หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 153
พวกบ่าวรับใช้รู้สึกหนังศีรษะชาวาบๆ ก้มหน้าลงอย่างพร้อมเพรียงกัน เหงื่อเย็นไหลหยดลงมา ต่างคิดในใจคล้ายคลึงกันว่า คุณหนูสามน่ากลัวเหลือเกิน วันหน้าไม่กล้าซุบซิบนินทานางสุ่มสี่สุ่มห้าอีกแล้ว
เฉียวเจาพึงพอใจในผลลัพธ์อยู่มาก นางเห็นว่าโบยลงโทษเสร็จก็เดินเยื้องย่างกลับเข้าเรือน
เหล่าเฉียนสารถียังคุกเข่าอยู่ในโถง เขาเห็นเฉียวเจามองมาก็เกือบร้องไห้ด้วยความตกใจ
ฮือๆๆ เมื่อวานข้าทิ้งคุณหนูสามไล่ตามม้าไป วันนี้ยังถูกคนใช้เป็นเครื่องมือเล่นงานนางอีก คุณหนูสามต้องจัดการข้าอย่างหนักหน่วงเป็นแน่กระมัง ร่างกายของข้าย่ำแย่กว่าเหล่าตู้กับภรรยาตั้งมาก โดนโบยสิบทีคงเหลือชีวิตแค่ครึ่งเดียวแล้ว
ขณะมองสีหน้านิ่งเฉยของหลานสาวคนที่สาม ในใจฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งปนเปไปด้วยอารมณ์หลายหลาก
นางรู้สึกไม่วายว่าหลานเจาไม่มีท่าทางยโสโอหังเฉกในกาลก่อน แต่กระทำการใดกลับยิ่ง…แค่กๆ ยิ่งแข็งกร้าวขึ้น ทั้งแข็งกร้าวอย่างที่ทำให้ผู้อื่นว่ากล่าวอะไรไม่ได้
ลึกๆ ในใจหญิงชราบังเกิดความยินดีจางๆ
หลานเจาเคยถูกล่อลวงไป เกรงว่าคงไม่ได้ออกเรือนแล้ว วันหน้าหากลูกหลานสกุลหลีพบปัญหาใด ด้วยความเด็ดขาดฉับไวของหลานเจา ไม่แน่ว่าอาจปกป้องทายาทรุ่นหลังให้อยู่รอดปลอดภัยได้
สำหรับสกุลหลีแล้ว นี่จะมิใช่เรื่องโชคดีอย่างหนึ่งหรือ
เพียงสงสารหลานเจาที่ได้แต่อยู่ในจวนสกุลหลีไปจนแก่เฒ่า ปล่อยให้วัยสาวอันแสนงดงามผ่านไปอย่างสูญเปล่า ชั่วชีวิตนี้ไร้คู่ครองเคียงข้าง
หญิงชราตกลงปลงใจว่าต่อจากนี้จะดีต่อหลานสาวคนที่สามที่สามารถปกป้องลูกหลานของตนได้ให้มากขึ้น
เสียงสะอึกสะอื้นของหลีเจี่ยวดังขึ้น ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งขมวดคิ้ว เอ่ยกับเฉียวเจาว่า “เจาเจา เหล่าเฉียนผู้นี้ ตามความเห็นเจ้าสมควรลงโทษเช่นไรดี”
หลีเจี่ยวหยุดร้องไห้ มองฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งอย่างตะลึงลาน
ท่านย่าหมายความว่าอะไร แม้ว่าหลีซานจะเป็นผู้เคราะห์ร้าย ทว่าท่านย่าจะลงโทษบ่าวไพร่ต้องถามความเห็นของเด็กรุ่นหลานตั้งแต่เมื่อไรกัน
หรือว่าในใจท่านย่า หลีซานมีน้ำหนักมากกว่านางแต่แรก ถึงขั้นเหนือกว่าน้องสาม
น้องสามเป็นทายาทสืบสกุลรุ่นหลานเพียงหนึ่งเดียวของจวนตะวันตก จึงเป็นไปไม่ได้ที่หลีซานจะได้รับความสำคัญมากกว่าเขา
หลีเจี่ยวปัดการคาดคะเนนี้ทิ้งไป แต่เมื่อคิดถึงว่าในใจฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง หลีเจามีความสำคัญเกินหน้าตนไปแล้ว นางกัดริมฝีปากล่างจนห้อเลือดด้วยความเกลียดชัง
เรื่องของแม่นมทำให้นางควบคุมตนไม่อยู่ นางจะผิดพลาดซ้ำสองอีกไม่ได้ นางไม่มีมารดาแล้ว ถ้าแม้แต่ท่านย่าก็ไม่ชมชอบ นางจะไม่มีที่ปักหลักยืนอยู่ในเรือนหลังแห่งนี้อย่างแท้จริง
หลีเจี่ยวนิ่งเงียบไม่ร่ำไห้ต่ออีก
เฉียวเจามองเหล่าเฉียนแวบหนึ่งแล้วกล่าวยิ้มๆ กับฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง “ท่านย่า ถ้าถามความเห็นข้า ไม่ต้องลงโทษเหล่าเฉียนเจ้าค่ะ ให้เขาปลดระวางไปใช้ชีวิตบั้นปลายก็แล้วกัน”
ในยุคนี้ขอเพียงเป็นตระกูลที่พอมีฐานะอยู่บ้าง จะไม่มีทางขายบ่าวไพร่ที่ปรนนิบัติรับใช้มาสิบกว่าปีโดยไม่ทำความผิดใดออกไปให้เป็นที่ติฉินนินทาลับหลัง คนที่เจ็บป่วยหรือแก่ชราจนทำงานไม่ได้ก็สามารถกลับเรือนไปให้ลูกหลานเลี้ยงดูได้ ส่วนทางจวนยังคงจ่ายค่าแรงให้ครึ่งหนึ่งทุกเดือน
“ปลดระวาง?” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งดูจะคาดไม่ถึงอยู่สักหน่อยที่เมื่อครู่หลานสาวยังจัดการคนอย่างแข็งกร้าวกลับมาอ่อนโยนนุ่มนวลอีกครั้ง
หลังรถม้าพัง เหล่าเฉียนถึงกับทอดทิ้งคุณหนูไว้ไปไล่ตามม้าแก่ตัวหนึ่ง ต่อให้ไม่ได้เจตนาก็ไม่อาจละเว้นโดยง่ายเช่นกัน
หลังได้รู้ต้นสายปลายเหตุของเหตุการณ์เมื่อวานอย่างกระจ่างชัด พอฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งคิดถึงว่าหลานสาวที่น่าสงสารต้องตัวสั่นเทาอยู่กลางสายฝนที่ตกหนัก แต่เจ้าสารถีบัดซบกลับไปไล่ตามม้าแล้วก็โมโหจนควันออกหู
นี่ยังดีที่บังเอิญได้พบกับหมอเทวดา ถ้าไม่ได้พบเล่า
“เหล่าเฉียนอาจมิได้มีใจคิดร้ายเหมือนอย่างเหล่าตู้กับภรรยา แต่เรื่องที่ก่อไว้โดยไม่ตั้งใจก็ยังเป็นความผิดไม่น้อย เหตุใดเจาเจาถึงใจกว้างเพียงนี้”
ครั้นฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งถามจบ หลีเจี่ยวอ้าปากพูดขึ้นบ้าง “น้องเจา เป็นเพราะข้าใช่หรือไม่”
นางถามเสียงแผ่วเบาคล้ายขุ่นเคืองคล้ายตัดพ้อ เมื่อไม่มีเสียงร้องไห้น่าหงุดหงิดใจ นางกลับดูน่าสงสารมากยิ่งขึ้น
แต่ถ้อยวาจานี้กลับเชือดเฉือนทุกคำ
ทำผิดเฉกเดียวกัน มิไยว่าตั้งใจหรือไม่ ในเมื่อล้วนเป็นความผิดไม่น้อย ไฉนก่อนหน้านี้ยืนกรานเสียงแข็งว่าต้องลงโทษสถานหนักให้ได้ มิหนำซ้ำยังยืนดูที่นอกประตูด้วยตนเอง แต่กับเหล่าเฉียนกลับใจกว้างถึงเพียงนี้
หลีเจี่ยวไม่ได้พูดตรงๆ ทว่าความหมายที่แฝงอยู่ชัดเจนเป็นอันมาก
เพียงเพราะว่าเหล่าตู้กับภรรยาเป็นคนของนาง คนที่คุณหนูสามจ้องเล่นงานคือพี่สาวต่างมารดาอย่างนางเท่านั้นเอง
เฉียวเจามองไปทางหลีเจี่ยวด้วยสายตาเรียบเฉย รอยยิ้มบนริมฝีปากค่อยๆ ขยายกว้างขึ้น “พี่เจี่ยวจะถามถึงเรื่องลงโทษเหล่าตู้กับภรรยาใช่หรือไม่เจ้าคะ”
นางหัวเราะเบาๆ “คิกๆ แน่นอนว่าเพราะเห็นแก่หน้าพี่เจี่ยว ข้าถึงยั้งมือไว้ไมตรี ไม่อย่างนั้นเจ้าสุนัขรับใช้ที่สาดโคลนใส่ข้าสองคนนั้น จะโดนแค่โบยสิบไม้แล้วส่งกลับไปที่เรือนเดิมอย่างง่ายดายปานนั้นหรือ”
เฉียวเจาคิดๆ แล้วพยักหน้า “อืม อย่างไรก็ต้องตัดลิ้นแล้วค่อยส่งกลับไป จะได้ไม่พูดจาส่งเดชที่เรือนเดิมแล้วข้าไม่รู้เรื่องรู้ราวอีก”
หลีเจี่ยวอึ้งงัน “…”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งได้ฟังเหตุผลนี้แล้ว ออกคำสั่งให้ลากตัวเหล่าตู้กับภรรยาที่โดนโบยเข้ามา นางกล่าวตักเตือน “กลับถึงเรือนเดิมแล้วต้องอยู่อย่างสงบเสงี่ยม หากกล้าปั้นน้ำเป็นตัวใส่ร้ายเจ้านายในจวนจนมีเสียงระแคะระคายออกมาเพียงนิด จะไม่ละเว้นพวกเจ้าง่ายๆ แน่”
เหล่าตู้กับภรรยาอับอายขายหน้าจนไม่เหลือศักดิ์ศรีใดๆ ขณะนี้มีเพียงความขวัญหนีดีฝ่อ ทั้งคู่พร่ำรับรองว่าไม่กล้าพูดจาส่งเดช ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งถึงรามือเท่านี้ บอกให้คนพาพวกเขาออกไป
เหล่าเฉียนที่คุกเข่าอยู่ด้านข้างลอบปาดน้ำตา คุณหนูสามบอกให้เขาปลดระวาง คงมิได้แกล้งพูดกลับกันกระมัง
“สำหรับเหล่าเฉียน…” เฉียวเจาหันไปมองฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งแล้วถอนใจเบาๆ “เขาป่วยแล้ว มิใช่เพราะประมาทเผอเรอ แต่เพราะเป็นโรคหลงลืมถึงได้กระทำผิดพลาดเช่นนี้ คนมิใช่เทวดา ใครบ้างไม่เคยทำผิด นับประสาอะไรกับคนป่วยผู้หนึ่ง ดังนั้นท่านย่าให้เขาปลดระวางเถอะแล้วค่อยหาสารถีที่เหมาะสมคนใหม่เป็นอันสิ้นเรื่องเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกับเฉียวเจาสบตากัน
ดวงตาของเด็กสาวดำขลับสุกใส เพราะแววตาสงบนิ่ง มันจึงดูกลมโตและงามตาเย็นใจประหนึ่งพลอยนิลดำ ทำให้คนที่ได้เห็นนึกชมชอบจากส่วนลึกของจิตใจ
ทั้งเด็ดขาดฉับไวทั้งเมตตาปรานี ตั้งแต่เมื่อไรกันที่หลานสาวตัวน้อยที่มักทำให้นางขมวดคิ้วด้วยความปวดเศียรเวียนเกล้าผู้นั้นเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งรู้สึกลำคอตีบตันอยู่บ้าง ละม้ายมีบางสิ่งบางอย่างเบ่งบานอยู่ในใจจนนางกล่าววาจาไม่ออกไปชั่วขณะ นางยกมือตบแขนเฉียวเจาเบาๆ พร้อมกับพยักหน้า
เหล่าเฉียนรับฟังอย่างงงงัน พลันน้ำตาไหลอาบดวงหน้าแก่ชรา
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกระแอมกระไอให้คอโล่งเอ่ยขึ้นว่า “เหล่าเฉียน มัวอึ้งอะไรอยู่เล่า ไปห้องคลังเบิกค่าแรงของเดือนนี้แล้วกลับเรือนไปเสีย”
เหล่าเฉียนได้สติเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน เขาโขกศีรษะเสียงดังให้ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งก่อน ต่อจากนั้นก็โขกศีรษะให้เฉียวเจาทันที “ขอบคุณคุณหนูสามๆๆ”
ภรรยาของเหล่าเฉียนโขกศีรษะตาม ปากก็พร่ำพูดขอบคุณไม่หยุด
พวกเขาสองคนเดินออกมาช้ากว่าเหล่าตู้กับภรรยาหนึ่งก้าว หนนี้พวกบ่าวรับใช้ที่มุงดูอยู่เงียบกริบไร้สุ้มเสียง
ทุกคนเบนสายตาไปมองหน้าประตูอีกคำรบหนึ่งอย่างอดใจไม่อยู่
คราวนี้ไม่มีใครอยู่บนบันได แต่ความรู้สึกของแต่ละคนยามนึกถึงคุณหนูสามอีกคราก็ต่างไปจากเดิมเป็นอันมาก
ท่าทีของเหล่าเฉียนกับภรรยาทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งสะทกสะท้อนใจสุดจะกล่าวเช่นเดียวกัน นางทอดสายตามองไปที่เฉียวเจาโดยไม่รู้ตัวพลางคิดคำนึงในใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ ภาพความร้ายกาจของหลานเจาที่ประทับลงในใจพวกบ่าวไพร่ตอนลงโทษเหล่าตู้กับภรรยาอย่างรุนแรงเมื่อครู่นี้ก็สลายหายไปประหนึ่งลมวสันต์พัดเป่าให้สายฝนเหือดแห้ง หลานเจาคงคาดการณ์ถึงผลลัพธ์นี้ไว้แต่แรก หรือจะเป็นดั่งเช่นคำกล่าวที่ว่าตั้งใจปลูกดอกไม้กลับไม่ออกดอก ไม่ตั้งใจปักกิ่งหลิวกลับงอกงามให้ร่มเงานะ
เฉียวเจานิ่งเงียบเยือกเย็นดุจเก่า ปล่อยให้ใครๆ มองอย่างพินิจพิจารณาตามสบาย
นางปรารถนาแค่อยู่อย่างสงบสุข รวมถึงไม่ละอายแก่ใจตนเองก็เท่านั้น
เมื่อเหตุการณ์วุ่นวายผ่านพ้นไปในที่สุด ยามหน้าประตูก็เข้ามารายงานอีกแล้ว
“ฮูหยินผู้เฒ่า มีคนหนุ่มผู้หนึ่งมาเยือน บอกว่ารับคำสั่งของท่านหมอเทวดานำของมามอบให้คุณหนูสามขอรับ”