หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 148
ยามคนทั้งจวนเดินไปถึงลานเรือนอย่างอกสั่นขวัญแขวน หลีกวงเหวินก็สาวเท้าเข้ามาแล้ว
“เจ้าใหญ่ องครักษ์จินหลินล่ะ” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งมองซ้ายทีขวาที
หลีกวงเหวินเปียกโชกทั้งตัว กล่าวเสียงฮึดฮัดว่า “ไปหมดแล้วขอรับ”
“ลูกแม่ บอกแม่มาตามสัตย์จริง เจ้ามิได้ทำความผิดกระมัง”
“เปล่าขอรับ ท่านแม่พูดเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าเคยก่อเรื่องตั้งแต่เมื่อไรกัน” หลีกวงเหวินคับข้องหมองใจสุดจะกล่าว
“แล้วไฉนองครักษ์จินหลินตามเจ้ากลับมาด้วยเล่า” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งถามพลางเดินย้อนกลับไป
“เอ่อ…คือเรื่องมันเป็นเช่นนี้ขอรับ ข้าจ้างรถม้าไปตามหาเจาเจามิใช่หรือ…” หลีกวงเหวินพูดถึงตรงนี้ก็ชะงักกึก ตบหน้าผากทีหนึ่งอย่างขุ่นเคืองตนเองแล้วกล่าว
“ข้าเห็นองครักษ์จินหลินวางอำนาจบาตรใหญ่ รู้สึกเป็นเดือดเป็นแค้นขึ้นมาชั่ววูบเลยทะเลาะกับพวกเขาจนลืมไป! ข้าจะไปตามหาเจาเจาเดี๋ยวนี้เลย…”
หลีกวงเหวินหมุนกายจะออกวิ่งไป ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งตาไวยื่นมือไปบิดหูของบุตรชายคนโตได้อย่างฉับไว กล่าวด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “เจาเจากลับมาแล้ว เจ้าต่างหากล่ะ กินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำเลยหาเรื่องทะเลาะกับองครักษ์จินหลินใช่หรือไม่”
“ข้าแค่ขัดนัยน์ตา…”
หญิงชราไม่นำพาว่าพวกลูกสะใภ้กับหลานๆ มองดูอยู่ เงื้อมือตีบุตรชายไปด่าไป “ขัดนัยน์ตารึ ในโลกนี้มีเรื่องขัดนัยน์ตาอยู่มากมายก่ายกอง กลับแร่ไปทะเลาะกับองครักษ์จินหลิน น้ำฝนเข้าไปคั่งอยู่ในสมองเจ้าหมดแล้วใช่หรือไม่ ข้าตีเจ้าให้ตายๆ ไปเสียวันนี้ถึงจะถูกต้องสมควร!”
หลีกวงเหวินหนีหัวซุกหัวซุนไปหลบหลังเหอซื่อโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เหอซื่อทำสีหน้าประทับใจ ยามคับขัน ท่านพี่ยังคงคิดถึงข้าอยู่?!
“ท่านพี่ ท่านรีบกลับเรือนหยาเหอเถอะ ข้าอยู่รับหน้าแทนเอง”
“ขอบใจมาก” หลีกวงเหวินประสานมือคำนับแล้วก้าวขาวิ่งเผ่นไป
เหอซื่อกางสองแขนออกขวางหน้ามารดาสามี “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านระงับโทสะด้วย องครักษ์จินหลินยังไม่ถือสาหาความกับนายท่านใหญ่ของเราเลย ท่านจะโมโหโทโสเขาไปด้วยเหตุใดเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งหยุดนิ่งกำมือเป็นหมัด ถ้ามีเสียงโจษจันออกไปว่าตบตีลูกสะใภ้จะไม่น่าฟัง นางยอมทนไว้ แต่ว่า…
“น่าแปลกนัก เจ้าบัดซบผู้นั้นทะเลาะกับองครักษ์จินหลิน แต่พวกนั้นยังส่งเขากลับเรือนหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งพูดพึมพำ
หลิวซื่อซึ่งอยู่ด้านข้างอดใจไม่อยู่ในที่สุด นางทำหน้าเสียกล่าวขึ้น “ฮูหยินผู้เฒ่า ดีไม่ดีองครักษ์จินหลินอยากตามมารู้จักที่ทางบ้านช่องเอาไว้ จะได้คิดบัญชีวันหน้าก็ได้นะเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งตกใจยกใหญ่ “ไม่ได้ ข้าต้องไปถามเจ้าใหญ่ให้รู้ดำรู้แดง!”
หลีกวงเหวินกลับถึงเรือนหยาเหอ เขาถอดเสื้อผ้าเปียกแฉะออกแล้วเข้าไปล้างเนื้อล้างตัวในห้องชำระกาย ได้ยินคนส่งเสียงรายงานว่าฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งมาถึงก็ตะลึงงันไปทันใด
ไม่กระมัง ดูทีว่าวันนี้ท่านแม่จะบันดาลโทสะแล้วจริงๆ ถึงกับไล่ตามมาถึงห้องชำระกาย! ท่านแม่ยังคงฉลาดเฉลียวตามเคย รู้ว่าเช่นนี้ข้าหนีไม่ได้แล้ว…
หลีกวงเหวินนั่งเปลือยกายอยู่ในถังน้ำด้วยสีหน้าทอดอาลัย
เขาสวมอาภรณ์อย่างอืดอาดเชื่องช้าเสร็จก็เดินออกมา เห็นมารดานั่งดักอยู่นอกประตูจริงๆ นางถือถ้วยชาดื่มคำหนึ่งเป็นระยะ
พอได้ยินเสียงเปิดประตู ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเหลือบตาขึ้น วางถ้วยชาลงบนมือชิงอวิ๋นสาวใช้อาวุโสแล้วกล่าวเสียงขรึม “ชิงอวิ๋น ยกเก้าอี้มาให้นายท่านใหญ่นั่งสิ”
ชิงอวิ๋นตวัดสายตามองหลีกวงเหวิน ดวงหน้าหมดจดก็แดงเรื่ออย่างห้ามไม่อยู่ นางรีบก้มหน้าไปยกเก้าอี้
หลีกวงเหวินผลัดอาภรณ์เป็นชุดลำลอง เรือนผมเปียกที่แผ่สยายยังมีน้ำหยดลงมา เขาพูดอย่างกระอักกระอ่วน “ท่านแม่ ดีชั่วก็น่าจะรอข้าสางผมให้เรียบร้อยนะขอรับ” เหอซื่อก็มองดูอยู่
หลีกวงเหวินชายตามองเหอซื่อปราดหนึ่งอย่างว่องไว
เหอซื่อ “…” ท่านพี่ที่เป็นเช่นนี้ชวนมองเหลือหลาย!
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งไม่แม้แต่จะเหลือบตาขึ้น เอ่ยเสียงราบเรียบว่า “สางผมอะไรกัน เจ้าทำตัวเหลวไหลเยี่ยงนี้ สักวันคนทั้งตระกูลคงศีรษะหลุดจากบ่ากันหมดก็ไม่แน่”
“ข้าไม่ได้ทำตัวเหลวไหล…” หลีกวงเหวินหลุบตาลงอย่างอึดอัดใจ เขาลอบกำมือเป็นหมัดแน่นด้วยความเสียใจอยู่บ้าง
หากองครักษ์จินหลินเป็นเขี้ยวเล็บของโอรสสวรรค์อย่างสงบเสงี่ยมก็แล้วกันไปเถอะ แต่เจียงถังซึ่งเป็นผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินกลับสมรู้ร่วมคิดกับสมุหราชเลขาธิการหลันซาน ให้ร้ายขุนนางสุจริตและแม่ทัพดีๆ ไปตั้งมากเท่าไรก็สุดรู้ หากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ แผ่นดินจะมิใช่แผ่นดิน ถึงเวลานั้นต่างหากที่ชีวิตคนจะเป็นเช่นผักปลาอย่างแท้จริง
ครั้นเห็นบุตรชายดูเหมือนจะเสียใจจริงๆ ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งก็นึกสงสารอีก นางกระแอมกระไอเสียงหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “นั่งเถอะ”
ชิงอวิ๋นวางเก้าอี้โดยไม่กล้าเงยหน้าขึ้น จากนั้นถอยไปยืนอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง
หลีกวงเหวินจำต้องนั่งลง
“ในเมื่อเจ้าทะเลาะกับองครักษ์จินหลิน เหตุไฉนพวกเขาถึงพาเจ้ามาส่ง”
คงมิใช่เป็นอย่างที่ภรรยาของเจ้ารองพูดว่าตามมารู้จักที่ทางบ้านช่องเอาไว้จะได้คิดบัญชีวันหน้า?
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ หลีกวงเหวินมีท่าทางโกรธเกรี้ยวอยู่บ้าง “ก็ข้าทะเลาะกับองครักษ์อยู่มิใช่หรือขอรับ ใครจะรู้ว่าสารถีที่ว่าจ้างมาผู้นั้นจะควบรถม้าหนีไปเลย…”
หญิงชรารู้สึกขมปร่าไปทั้งอกที่บุตรชายบัดซบไม่มีไหวพริบเท่าสารถีผู้หนึ่ง
“ข้าไม่มีรถม้า ซ้ำยังฝนตกอยู่ก็เลยหลงทาง จากนั้นหัวหน้าของพวกเขาผู้นั้นก็สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาสองคนพาข้ามาส่งขอรับ” หลีกวงเหวินนึกถึงหัวหน้าองครักษ์จินหลินผู้นั้นแล้วมุ่นหัวคิ้วอย่างสุดระงับ ที่แท้คนที่บุตรสาวรู้จักเป็นพวกองครักษ์จินหลิน!
ไม่ผิดจากคำกล่าวที่ว่าบุตรธิดาเติบใหญ่แล้วมักทำให้พ่อแม่เป็นห่วง คบสหายสุ่มสี่สุ่มห้าได้เช่นไรกัน
“พวกองครักษ์จินหลินก็มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เหมือนกันรึ” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งตรึกตรองเป็นนานก็ยังคิดหาเหตุผลไม่ออก นางมองบุตรชายทึ่มที่รูปงามไม่เป็นสองรองใครแล้วถอนใจเฮือก
ผู้เป็นบิดามารดาต้องเฝ้าเป็นห่วงลูกไม่จบไม่สิ้นจริงๆ
รอเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกลับไปแล้วเหลือแค่หลีกวงเหวินกับเหอซื่อสองคน นางรวบรวมความกล้าเอ่ยขึ้น “ท่านพี่ ข้าสางผมให้ท่านนะเจ้าคะ”
“ได้”
เหอซื่อตกตะลึง
ผ่านไปครู่หนึ่ง หลีกวงเหวินขมวดคิ้ว “มีอะไรรึ”
เหอซื่อแอบหยิกต้นขาตนเองทีหนึ่งแล้ววิ่งไปอย่างเร็วรี่
ขณะที่หลีกวงเหวินอึ้งงันไป
ชั่วอึดใจต่อมาเหอซื่อวิ่งกระหืดกระหอบมา ชูหวีงาช้างสลักลายในมือขึ้นพร้อมรอยยิ้มงามดุจบุปผา “ใช้หวีเล่มนี้สางผมให้ท่านพี่ ไม่เจ็บศีรษะเจ้าค่ะ”
ฝ่ามือนุ่มนิ่มจับผมเปียกชื้นของเขาขึ้น หลีกวงเหวินอาจตะขิดตะขวงใจอยู่สักหน่อย แต่ท้ายที่สุดก็มิได้เบี่ยงกายออก เขาพูดเรียบๆ ขึ้นว่า “พิถีพิถันไม่เข้าเรื่อง ประเดี๋ยวไปดูเจาเจาด้วยกันเถอะ”
หลีเจี่ยวซึ่งหลบอยู่ในมุมหนึ่งกำมือเป็นหมัดแน่นสุดแรงจนปลายเล็บจิกเข้ากลางอุ้งมือ นัยน์ตาหวานชวนพิศทั้งคู่มีน้ำตาเอ่อคลอทีละน้อยด้วยความโกรธแค้น
สุดท้ายท่านพ่อก็ลืมเลือนท่านแม่ไปแล้วใช่หรือไม่ ดังนั้นความรักที่ดีงามมั่นคงปานใดล้วนเทียบการมีชีวิตอยู่ไม่ได้
“พี่เจี่ยว” เสียงกังวานใสเฉพาะตัวเด็กหนุ่มดังขึ้น หลีเจี่ยวหันขวับกลับไป
“น้องสาม?”
“พี่เจี่ยว ท่านร้องไห้หรือ” หลีฮุยยื่นมือไปจะเช็ดน้ำตาให้พี่สาว
นางเบือนหน้าหนี “ให้คนเห็นเข้าจะไม่ดี”
หลีฮุยกัดริมฝีปาก
ไฉนพี่เจี่ยวยิ่งมายิ่งใส่ใจธรรมเนียมจอมปลอมเหล่านี้ เขากับนางเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน พี่สาวเสียใจ คนเป็นน้องชายจะปลอบใจก็ยังต้องกลัวคนอื่นติฉินนินทาด้วยหรือ
“เอาล่ะ เจ้ารีบกลับไปท่องตำราเถอะ วันหน้าอย่าออกไปที่ใดสะเปะสะปะอีก ซ้ำยังฝนตก ไม่รู้หรือว่าข้าเป็นห่วง”
“ก็ข้าเป็นห่วงท่านพ่อกับ…” หลีฮุยนึกถึงเฉียวเจาแล้วกระดากใจที่กล่าวออกจากปาก
หลีเจี่ยวใจหล่นวูบ กระทั่งน้องชายของนางก็เริ่มห่วงใยหลีซานแล้วหรือ “ดูไม่ออกเลยนะว่าฮุยเอ๋อร์จะห่วงใยน้องเจาน่าดู”
“วันนี้ฝนตกหนักเหลือเกิน…พี่เจี่ยว ข้าจะกลับห้องไปท่องตำรา” หลีฮุยหน้าแดงออกวิ่งไปแล้ว
หลีเจี่ยวมองไปทางเรือนเล็กฝั่งซ้ายแล้วเม้มปาก
เช้าวันรุ่งขึ้น เฉียวเจาตื่นขึ้นแล้วบอกด้วยสุ้มเสียงแหบแห้ง “อาจู ขอน้ำให้ข้าถ้วยหนึ่ง”
อาจูหมุนกายยกถ้วยน้ำมาปรนนิบัติให้เฉียวเจาดื่ม นางกล่าวรายงานเสียงเบา “คุณหนู เมื่อเช้าข้าไปที่เรือนครัว ได้ยินคนในเรือนครัวพูดซุบซิบกันโดยไม่ตั้งใจว่าคนที่ขออาศัยรถม้าของท่านกลางทางเมื่อวานมีชายหนุ่ม…”