เจาเจากลับมาแล้วและเข้านอนไปแล้ว”
พอได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งบอกอย่างนี้ หลีฮุยตาเป็นประกายพร้อมกับทิ้งไหล่ทั้งคู่ลงทันที จากนั้นพอรู้ว่าเผลอตัวไป เขารีบเม้มปากแน่นดังเก่า
“ฮุยเอ๋อร์ เจ้าไปชำระกายก่อนแล้วค่อยมากินข้าวเถอะ”
หลีฮุยส่ายหน้า “ข้าเป็นห่วงท่านพ่อขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกับเหอซื่อพร้อมใจกันพยักหน้า
ใครจะไม่เป็นห่วงเล่า ทั่วทั้งจวนนี้คนที่เชื่อใจไม่ได้ที่สุดยังอยู่นอกเรือนนะ
“ถ้าอย่างนั้นกินข้าวก่อน จะเรื่องอะไรก็ตามกินอิ่มแล้วค่อยทำ” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งสั่งชิงอวิ๋นให้เตรียมตั้งโต๊ะ รั้งตัวทุกคนไว้ที่เรือนชิงซงกินอาหารด้วยกัน
เมื่อข้าวปลาอาหารถูกยกมาวาง คนทั้งโถงก็เริ่มกินอย่างเงียบๆ พาให้บรรยากาศหนักอึ้งอยู่มาก
แต่กินข้าวไปได้ครึ่งๆ กลางๆ สาวใช้ผู้หนึ่งก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา “แย่แล้วเจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่า นายท่านใหญ่ถูกองครักษ์จินหลินคุมตัวกลับมาที่จวน”
“องครักษ์จินหลิน?!”
ทุกคนในเรือนหน้าเปลี่ยนสีไปถนัดตา
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งวางตะเกียบลง ก้าวขาออกเดินไปข้างนอก แต่อารามรีบร้อนเลยตัวเซวูบหนึ่งอย่างช่วยมิได้
หลีฮุยยื่นมือไปพยุงนางไว้ เขาลอบสูดลมหายใจเฮือกหนึ่งก่อนเอ่ยเสียงขรึม “ท่านย่า อย่าร้อนใจ ข้าไปดูเป็นเพื่อนท่านเองขอรับ”