หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 158
ล่วงผ่านเข้าเดือนหก ดอกทับทิมสีแดงเพลิงในเรือนเล็กฝั่งซ้ายของเรือนหยาเหอผลิบานแล้วร่วงโรย ร่วงโรยแล้วผลิบาน จนออกผลอันเป็นนิมิตหมายมงคล
วันนี้เฉียวเจาได้รับเทียบใบหนึ่งจากซูลั่วอีแห่งจวนเสนาบดีกรมพิธีการ เป็นเทียบเชิญเข้าร่วมงานสังสรรค์ส่วนตัวของเหล่าผู้ก่อตั้งชุมนุมฟู่ซาน
ในที่สุดก็ได้รับเทียบที่เฝ้าคอยมาเนิ่นนานใบนี้ เมื่อมีโอกาสพบปะกับญาติผู้น้องสกุลโค่วเสียที จิตใจที่ตึงเครียดของเฉียวเจาก็ผ่อนคลายลง
วันงานสังสรรค์กำหนดเป็นวันที่หกเดือนหก ส่วนสถานที่กลับเป็นที่ที่น่าสนใจไม่น้อย นั่นคือจวนกู้ชางป๋อ…ท่านตาของหลีเจี่ยว
เฉียวเจาค้นหาความทรงจำในหัวอย่างละเอียดถึงคิดขึ้นได้ว่าตู้เฟยเสวี่ยญาติผู้น้องของหลีเจี่ยวเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมชุมนุมฟู่ซาน
ชุมนุมฟู่ซานต่างจากชุมนุมกวีทั่วไป สตรีที่มีความถนัดด้านใดด้านหนึ่งล้วนมีสิทธิ์เข้าชุมนุมได้ ส่วนตู้เฟยเสวี่ยเข้าร่วมได้เพราะเชี่ยวชาญทักษะการขี่ม้า
และแล้ววันที่หกเดือนหกก็มาถึงอย่างรวดเร็ว
เฉียวเจาตื่นแต่เช้าตรู่ แต่งกายเรียบร้อยแล้วพาอาจูไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าที่เรือนชิงซง
“เจาเจา วันนี้มาแต่เช้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
นางคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งแล้วกล่าวยิ้มๆ “ท่านย่า วันนี้ข้าต้องไปที่จวนกู้ชางป๋อเจ้าค่ะ”
“เอ๊ะ?” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งวางถ้วยน้ำชาลง แย้มยิ้มพลางพูด “เจาเจาก็ไปเหมือนกันรึ พี่เจี่ยวของเจ้าเพิ่งออกไปได้ไม่นาน บอกว่าคุณหนูตู้ของจวนกู้ชางป๋อเชิญนางไปเที่ยวเล่นที่จวน”
สตรียุคนี้ช่างรู้จักหาความบันเทิงเริงใจจริงๆ ในสมัยของพวกนางมีชุมนุมนั้นชุมนุมนี้ที่ใดกัน นึกว่านางไม่เคยผ่านวัยสาวมาก่อนหรือไร ชุมนุมพวกนี้ยกเหตุผลเป็นฉากบังหน้าว่าประลองทักษะความสามารถบ้าง พัฒนาฝีมือไปพร้อมกันบ้าง แท้จริงแล้วคือเด็กสาวกลุ่มหนึ่งออกจากเรือนไปสนุกสนานกันตามสบาย
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งปัดความอิจฉาอยู่ในใจลึกๆ ทิ้งไป กระแอมกระไอเบาๆ คราหนึ่ง กล่าวต่อว่า “ไปเถอะ ถึงที่นั่นแล้วอยู่กับพี่เจี่ยวของเจ้าก็แล้วกัน”
“เจ้าค่ะ”
บัดนี้เฉียวเจามีรถม้ากับสารถีประจำตัวแล้วจึงออกจากเรือนได้สะดวกมาก นางพาอาจูติดตามไป
เฉินกวงซึ่งได้รับคำบอกกล่าวล่วงหน้าคาบต้นหญ้าก้านหนึ่งยืนพิงอยู่ข้างรถม้ารับแดดด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย
“คุณหนู วันนี้จะไปที่ใดขอรับ” พอเห็นเฉียวเจาออกมา เฉินกวงยืนตัวตรงคายต้นหญ้าทิ้งและเผยรอยยิ้มสดใส
“ฟันเขียวหมดแล้ว” นางเดินผ่านข้างกายเฉินกวงไป เกาะมืออาจูก้าวขึ้นรถม้า
“หือ?” เฉินกวงมีสีหน้างุนงง
เฉียวเจาหันหน้ามาพูดอธิบาย “หญ้าบางชนิดมีพิษ วันหน้าอย่าเอามาเคี้ยวเล่นส่งเดช”
เฉินกวงได้ยินแล้วหน้าเปลี่ยนสีน้อยๆ หมุนกายก้มตัวไอเสียงดังลั่น
“เจ้าเคี้ยวหญ้าต้นนี้ไม่เป็นอะไร แค่มีสีเลอะติดฟันได้ง่าย คนอื่นเห็นแล้วจะหัวเราะขบขัน” เฉียวเจาเอ่ยเตือนด้วยสีหน้าจริงจัง
ถึงอย่างไรก็ไปร่วมงานเลี้ยงของพวกสตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวง นางไม่หวังว่าสารถีต้องมีรูปลักษณ์กิริยาเข้าทีปานใด ขอแค่เป็นคนปกติสักหน่อย
อาจูล้วงคันฉ่องเล็กเท่าฝ่ามืออันหนึ่งจากแขนเสื้อยื่นส่งให้ด้วยสีหน้าปราศจากอารมณ์ใดๆ
เฉินกวงชายตามองเงาตนเองในคันฉ่องแวบเดียวก็หน้าแดงแจ๋
สมควรตายนัก ใครนะที่บอกข้าว่าทำท่าคาบต้นหญ้าก้านหนึ่งเคี้ยวเล่นจะดูสง่าชวนมองมาก
ดูเหมือนจะเป็นเจ้าเซ่าจือกระมัง กลับไปต้องสู้กับเจ้านั่นให้รู้ดำรู้แดง!
จะว่าไปก็ไม่ได้พบท่านแม่ทัพตั้งนานแล้ว คิดถึงท่านแม่ทัพเหลือเกิน
“คุณหนู วันนี้ไม่ใช่วันที่ไปอารามซูอิ่ง พวกเราจะไปที่ใดกันขอรับ” เฉินกวงเอ่ยถามประโยคนี้แล้วใจเต้นตึกตัก
จะนัดหมายกับท่านแม่ทัพไปเที่ยวกันสองต่อสองหรือไม่นะ
โอ๊ย ขืนต้องคอยลุ้นเอาใจช่วยเช่นนี้ไปเรื่อยๆ หัวใจน้อยๆ ของข้าคงทนไม่ไหวแล้ว
“ไปจวนกู้ชางป๋อ”
สารถีน้อยห่อเหี่ยวใจทันใด “ขอรับ”
เฉียวเจาซึ่งจับต้นชนปลายไม่ถูกโดยสิ้นเชิงเข้าไปในรถม้าแล้วนึกในใจ ถ้าสารถีผู้นี้ไม่ปกติเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ นางอาจจะพิจารณาขอคืนคน รู้สึกสังหรณ์ใจไม่วายว่าจะโดนวางกับดักในวันหน้า
ดีที่สารถีน้อยมีฝีมือไม่เลวเลย รถม้าคันใหม่ก็เป็นของชั้นดี เฉียวเจาหลับตาทำสมาธิ ไม่นานนักก็ถึงจวนกู้ชางป๋อ
พอนางลงจากรถม้า เฉินกวงพูดทวงความชอบขึ้นว่า “คุณหนู ข้าควบรถม้าได้เร็วกระมัง ท่านดูสิ รถม้าของจวนเราก็เพิ่งหยุดจอดเมื่อครู่นี้เองนะขอรับ”
เฉียวเจามองตามไปก็เห็นหลีเจี่ยวก้าวลงรถม้า ตู้เฟยเสวี่ยย่ำเท้าลงบันไดมาต้อนรับ บริเวณโดยรอบมีรถม้าทยอยแล่นมาจอดเป็นระยะ
เฉียวเจาพาอาจูเดินเข้าไป พลางส่งเสียงกล่าวทักทายว่า “พี่เจี่ยว”
หลีเจี่ยวหันหน้ามาแล้วพูดอย่างแปลกใจ “น้องเจา…”
ตู้เฟยเสวี่ยด้านข้างชิงถามขึ้นก่อน “เจ้ามาได้อย่างไร”
ทั้งสี่ทิศตกอยู่ในความเงียบ สตรีสูงศักดิ์ที่ลงรถม้าแล้วพากันทอดสายตามองมา
แววตาของหลีเจี่ยวไหวระริก นางยื่นมือไปจูงมือเฉียวเจาพร้อมกล่าวยิ้มๆ “น้องเฟยเสวี่ย น้องเจามาพร้อมกับข้าเอง”
ตู้เฟยเสวี่ยได้ยินหลีเจี่ยวเล่าเรื่องที่แม่นมถูกไล่ออกจากจวนมาก่อน กำลังเสาะหาโอกาสระบายความแค้นแทนญาติผู้พี่สักตั้ง นางฟังคำนี้แล้วแค่นเสียงเยาะ “พี่เจี่ยว ท่านเป็นคนจิตใจดีอย่างนี้เอง คนบางคนไร้ยางอาย ท่านยังจะช่วยรักษาหน้าให้นางอีก”
เฉียวเจาอ้าปากพูดเสียงเรียบ “วันนี้มิใช่วันเปิดชุมนุมของชุมนุมฟู่ซานหรือ ถ้าข้าจำได้ไม่ผิดล่ะก็ สถานที่จัดงานคือจวนของท่าน คุณหนูตู้กลับพูดว่าไร้ยางอายไม่หยุดปาก ดูเหมือนจะผิดมารยาทรับรองแขกนะ”
“ฮ่าๆ ข้าว่านะคุณหนูหลีซาน วันเปิดชุมนุมของเราเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าด้วย ถ้าเป็นแขกของข้า ข้าถึงจะต้อนรับตามมารยาท สำหรับคนหน้าหนาที่มาเองโดยไม่ได้รับเชิญ หรือว่าข้ายังต้องปูเสื่อต้อนรับขับสู้ด้วย”
แม้แต่พี่เจี่ยวยังไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมงานสังสรรค์ของชุมนุมฟู่ซาน แต่เพราะจัดงานในเรือนนางพอดี ตามธรรมเนียมแล้วนางในฐานะเจ้าภาพสามารถพาพี่น้องมาด้วยได้
ในจวนนี้มีนางเป็นคุณหนูเพียงคนเดียว นางเชิญญาติผู้พี่มา คนอื่นๆ ไม่มีทางพูดอะไรมาก แต่หลีซานถึงกับตามมาด้วยเช่นนี้ออกจะหน้าด้านหน้าทนเกินไปกระมัง
“น้องเฟยเสวี่ย เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ข้าเชิญน้องเจามาเป็นเพื่อนข้าจริงๆ…”
ตู้เฟยเสวี่ยตัดบทหลีเจี่ยว “พี่เจี่ยว ท่านไม่ต้องกลบเกลื่อนแทนนาง นางเห็นท่านมาร่วมงานสังสรรค์แล้วอิจฉาตาร้อนชัดๆ ถึงได้แร่ตามมาเอง ถ้าพวกท่านมาด้วยกันจริงๆ ไฉนไม่นั่งรถม้าคันเดียวกันเล่า”
ความใจดีของหลีเจี่ยวทำให้คนอารมณ์ร้อนอย่างตู้เฟยเสวี่ยยิ่งเกลียดชังเฉียวเจามากขึ้น
พี่เจี่ยวน่าสงสารเหลือเกิน โดนหลีซานข่มเหงรังแกตั้งแต่เด็ก เพราะเป็นคนใจดีเฉกนี้!
สตรีสูงศักดิ์หลายคนหยุดฝีเท้ารอชมเรื่องสนุกอยู่ด้านข้าง
หลีเจี่ยวมองเฉียวเจาแวบหนึ่งก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าลำบากใจ “เป็นเพราะ…เพราะว่าน้องเจาเคยชินกับการนั่งรถม้าของตนเอง น้องเฟยเสวี่ย พวกเรารีบเข้าไปกันเถอะ…”
ตู้เฟยเสวี่ยคิดตามทันแล้ว นางปิดปากอุทานขึ้น “ไม่ใช่กระมัง พี่เจี่ยว จวนของพวกท่านมีรถม้าคันเดียวมิใช่หรือ”
นางมองปราดไปที่รถม้าคันเล็กไม่ไกลนัก พูดอย่างเป็นเดือดเป็นแค้น “คนที่มีมารดาก็ดีอย่างนี้นี่เอง ยังมีรถม้าประจำตัวอีกด้วย พี่เจี่ยว เช่นนี้ไม่ยุติธรรมต่อท่านเกินไป ท่านต่างหากที่เป็นบุตรสาวคนโตของภรรยาเอกนะ! นางเป็นบุตรสาวที่เกิดกับภรรยาคนที่สอง ถือดีอะไรอยู่เหนือท่านไปเสียทุกเรื่อง”
เจียงซือหร่านที่เพิ่งลงจากรถม้าได้ยินคำพูดนี้เต็มสองหูพอดี
นางเป็นบุตรสาวโทนของเจียงถังผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลิน ตั้งแต่วัยเยาว์ก็ถูกเลี้ยงดูประคบประหงมตามใจอย่างล้นเหลือไม่น้อยหน้าไปกว่าองค์หญิง ทว่าเรื่องกำพร้ามารดาแต่เด็กเป็นปมในใจของนางเฉกเดียวกัน
ด้านเฉียวเจาเยือกเย็นดุจเก่าแม้จะถูกมองสำรวจด้วยสายตาต่างๆ กันไป จุดเดียวที่สร้างความประหลาดใจให้นางคือญาติผู้พี่ผู้น้องคู่นี้พูดยาวเหยียดรับลูกกันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย ไม่ให้โอกาสนางได้เปิดปากโดยสิ้นเชิง
เฉียวเจาล้วงเทียบเชิญจากแขนเสื้อยื่นให้ตู้เฟยเสวี่ย พูดเสียงราบเรียบ “เป็นคุณหนูตู้พูดได้ถูกต้อง ข้าไม่ได้มาเป็นเพื่อนพี่เจี่ยวจริงๆ ตอนนี้ข้าเข้าไปได้แล้วใช่หรือไม่”