หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 160
บทที่ 160
ถึงเฉียวเจาไม่รู้โดยละเอียดว่ามีธรรมเนียมที่ชาวชุมนุมฟู่ซานคนใหม่ต้องสุ่มเลือกไม้ติ้วนี้อยู่ ทว่าเห็นคนรอบตัวล้วนไม่มีท่าทางผิดปกติ ก็รู้ว่ามีกฎข้อนี้อยู่จริง แม้จะเห็นได้ชัดว่าตู้เฟยเสวี่ยเจาะจงพุ่งเป้ามาที่นางอย่างเห็นได้ชัด
การละเล่นในหมู่สตรีไม่มีอย่างอื่นนอกเหนือจากดีดพิณ เดินหมาก เขียนอักษร วาดภาพ ร่ำสุราประชันกลอน หรือดื่มชาชมดอกไม้ สำหรับแม่นางเฉียวซึ่งมักเป็น ‘บุตรสาวเรือนอื่น’ ที่ถูกพวกบิดามารดายกเป็นแบบอย่างให้บุตรสาวตนในความสามารถเชิงนี้มาแต่ไหนแต่ไร ย่อมมิระย่ออันใด
นางยื่นมือไปสุ่มไม้ติ้วแท่งหนึ่งในกระบอกโดยปราศจากท่าทีอิดเอื้อน
“ข้าขอดูหน่อยสิว่าคุณหนูหลีซานสุ่มได้ไม้ติ้วอะไร” ตู้เฟยเสวี่ยโบกมือคราหนึ่ง สาวใช้ที่ถือกระบอกไม้ติ้วห้าสีในมือก็ถอยออกไป นางรับไม้ติ้วจากมือเฉียวเจาแท่งนั้นมากวาดตาอ่านปราดเดียว คลี่ยิ้มเอ่ยกับเจียงซือหร่าน “คุณหนูเจียง หัวข้อที่จะทดสอบชาวชุมนุมคนใหม่วันนี้ ต้องให้ท่านเป็นผู้คิดแล้ว”
นางกลัวเฉียวเจาจะไม่กระจ่างแจ้ง ชี้ตัวอักษร ‘เจียง’ ที่สลักไว้บนไม้ติ้วพลางอธิบาย “ชุมนุมฟู่ซานของเรามีรองหัวหน้าห้าคน ทุกคราที่มีคนใหม่เข้าร่วมชุมนุม ก็จะสุ่มไม้ติ้วเลือกรองหัวหน้าคนหนึ่งมาตั้งหัวข้อให้ คุณหนูหลีซานสุ่มได้ตัว ‘เจียง’ จึงหมายถึงคุณหนูเจียง”
เฉียวเจาผงกศีรษะเป็นเชิงว่าฟังเข้าใจแล้ว นางมองไปทางเจียงซือหร่านด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “เข้าใจแล้ว เช่นนั้นเชิญคุณหนูเจียงตั้งหัวข้อเถอะ”
เจียงซือหร่านยื่นมือหยิบไม้ติ้วในมือตู้เฟยเสวี่ยมาชายตามองเล็กน้อย นางเพ่งมองเฉียวเจาชั่วครู่ก่อนเผยรอยยิ้มออกมา “ชุมนุมฟู่ซานไม่มีคนใหม่มาเข้าร่วมนานมากแล้ว อีกทั้งเว้นระยะไปนานช่วงหนึ่งถึงเปิดชุมนุม หัวข้อในคราวนี้ ขอเวลาให้ข้าได้คิดดูดีๆ สักหน่อย ทุกท่านสนุกกันต่อไปก่อนเถอะ”
แท้จริงแล้วงานสังสรรค์ของชุมนุมฟู่ซานก็คือคำอ้างให้เหล่าสตรีชั้นสูงได้มาพบปะกัน เพียงแต่ฟังดูมีระดับชั้นสูงกว่าเท่านั้นเอง
ตู้เฟยเสวี่ยในฐานะเจ้าภาพตั้งหัวข้อประชันกลอนว่า ‘ดอกบัว’ คนที่สนใจสามารถแสดงฝีมือได้ ถ้าไม่สนใจก็จะเดินหมาก ชมดอกไม้ หรือจะจับกลุ่มพูดคุยสัพเพเหระกันก็ย่อมได้
แน่นอนว่าเฉียวเจาไม่คิดจะแต่งกลอนยอดเยี่ยมเลอเลิศน่าทึ่งอันใดเพื่อชิงความโดดเด่น นางให้ความสนใจไปที่ตัวโค่วจื่อโม่ญาติผู้น้องทางตระกูลมารดาทั้งหมด
วันนี้โค่วจื่อโม่สวมเสื้อผ่าหน้าตัวยาวลายดอกหญ้าสีม่วงดอกติงเซียง นั่งหลบมุมจิบชาเงียบๆ เห็นแล้วรู้สึกประหนึ่งว่าถูกห้อมล้อมด้วยความเศร้าจางๆ ชั้นหนึ่ง
เฉียวเจานิ่งคิดแล้วก้าวขาจะเข้าไปหา กลับถูกซูลั่วอีรั้งตัวไว้
“น้องหลีซาน พวกเราประมือกันสักกระดานเป็นอย่างไร”
“อือ ได้เจ้าค่ะ” กับคำขอเล็กน้อยของซูลั่วอีที่ชักนำเข้าสู่ชุมนุม เฉียวเจาย่อมบอกปัดได้ไม่ถนัดปาก
เหนือหลังคาระเบียงยาวของศาลามีเถาไม้เลื้อยเกาะคลุมจนเต็มผลิดอกเล็กๆ ห้อยระย้าแกว่งไกวไปมายามสายลมโบกโบยมา เย็นสบายมากกว่าในเรือน
เฉียวเจากับซูลั่วอีนั่งหันหน้าเข้าหากันตรงโต๊ะหินที่ตั้งกระดานหมากไว้พร้อมแต่แรกแล้วเริ่มดวลหมาก ด้วยจิตใจของนางจดจ่ออยู่ที่โค่วจื่อโม่ พลันเห็นอีกฝ่ายลุกขึ้นเดินตามคุณหนูคนหนึ่งออกไป ก็ชักร้อนใจขึ้นมากะทันหัน ส่งผลให้วางหมากจู่โจมเร็วขึ้น
ซูลั่วอีโดนรุกไล่จนถอยแล้วถอยอีก ไม่นานนักก็มีเหงื่อผุดซึมตามหน้าผาก ผลลัพธ์เป็นที่แน่ชัดแล้วว่านางเป็นฝ่ายปราชัย
เด็กสาวมองดูกระดานหมากที่ตนพ่ายแพ้ย่อยยับ กำเม็ดหมากในมือแน่นกะพริบตาปริบๆ แล้วร่ำไห้
แม่นางเฉียว “…” ข้ามิได้เจตนานะ!
จูเหยียนคุณหนูเจ็ดของจวนไท่หนิงโหวเดินมายืนชมศึกอยู่ข้างกระดานหมากตั้งแต่เมื่อไรก็สุดรู้เปล่งเสียงหัวเราะเบาๆ “ลั่วอี ที่แท้เจ้าเดินหมากแพ้แล้วจะร้องไห้ขี้มูกโป่งหรือนี่ น่าเสียดายที่ฝีมือข้าสู้เจ้าไม่ได้เลยไม่มีโอกาสได้เห็นเรื่อยมา”
เมื่อโดนสหายล้อเลียน ซูลั่วอีกระดากอายยกใหญ่ รีบหยิบผ้าเช็ดหน้าซับหางตา นางพูดอธิบายกับเฉียวเจา “ทำให้น้องหลีซานหัวเราะเยาะแล้ว อันที่จริงข้าไม่ได้ร้องไห้นะ แต่มีทรายเข้าตาเท่านั้นเอง”
เฉียวเจา “…” แสดงท่าทางว่าเชื่อดูเสแสร้งเกินไป แต่จะพูดตรงๆ ก็กลัวคุณหนูซูจะร้องไห้อีก เฮ้อ…จู่ๆ รู้สึกว่าการวิสาสะกับเด็กสาวอย่างหลีเจี่ยวทำได้ง่ายกว่า
ถ้ามายั่วโทสะนางก็เล่นงานกลับไปตรงๆ เป็นอันสิ้นเรื่อง ร้ายมาร้ายตอบได้ตามสบาย
ซูลั่วอีประจักษ์ได้เช่นกันว่าตนเองอ้างเหตุผลได้ไม่เอาไหนอย่างมาก จึงกล่าวอย่างตรงไปตรงมาเสียเลย “เรื่องฝีมือเดินหมาก ข้านึกมาตลอดว่าในหมู่สตรีสูงศักดิ์ของเมืองหลวงไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ข้าได้ แต่ข้าเป็นเช่นกบในกะลาแล้ว ความจริงเมื่อครู่นี้ข้ารู้สึกตื่นเต้นมาก เมื่อคิดว่าวันหน้ามีน้องหลีซานช่วยชี้แนะ ทักษะการเดินหมากจะต้องรุดหน้าขึ้นอีกขั้นได้ ถึงร้องไห้ด้วยความปีติยินดีอย่างห้ามใจไม่อยู่”
จูเหยียนหัวร่อเบาๆ อยู่ด้านข้าง “ลั่วอี เจ้าทำให้คุณหนูหลีซานตกใจหมด” ว่าแล้วก็พูดยิ้มๆ กับเฉียวเจา “คุณหนูหลีซาน ท่านอย่าถือโทษเลยนะ นางเป็นพวกหมกมุ่น”
ซูลั่วอีสนิทสนมกับจูเหยียนมากอย่างเห็นได้ชัด ได้ยินคำนี้ก็ลุกขึ้นดึงม้านั่งหินไปหาอีกฝ่ายแล้วพูดเสียงขุ่นๆ “เจ้าเก่งจริงก็เอาเลย”
จูเหยียนโบกมือเป็นพัลวัน “ข้ายังเดินหมากสู้เจ้าไม่ได้เลยนะ ไม่จำเป็นต้องแสดงฝีมืออันอ่อนด้อยแล้ว”
ซูลั่วอีถึงคลายความขัดเคืองลงบ้าง นางทำเสียงฮึเบาๆ แล้วกล่าว “ข้าใคร่ครวญอยู่ว่าด้วยฝีมือเดินหมากของน้องหลีซาน ถึงพี่ชายเจ้าออกโรงก็ต้านทานไว้ได้ไม่นานนัก”
ในใจของจูเหยียน พี่ชายของตนนั้นย่อมดีไปหมดทุกอย่าง แต่เห็นการดวลหมากระหว่างซูลั่วอีกับเฉียวเจาเมื่อครู่ นางไม่อาจพูดสิ่งที่ไม่ตรงกับใจออกมาได้ แต่ยังพูดโต้กลับสหายว่า “เอ่ยถึงพี่ชายข้าด้วยเหตุใดกัน พี่ชายข้าจะสู้คุณหนูหลีซานได้หรือไม่ ข้าไม่รู้ แต่เอาชนะเจ้าได้ไม่มีปัญหา”
“ยังไม่เคยดวลหมากกัน ข้าไม่ยอมรับหรอก”
จูเหยียนทอดสายตามองไปที่ไกลๆ แวบหนึ่งก่อนพูดกลั้วเสียงหัวเราะเบาๆ “อันที่จริงวันนี้พี่ชายข้าก็มาด้วย น่าเสียดายที่ไม่สะดวกให้พวกเจ้าได้พบ”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ นางเบนสายตามองไปทางเฉียวเจา
คุณหนูหลีซานน่าจะรู้จักกับพี่ชายของนาง แม้ว่าเขามิได้พูดอย่างโจ่งแจ้ง แต่ปิดบังนางไม่ได้
ส่วนว่าพี่ชายนางกับคุณหนูหลีซานรู้จักกันได้อย่างไรนั้นนางไม่รู้ได้
เดิมจูเหยียนมิใช่คนสอดรู้สอดเห็น แต่เรื่องที่เกี่ยวกับพี่ชายของตนย่อมต่างออกไป
เพียงเสียดายที่การพูดเรื่องส่วนตัวกับคนรู้จักผิวเผินเสียมารยาทเกินไป นางเอ่ยถามคำนี้ออกจากปากไม่ได้ จึงเก็บข้อสงสัยไว้ในใจ ไพล่ไปกล่าวเตือนว่า “คุณหนูเจียงเชี่ยวชาญการละเล่นขว้างธนูลงคนโท* ขี่ม้า และยิงธนู ประเดี๋ยวนางต้องตั้งหัวข้อให้คุณหนูหลีซาน เป็นไปได้มากว่าจะเกี่ยวกับเรื่องที่ตนเองถนัด ท่านเตรียมตัวเตรียมใจไว้บ้าง”
“ขอบคุณคุณหนูจูที่ชี้แนะ” เฉียวเจาไม่เห็นร่างโค่วจื่อโม่ทางหางตาแล้ว แม้ความรู้สึกที่นางมีต่อจูเหยียนกับซูลั่วอีสองคนจะไม่เลวเลย แต่กลับไม่มีแก่ใจจะคุยต่อ จึงลุกขึ้นกล่าวเป็นเชิงขอขมา “ข้าจะไปห้องเวจ พี่สาวทั้งสองจะไปด้วยกันหรือไม่เจ้าคะ”
ซูลั่วอีหลุดหัวเราะพรืด “มิใช่เด็กสาวตัวน้อยๆ แล้วสักหน่อย ไปห้องเวจยังต้องมีเพื่อนด้วยหรือ น้องหลีซานไปเถอะ ข้าจะเดินหมากกับจูเหยียนสักกระดานผ่อนคลายอารมณ์ เมื่อครู่นี้โดนเจ้าทำร้ายจิตใจรุนแรงเหลือเกิน”
เฉียวเจาขอให้สาวใช้นางหนึ่งนำทางนางไปยังห้องเวจ พอออกมาก็บอกกับสาวใช้ว่า “เจ้าไปทำงานของตนเองเถอะ ข้าเห็นกอกุหลาบทางนั้นกำลังบานสะพรั่ง ว่าจะเดินไปดูสักหน่อย”
วันนี้ตู้เฟยเสวี่ยรับรองแขกสตรีในสวน ย่อมต้องเตรียมการไว้ไม่ให้ใครก็ได้ทะเล่อทะล่าเข้ามาส่งเดช เพื่อให้สตรีทั้งหลายทำอะไรได้อย่างสะดวกสบาย
สาวใช้ได้ยินแล้วย่อกายคำนับ “คุณหนูเชิญตามสบาย หากมีเรื่องใดจะสั่งกำชับก็เรียกบ่าวได้เจ้าค่ะ”
ในที่สุดก็ไม่มีคนอื่นแล้ว เฉียวเจาก้าวเท้าเดินไปทางที่โค่วจื่อโม่ลับร่างไป
นางเดินลึกเข้าไปกลางหมู่แมกไม้ร่มครึ้มทุกทีๆ ได้ยินเสียงอ่อนนุ่มแผ่วเบาของเด็กสาวลอยแว่วมาจากหลังพุ่มไม้ “เวยอวี่ เจ้าอย่าทุกข์ใจไปเลย กลับไปข้าจะลองถามท่านปู่ดูว่ามีข่าวของท่านลุงหรือไม่”
เฉียวเจาจดจำได้ว่านี่เป็นเสียงของโค่วจื่อโม่
น้ำเสียงของเด็กสาวอีกคนหนึ่งเย็นชาอยู่บ้าง “ไม่ต้องหรอก ท่านพ่อข้าถูกองครักษ์จินหลินจับตัวไป พี่จื่อโม่ไปถามต้องทำให้ท่านเสนาบดีโค่วลำบากใจเป็นแน่ ดีไม่ดียังจะเทศนาท่านอีกด้วย พี่จื่อโม่ พวกเราสนิทกันมานานถึงเพียงนี้ วันนี้ข้าแค่จะกล่าวอำลาท่าน เห็นทีว่าหลังจากนี้ข้าคงไม่ได้เข้าร่วมงานสังสรรค์ของชุมนุมฟู่ซานอีกแล้ว”
* ขว้างธนูลงคนโท เป็นการละเล่นของจีนโบราณ วิธีเล่นคือขว้างลูกธนูให้เสียบลงไปในคนโท ตัดสินผลแพ้ชนะตามจำนวนลูกธนูที่ขว้างลงคนโท