หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 161
บทที่ 161
สุ้มเสียงของเด็กสาวนางนั้นค่อนข้างเฉยเมย แต่ด้วยมีพุ่มไม้คั่นกลางอยู่จึงมองไม่เห็นท่าทาง เมื่อได้ยินโดยไม่ทันตั้งตัวอย่างนี้ คลับคล้ายมีนัยปลงใจเด็ดเดี่ยวอย่างปราศจากสาเหตุ
เฉียวเจายื่นมือแหวกพุ่มไม้เบาๆ เห็นโค่วจื่อโม่ยืนสนทนาอยู่ใต้ต้นไห่ถังกับเด็กสาวสวมชุดกระโปรงสีบัวโรยผู้หนึ่ง
โค่วจื่อโม่หันหน้ามาทางเฉียวเจา ส่วนเด็กสาวชุดสีบัวโรยหันหลังให้นางเลยเห็นรูปโฉมไม่ชัดเจน
นางอาศัยอยู่ที่อำเภอจยาเฟิงทางทิศใต้เป็นเวลานาน แม้จะเป็นญาติสนิทกับโค่วจื่อโม่ แต่จริงๆ แล้วไปมาหาสู่กันไม่บ่อยนัก ญาติผู้น้องคนนี้จะมีสหายสนิทคนใดบ้าง นางสุดปัญญาจะรู้ได้
เวยอวี่?
เฉียวเจาทบทวนความทรงจำในหัวสมองรอบหนึ่งก็ไม่พบอะไร เห็นได้ว่าแม่นางน้อยหลีเจาไม่คุ้นเคยกับชื่อนี้ดุจเดียวกัน
นางจ้องเขม็งไปที่แผ่นหลังของเด็กสาวชุดสีบัวโรยผู้นั้น ได้ยินเสียงของโค่วจื่อโม่แฝงรอยเสียใจ “เวยอวี่ เจ้าอย่าวิตกกังวลเกินไป ไม่แน่ใจว่าเรื่องราวมิได้เลวร้ายอย่างที่เจ้านึกภาพไว้ ท่านลุงเป็นขุนนางสุจริต กององครักษ์จินหลินจะน่ากลัวปานใด แต่องครักษ์จินหลินพวกนั้นก็เป็นคนเหมือนกัน เมื่อเป็นคนก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไร้มโนสำนึกแม้แต่น้อย ข้าเคยถามท่านพ่อแล้วได้ความว่ามีขุนนางใหญ่ในราชสำนักไม่น้อยล้วนขอความเมตตาให้ท่านลุงอยู่…”
เด็กสาวแค่นหัวเราะเสียงหนึ่ง “พูดถึงมโนสำนึกไปก็ป่วยการ ท่านพ่อข้าถวายฎีกาฟ้องร้องสมุหราชเลขาธิการหลันซาน ฮ่องเต้กลับเห็นว่าเป็นการใส่ร้ายป้ายสีขุนนางคนสำคัญ สั่งให้องครักษ์จินหลินจับท่านพ่อเข้าคุกหลวง หากพูดว่าคนในโลกมีมโนสำนึกบ้างเป็นบางครั้ง ข้าเชื่อ แต่บอกว่าองครักษ์จินหลินพวกนั้นมีมโนสำนึก ข้าไม่เชื่อหรอก”
เด็กสาวกล่าวถึงตรงนี้แล้วน้ำเสียงสั่นเครือ ยื่นมือกุมมือของโค่วจื่อโม่ไว้ “พี่จื่อโม่ ท่านพ่อข้าถูกจับไปครานี้เกรงว่าจะเคราะห์ร้ายมากกว่าเคราะห์ดี ถึงตอนนั้นคนทั้งตระกูลจะถูกดึงติดร่างแหหรือไม่ก็ยังไม่รู้ ข้ามาร่วมงานของชุมนุมฟู่ซานเป็นครั้งสุดท้ายก็อยากบอกท่านว่าถ้าวันหน้าเกิดอะไรขึ้นกับข้า ท่านจะเข้ามายุ่งเกี่ยวไม่ได้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นถ้าทำให้ท่านเดือดร้อนไปด้วยอีกคน ข้าจะยิ่งไม่สบายใจ”
“เวยอวี่ เจ้าพูดอะไรของเจ้า หากเกิดเรื่องขึ้นกับเจ้า ข้าจะนิ่งเฉยดูดายได้เช่นไร”
“พี่จื่อโม่ ข้าขอพูดอย่างตรงไปตรงมาเถอะ แม้ท่านจะเป็นคุณหนูของจวนเสนาบดี แต่เมื่อเจอกับเรื่องของพวกผู้ใหญ่จริงๆ จะทำอะไรได้เล่า องครักษ์จินหลินพวกนั้นล้วนเชื่อฟังคำสั่งของฮ่องเต้ ส่วนฮ่องเต้ก็เชื่อคำพูดของหลันซาน หากล่วงเกินพวกเขาขึ้นมาจริงๆ ถึงเป็นท่านเสนาบดีโค่วเกรงว่ายัง…”
โค่วจื่อโม่รีบปิดปากเด็กสาวไว้ “เวยอวี่ อย่าพูดแล้ว เกิดถูกใครได้ยินเข้าจะไม่ดี วันนี้หลันซีหนงก็อยู่ด้วยนะ”
เด็กสาวดึงมือนางออก ยิ้มอย่างสลดหดหู่ใจ “เรื่องมาถึงขั้นนี้ ข้าไม่มีอะไรต้องกลัวแล้ว พี่จื่อโม่กับข้าไม่เหมือนกัน หรือท่านไม่คำนึงถึงวงศ์ตระกูลตนเองบ้าง”
โค่วจื่อโม่นิ่งอึ้งไป
ในมุมที่เฉียวเจายืนอยู่ มองเห็นดวงตาคู่งามของญาติผู้น้องมีน้ำตาเอ่อท้นอย่างเศร้าสร้อยแกมหมดหนทาง นางกล่าวพึมพำ “เพราะอะไรคนดีๆ มักไม่สมหวังนะ”
เด็กสาวยื่นมือไปกอดโค่วจื่อโม่ไว้ พูดแกมสะอื้น “พี่จื่อโม่ ท่านต้องจำคำข้าไว้ หาไม่แล้วหากเป็นเพราะ…เพราะเรื่องของตระกูลข้าทำให้ท่านพลอยเดือดร้อนไปด้วย ข้าจะทุกข์ใจมากขึ้น”
เฉียวเจายิ่งฟังยิ่งไม่เข้าที นางเบือนหน้าไปเห็นแมวขาวตัวหนึ่งเยื้องย่างฝีเท้ามาอย่างเอื่อยเฉื่อย พลันบังเกิดความคิดหนึ่งก็ก้มตัวลงอุ้มมันขึ้นมา
เจ้าแมวขาวตัวใหญ่อ้วนกลมขนเรียบลื่นเป็นมันกำลังเดินเล่นอย่างสำราญใจ จู่ๆ ก็ถูกคนอุ้มมีหรือจะยอม มันถีบเท้าหลังสุดแรงกระโดดออกจากอ้อมแขนของเฉียวเจา ทิ้งตัวลงบนพื้นแล้วหันมาชูหางใส่นางทำเสียงขู่ฟ่อๆ
“ใครน่ะ”
โค่วจื่อโม่หันขวับมา เด็กสาวในชุดกระโปรงสีบัวโรยนางนั้นก็หมุนกายมาด้วย เฉียวเจาถึงมองเห็นหน้านางได้ถนัดถนี่
เป็นเด็กสาวสะสวยหมดจดคนหนึ่ง นัยน์ตาสีดำสนิท อาจเพราะฉาบด้วยม่านน้ำตาเลยทอประกายวาววับเป็นพิเศษ
เมื่อเห็นรูปโฉมโนมพรรณของนาง เฉียวเจากลับได้รู้ศักดิ์ฐานะของคุณหนูผู้นี้จากในความทรงจำ นางคือบุตรสาวของท่านผู้ตรวจการโอวหยาง แม่นางน้อยหลีเจาเคยพบในงานเลี้ยงชมดอกไม้หลายหน เพียงแต่มิได้สนใจชื่อเสียงเรียงนามของคุณหนูผู้นี้
โอวหยางเวยอวี่กลับโฉมงามพริ้มเพราสมกับชื่อของนางที่หมายถึงฝนพรำ
เฉียวเจายกมือแหวกกิ่งไม้ออกเดินเข้าไป ริมฝีปากประดับรอยยิ้มบางๆ “คุณหนูโค่ว คุณหนูโอวหยาง”
เพราะบิดาของหลีเจาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านปู่ของโค่วจื่อโม่ คุณหนูของทั้งสองตระกูลจึงได้พบปะกันบ่อยครั้ง มาตรว่าโค่วจื่อโม่จะไม่พึงใจที่มีคนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นกะทันหัน แต่นางมีนิสัยเรียบร้อยใจเย็น ยังคงเผยรอยยิ้มนุ่มนวล “ที่แท้เป็นคุณหนูหลีซาน ท่านมาที่นี่ได้อย่างไรกัน”
“ข้าไปห้องเวจ ตอนกลับมาเห็นแมวขาวน่ารักตัวหนึ่ง อยากจะเล่นกับมันก็เลยไล่ตามมันมา” เฉียวเจาอมยิ้มชี้แมวขาวที่ยังขู่ฟ่อๆ ไม่หยุด
แมวขาวตัวนั้นทำหน้าระแวงระวัง เห็นเฉียวเจาชี้นิ้วมาที่ตนเองก็ส่งเสียงร้องอย่างไม่พอใจ ยังตวัดสายตามองพวกโค่วจื่อโม่กับโอวหยางเวยอวี่สองคนปราดหนึ่งเป็นเชิงขู่ ก่อนสะบัดหางเดินอาดๆ จากไป
“คุณหนูหลีซานชอบความสนุกสนานจริงๆ” โค่วจื่อโม่เอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ ทั้งไม่เสียมารยาททั้งไม่เป็นกันเอง ก็คือท่าทีต่อคนแปลกหน้าที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ต่อกัน
คิดไปถึงท่าทางชื่นชมและเลื่อมใสจากจริงใจที่ญาติผู้น้องคนนี้เคยมีให้ตน เฉียวเจาสะทกสะท้อนใจเหลือจะกล่าว ดูทีวันนี้อยากจะดึงดูดความสนใจของน้องจื่อโม่ก่อนแล้วค่อยเสาะหาโอกาสพบกับพี่ใหญ่อีกที คงมิใช่เรื่องง่ายดายปานนั้น
กระนั้นแม่นางเฉียวมิกลัวเรื่องยาก สำหรับนางแล้วไม่มีโอกาสก็ต้องสร้างโอกาส นางมาถึงตรงนี้ได้แล้วยังมีอะไรยากลำบากไปกว่านี้อีกเล่า
“เป็นท่านเองหรือ” โอวหยางเวยอวี่เอ่ยปากขึ้น
เฉียวเจามองไป นัยน์ตาสีดำขลับสุกใสทอประกายวูบหนึ่งด้วยความงุนงงไม่รู้ว่าถ้อยคำนี้มีที่มาเช่นใด
โอวหยางเวยอวี่ยังกล่าวถ้อยคำแปลกๆ ยิ่งขึ้นอีก “ท่านคือบุตรสาวของอาลักษณ์หลี?”
เฉียวเจาผงกศีรษะ “ใช่แล้ว”
สกุลหลีมีนายท่านสามคนเป็นข้าราชสำนัก ท่านพ่อของนางรั้งตำแหน่งอาลักษณ์ของสำนักราชบัณฑิต ท่านอาถูกส่งไปรับตำแหน่งต่างเมือง ส่วนท่านลุงของจวนตะวันออกมีตำแหน่งเป็นถึงรองเสนาบดีกรมอาญา
ในงานต่างๆ ของเมืองหลวง เมื่อเอ่ยถึงจวนสกุลหลี ใครๆ ล้วนคิดถึงท่านรองเสนาบดีหลี น้อยคนนักจะเอ่ยถึงท่านพ่อของนาง
ดูท่าทางของโอวหยางเวยอวี่ก็ไม่คล้ายว่าท่านพ่อล่วงเกินคนในตระกูลนาง
ความคิดในหัวเฉียวเจาแล่นเร็วรี่ นางนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นได้โดยพลัน
หนที่รถม้าของนางพังตอนกลับจากอารามซูอิ่ง ได้ยินจากเหอซื่อในภายหลังว่าท่านพ่อออกไปตามหานาง ผลปรากฏว่าทะเลาะกับองครักษ์จินหลิน ยังก่นด่าพวกเขาว่าให้ร้ายคนดีสุจริต ด้วยเหตุนี้ถึงลืมเรื่องที่ออกตามหานางไป
เหอซื่อกลัวนางจะไม่พอใจท่านพ่อ ยังตั้งใจแก้ต่างให้ว่า ‘จริงๆ แล้วท่านพ่อห่วงใยเจ้ามาก ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ฝ่าสายฝนที่ตกหนักออกไป แต่พอเขาสนใจเรื่องเรื่องหนึ่งแล้วก็จะลืมอื่นเรื่องอื่นไปจนหมด อันที่จริงก็เพราะเขาเป็นคนซื่อตรงใจเดียวเหลือเกิน’
วันนั้นเฉียวเจาได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าอันใดเรียกว่า ‘ความรักทำให้คนตาบอด’
ที่แท้ลืมเรื่องตามหาบุตรสาวเพราะทะเลาะกับคนอื่นก็พูดแก้ตัวเช่นนี้ได้หรือ
ครั้นนึกโยงไปถึงถ้อยคำที่ได้ยินเมื่อครู่ เฉียวเจาก็ฉุกคิดขึ้นว่า คงมิใช่ว่าท่านพ่อทะเลาะกับองครักษ์จินหลินวันนั้นเพราะท่านพ่อของคุณหนูโอวหยางกระมัง
“คุณหนูหลี…” โอวหยางเวยอวี่เรียกขาน
“หือ?”
โอวหยางเวยอวี่ย่อกายแสดงคารวะต่อเฉียวเจาอย่างเป็นพิธีรีตองกะทันหัน “ข้าขอขอบคุณใต้เท้าหลีแทนท่านพ่อข้าด้วย วันที่ท่านพ่อข้าถูกจับกุมไป เป็นใต้เท้าหลีที่ก้าวออกมาต่อว่าองครักษ์จินหลิน พวกเขาถึงไม่ได้มัดมือมัดเท้าท่านพ่อข้า ให้ท่านได้รักษาเกียรติยศสุดท้ายอันน้อยนิดไว้”
เป็นเช่นนี้ดังคาด แม่นางเฉียวรำพึงในใจ