หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 149
เฉียวเจาปวดศีรษะแทบแตก นางยกมือขึ้นนวดขมับพลางถามอาจู “นายท่านกับคุณชายสามกลับมาหมดแล้วกระมัง”
หนนี้นางนอนหลับสนิทมาก ลืมตาตื่นอีกทีก็เป็นยามนี้แล้ว
“กลับมาแล้วเจ้าค่ะ เมื่อคืนนายท่านกับนายหญิงยังมาหาท่านด้วยเจ้าค่ะ”
เฉียวเจาคลายใจลงได้ ถึงมีแก่ใจให้ความสนใจข่าวลือที่อาจูได้ยินมา
“ปิงลวี่ล่ะ”
“ปิงลวี่เพิ่งออกไปเมื่อครู่เจ้าค่ะ”
ขณะพูดคุยกันอยู่ ปิงลวี่วิ่งพรวดพราดเข้ามา นางหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธจัด “คุณหนู ข้าสืบได้ความแล้วเจ้าค่ะ ล้วนเป็นเพราะเหล่าเฉียนผู้เดียวที่พูดจาส่งเดชหลังเมาสุราถึงได้เกิดเสียงลือพรรค์นี้ขึ้น”
“เหล่าเฉียน?”
“เจ้าค่ะ เหล่าเฉียนผู้นี้น่าชังจริงๆ เมื่อวานเขาทิ้งคุณหนูไปตามม้า ยังบอกอีกว่าความจำไม่ดี มีเรื่องอะไรผ่านไปประเดี๋ยวเดียวก็ลืม ทีแรกข้านึกว่าเขาแก่ชราปูนนี้แล้วจะเลอะเลือนก็มีเหตุผลพอให้อภัยได้ คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้มิได้แก่เลอะเลือนอย่างเดียว ยังปากพล่อยอีกด้วย!”
“แค่ลือกันว่าคนที่ขออาศัยรถม้าข้ามีชายหนุ่มแล้วไม่เอ่ยถึงอย่างอื่นเลยหรือ” เฉียวเจาถามอาจู นางเพียงรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าขันสุดจะเปรียบ
“มิได้เอ่ยถึงเจ้าค่ะ”
เฉียวเจาหันไปมองปิงลวี่ “ข่าวลือแพร่ออกมาจากเหล่าเฉียน แล้วพวกฮูหยินผู้เฒ่ามีความเคลื่อนไหวอะไรหรือไม่”
“หลังจากนายหญิงได้ยินก็พาคนตรงดิ่งไปยังที่พำนักของเหล่าเฉียน ลากตัวตาเฒ่าที่นอนคลุมโปงหลับเป็นตายออกจากผ้าห่มแล้วตบหน้าไปหลายที ต่อจากนั้นฮูหยินผู้เฒ่าก็ได้ยินข่าว เวลานี้ถามความกันอยู่ในเรือนชิงซงเจ้าค่ะ” ปิงลวี่ยิ่งพูดยิ่งเดือดดาล “ไม่รู้จริงๆ ว่าเหล่าเฉียนสมองกลวงจนหญ้าขึ้นรกแล้วใช่หรือไม่ ถึงปากไม่มีหูรูด เขาน่าจะรู้ว่าคนที่ขออาศัยรถม้าเมื่อวานนี้คือองค์หญิง ไฉนถึงพูดลือกันออกไปเช่นนี้ได้”
ปิงลวี่พูดพลางกระทืบเท้า “คุณหนู เมื่อวานตอนกลับมาท่านกำชับกำชาข้าว่าอย่าพูดถึงเรื่องเมื่อวาน ทีนี้เป็นอย่างไรล่ะ กลับเกิดเสียงลือเช่นนี้ขึ้นจนได้ ข้าคับใจเจียนตายอยู่แล้ว ถ้าท่านอนุญาต ข้าจะไปบอกกับพวกฮูหยินผู้เฒ่าให้กระจ่างแจ้งเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ”
สีหน้าของเฉียวเจาเรียบเฉยดุจเก่า “ไม่ต้องใจร้อน มาปรนนิบัติให้ข้ากินข้าวก่อนเถอะ พอกินเสร็จ ข้าย่อมต้องไปดูที่เรือนชิงซงสักหน่อย”
อาจูยกเครื่องใช้สำหรับล้างหน้าบ้วนปากมาทันที
ปิงลวี่เห็นคุณหนูกับอาจูล้วนไม่เดือดเนื้อร้อนใจ จิตใจที่ร้อนรุ่มกระวนกระวายก็สงบลง
เฉียวเจากินอาหารแล้วถึงพาปิงลวี่ไปที่เรือนชิงซง
“คุณหนูสามมาแล้วหรือเจ้าคะ…” ชิงอวิ๋นที่ยืนเฝ้าอยู่นอกประตูเห็นเฉียวเจาก็ตั้งท่าจะส่งเสียงรายงาน แต่ถูกนางห้ามไว้
“พี่ชิงอวิ๋นไม่ต้องรีบรายงานเจ้าค่ะ ข้าอยากฟังดูว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร”
ข้างในกำลังซักถามเรื่องของคุณหนูสามอยู่ ช้าเร็วฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งก็ต้องเรียกตัวคุณหนูสามมาถามความ ด้วยเหตุนี้ชิงอวิ๋นจึงมิได้ขัดขวาง ปล่อยให้เฉียวเจายืนฟังอยู่หน้าประตู
เสียงอ้อนวอนของเหล่าเฉียนดังมาจากด้านใน “ฮูหยินผู้เฒ่า นายหญิงใหญ่ ข้าดื่มสุรามากเกินไปเองถึงได้กล่าววาจาเลอะเทอะ พวกท่านละเว้นข้าสักครั้งเถอะขอรับ”
เสียงเพียะๆ ดังขึ้น เป็นชายชราตบหน้าตนเอง
เหอซื่อยังไม่คลายโทสะลงแต่อย่างใด นางอยากจะตบตีเหล่าเฉียนให้แรงขึ้นอีกใจจะขาด
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกลับโบกมือห้ามมิให้เขาลงโทษตนเอง นางกล่าวเสียงเย็นว่า “เหล่าเฉียน เจ้าเป็นสารถีของจวนตะวันตกมานานสิบกว่าปีแล้ว จะละเว้นเจ้าหรือไม่ค่อยว่ากันอีกที ข้าขอถามเจ้า เมื่อวานเจ้าดื่มสุรากับใคร แล้วพูดอะไรไปบ้างกันแน่”
“ข้า…ข้าจำไม่ได้แล้วจริงๆ ขอรับ” เหล่าเฉียนสะอื้นไห้
เมื่อวานองครักษ์หน้าตาเย็นชานามว่าเฉินกวงผู้นั้นข่มขู่เขาว่าถ้ากลับมาแล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกลางทางออกมาก็จะเอาชีวิตเขา เขาจะกล้าพูดที่ใดกัน ทว่าหลังเมาสุราแล้วพูดอะไรไปบ้างกันแน่นั้น เขาจำไม่ได้แม้แต่น้อยนิด
“แม่เฒ่าเฉียน เจ้าบอกมา เมื่อคืนเหล่าเฉียนดื่มสุรากับใคร”
ภรรยาของเหล่าเฉียนคุกเข่ากับพื้นตัวสั่นระริก นางก้มหน้ากล่าว “เรียนฮูหยินผู้เฒ่า เมื่อคืนเจ้าเฒ่าสมควรตายผู้นี้ออกไปแล้วดื่มสุรากับใคร ข้าก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ…”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งตบโต๊ะดังปัง กล่าวเสียงปึ่งชา “นี่มันช่างพิลึกพิลั่นดีแท้ เมาสุราแล้วจำไม่ได้ว่าพูดอะไรไป แม้แต่ดื่มสุรากับใครก็ยังไม่รู้อีก หงซง ดูสิว่าหรงมามากลับมาแล้วหรือยัง”
“เจ้าค่ะ” หงซงก้าวขาเดินออกไป เห็นเฉียวเจายืนอยู่หน้าประตูแล้วชะงักกึกอย่างห้ามไม่อยู่ นางแสดงคำนับพร้อมเรียกขาน “คุณหนูสาม”
เฉียวเจาผงกศีรษะก่อนย่างเท้าเข้าไป “ท่านย่า ท่านแม่ ท่านอาสะใภ้รอง”
ทันทีที่เห็นเฉียวเจาเข้ามา เหอซื่อลุกพรวดขึ้น ยื่นมือดึงตัวนางมาหา “เจาเจา นอนหลับเต็มอิ่มแล้วใช่หรือไม่ รู้สึกไม่สบายตรงที่ใดหรือไม่”
เฉียวเจาคลี่ยิ้ม “ท่านแม่ ข้าสบายดีทุกอย่างเจ้าค่ะ”
“เจาเจา มานี่สิ” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเอ่ยปากขึ้น
นางเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย
“เมื่อวานเจ้ากลับมาก็ไปพักผ่อน ท่านย่ายังไม่ทันได้ถามเลยว่าคนที่อาศัยรถม้าของเจ้าเป็นผู้ใดหรือ” นางนึกเสียใจภายหลังอยู่บ้างที่เมื่อคืนมิได้ถามให้รู้เรื่อง จนเป็นเหตุให้มีเสียงลือเฉกนี้แพร่ออกไปโดยปราศจากที่มาที่ไป
เฉียวเจากล่าวตอบด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “เรื่องเมื่อวานนี้ข้าย่อมต้องบอกกล่าวต่อผู้อาวุโสอย่างแจ่มแจ้ง แต่การปั้นน้ำเป็นตัวใส่ร้ายเจ้านายเยี่ยงนี้ จะปล่อยไว้ไม่ได้เป็นอันขาด ท่านย่าส่งหรงมามาไปหาคนที่คุ้นเคยกับเหล่าเฉียนแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ในเมื่อเหล่าเฉียนลืมไปแล้วว่าดื่มสุรากับใคร เช่นนั้นเริ่มสืบหาจากคนที่คุ้นเคยกับเขาก็ต้องไม่พลาดแน่
“ไม่ผิด” ความฉลาดเฉียบไวของหลานสาวทำให้หญิงชราถอนใจโล่งอกได้เล็กน้อย
ตามหลักแล้วคนฉลาดเฉียบไวไม่มีทางกระทำเรื่องเลอะเลือน
“ถ้าอย่างนั้นก็รอพวกเขามาแล้วค่อยว่ากันอีกเถอะเจ้าค่ะ” เฉียวเจานั่งลงบนเก้าอี้ถัดจากฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งอย่างสุขุมเยือกเย็น
ทั้งที่เมื่อครู่ยังโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง แต่พอได้เห็นท่าทางของเฉียวเจาขณะนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งอดนึกขันไม่ได้ว่า เจ้าเด็กผู้นี้กลับอดทนข่มใจได้จริงๆ
ไม่นานนักหรงมามาก็พาคนสามคนเข้ามา นางกล่าวรายงานว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า นี่คือเหล่าจ้าวยามหน้าประตู เหล่าหวังคนดูแลสวน แล้วก็เหล่าตู้คนดูแลห้องคลัง พวกเขาสามคนล้วนเป็นคนที่ไปมาหาสู่กับเหล่าเฉียนบ่อยๆ ข้าเลยพาตัวพวกเขามาด้วยกันทั้งหมดเจ้าค่ะ”
“บอกมา เมื่อวานพวกเจ้าสามคนอยู่ที่ใดกันบ้าง ได้ดื่มสุรากับเหล่าเฉียนหรือไม่”
เหล่าจ้าวอ้าปากพูดเป็นคนแรก “เมื่อคืนหลังจากนายท่านใหญ่กลับมา ข้าลงดาลประตูเรียบร้อยแล้วกลับห้องเข้านอน มิได้ดื่มสุราขอรับ”
เหล่าหวังพูดเป็นคนต่อมา “เมื่อวานบุตรชายคนโตของข้ากลับมา ดังนั้นข้ากลับไปตั้งแต่หัววัน บุตรชายคนโตยังชักชวนสหายสนิทหลายคนมาดื่มสุรากัน ฮูหยินผู้เฒ่าส่งคนไปสอบถามก็จะได้ทราบแล้วขอรับ”
“เมื่อวานฝนตก อาการเจ็บเข่ากำเริบ ข้าก็พักผ่อนแต่หัวค่ำเหมือนกันขอรับ” เหล่าตู้กล่าว
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งฟังแล้วขมวดคิ้วอยู่ตลอด นางมองไปทางสารถีชรา “เหล่าเฉียน เจ้าจดจำไม่ได้แม้สักนิดเลยหรือ”
เหล่าเฉียนส่ายหน้า “หมู่นี้ข้าเป็นอะไรก็ไม่รู้ขอรับ มีหลายเรื่องๆ ผ่านไปชั่วประเดี๋ยวก็ลืม”
“ถ้าเป็นเช่นนี้ ในบรรดาพวกเจ้าสามคน มีแค่เหล่าหวังที่ดื่มสุราสินะ” เฉียวเจาพลันปริปากถาม
เหล่าหวังชะงักไปเล็กน้อยถึงพยักหน้า “เมื่อวานข้าดื่มสุราจริงๆ แต่ดื่มกับคนในครอบครัวขอรับ…”
เฉียวเจามิได้สนใจคำพูดของเขา หันไปมองอีกสองคน
อีกสองคนกล่าวประสานเสียงกัน “เมื่อคืนข้าไม่ได้ดื่มสุราขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งย่นหัวคิ้วเข้าหากันอย่างห้ามไม่อยู่
ในเรือนเหล่าหวังมีคนอื่นอยู่ด้วย ส่งคนไปถามก็พิสูจน์ให้สิ้นสงสัยได้ แต่สำหรับสองคนนี้ ต่อให้มีคนพูดเท็จจริงๆ และยืนกรานเสียงแข็งไม่ยอมรับ ดูเหมือนว่าจะหมดปัญญาจะทำอะไรได้
เฉียวเจาลุกขึ้นยืนแล้วหยักยิ้ม “ท่านย่า พวกเขาสามคนมีแต่เหล่าหวังที่มีผู้อื่นเป็นพยานให้ได้ ฉะนั้นตัดออกจากการเป็นผู้ต้องสงสัยได้ชั่วคราว สำหรับสองคนนี้ดื่มสุราหรือไม่กันแน่นั้น ข้าสามารถทดสอบได้เจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งได้ยินแล้วสนใจใคร่รู้ครามครัน นางเอ่ยถามขึ้น “ทดสอบอย่างไรรึ”