หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 162
บทที่ 162
เฉียวเจายอบกายคำนับตอบ “คุณหนูโอวหยางเกรงใจไปแล้ว”
โอวหยางเวยอวี่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งถึงเอ่ยถาม “คุณหนูหลี หลังจากนั้นพวกองครักษ์จินหลินคงสร้างความลำบากใจให้ใต้เท้าหลีแล้วกระมัง”
“เอ๊ะ?”
“วันนั้น ข้าเห็นพวกเขาพาตัวใต้เท้าหลีไป”
“ไม่มีเลย ท่านพ่อข้าไม่เป็นไร” เฉียวเจาถอนใจเฮือกหนึ่ง ท่านพ่อที่เคารพน่ะไม่เป็นไร แต่คนที่มีปัญหาคือนาง
นางให้คนส่งแพรพรรณไปให้ท่านพ่อ ผลปรากฏว่าเขาวิ่งโร่มาเทศนานางยกหนึ่ง บอกนางว่าวันหน้าห้ามคบหาสหายสุ่มสี่สุ่มห้า ยังกำชับกำชาเป็นพิเศษอีกว่าให้ตัดสัมพันธ์กับเจียงหย่วนเฉาที่พบกันที่ร้านน้ำชาอู่เว่ย
ตอนหลังนางต้องยืนยันว่ารู้จักกับเจียงหย่วนเฉาอย่างผิวเผิน ไม่นับเป็นสหายอย่างเด็ดขาด ท่านพ่อที่เคารพซึ่งอบรมสั่งสอนเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามเต็มๆ ถึงได้รามือแล้วกลับไปอย่างพึงพอใจ
“ใต้เท้าหลีไม่เป็นอะไรก็ดี ไม่เช่นนั้นท่านพ่อข้าต้องไม่สบายใจแน่” โอวหยางเวยอวี่กล่าวจบแล้วยกมือป้องตา เอ่ยกับโค่วจื่อโม่ว่า “พี่จือโม่ อากาศร้อนอยู่บ้าง ข้าอยากกลับไปทางศาลาแล้วเจ้าค่ะ”
โค่วจื่อโม่เห็นสีหน้าของนางกลับเป็นปกติก็ถอนใจโล่งอก นางพูดกับเฉียวเจาตามมารยาท “คุณหนูหลีซาน พวกข้าจะกลับไปแล้ว ท่านล่ะ”
เฉียวเจารับรู้ได้ชัดเจนว่าทีท่าของโค่วจื่อโม่ตอนนี้เป็นกันเองกว่าก่อนหน้านี้หลายส่วน จากจุดนี้เห็นได้ว่าคุณหนูโอวหยางผู้นี้มีความสำคัญในใจนางมากพอดู
บางทีนางอาจจะเข้าทางโอวหยางเวยอวี่ไปตีสนิทกับญาติผู้น้องได้
พอความคิดนี้ผุดวาบขึ้นในใจเฉียวเจา นางแย้มปากยิ้มพลางกล่าว “ไม่รู้แมวตัวนั้นไปทางใดแล้ว ข้าก็อยากกลับเช่นกัน”
ทั้งสามกลับไปที่ศาลาด้วยกัน ตู้เฟยเสวี่ยเห็นโค่วจื่อโม่ก็ยื่นมือดึงตัวนางไปกล่าวว่า “คุณหนูโค่ว ข้ากำลังจะส่งคนไปตามหาท่านอยู่พอดีเลยนะ”
“มีอะไรหรือ…”
ตู้เฟยเสวี่ยเอ่ยอธิบายยิ้มๆ “ทุกคนจะต่อคำโคลงคู่กันสนุกๆ ถ้าต่อไม่ได้โดนปรับให้ดื่มสุรา ท่านเป็นมือหนึ่งเรื่องต่อบทโคลงกลอน จะขาดท่านไปได้อย่างไรกัน”
“แต่ว่าข้า…” โค่วจื่อโม่อดหันศีรษะมองไปทางโอวหยางเวยอวี่ไม่ได้ แต่นางก้าวเท้าเดินไปด้านข้างแล้ว
“มาเร็วเข้าเถอะ คุณหนูโค่ว” ตู้เฟยเสวี่ยฉุดตัวโอวหยางเวยอวี่ไปนั่งลงข้างโต๊ะยาวเสียเลย นางปรายหางตามองเสี้ยวหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายพร้อมกับยิ้มเยาะในใจ
นี่ก็คือผู้ไม่รู้กาลเทศะคนหนึ่ง ทั้งที่บิดาตนก่อความผิดยังจะมาร่วมงานเลี้ยงอะไรกัน นางมิได้ส่งเทียบไปให้ด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าโอวหยางเวยอวี่รู้เวลาและสถานที่ของงานเลี้ยงครั้งนี้จากที่ใดถึงกับเสนอหน้ามาถึงที่นี่ได้
จนปัญญาที่โอวหยางเวยอวี่เดิมก็เป็นคนในชุมนุมฟู่ซาน มีเทียบเข้างานอยู่ในมือ นางจะไล่คนออกไปก็ทำไม่ได้
“น้องหลีซาน มาต่อคำโคลงคู่ดีหรือไม่” ซูลั่วอีกวักมือเรียกเฉียวเจา
นางคลี่ยิ้มตอบ “ไม่เจ้าค่ะ ข้าชมดูก็พอ”
พอเฉียวเจากล่าวเช่นนี้ ซูลั่วอีนึกว่านางไม่ชำนาญในเชิงนี้ จึงไม่คะยั้นคะยอต่อให้นางต้องลำบากใจ
พวกคุณหนูที่เข้าร่วมต่อบทโคลงกลอนใช้โต๊ะยาวเป็นเส้นแบ่งคนออกเป็นสองฝ่าย กฎการแข่งขันคือฝ่ายหนึ่งแต่งวรรคแรก อีกฝ่ายต่อวรรคหลัง ถ้าต่อโคลงไม่ออก ทุกคนในฝ่ายนั้นต้องดื่มสุรา จากนั้นสลับกันไปมาเช่นนี้
พวกคุณหนูมาร่วมงานเลี้ยงเล็กๆ นี้กันไม่น้อย แต่โต๊ะตัวยาวมีที่นั่งจำกัด คนที่กล้านั่งล้วนต้องถนัดการต่อบทโคลงกลอน ดังนั้นมีคนไม่น้อยที่ยืนชมความสนุกอยู่รอบๆ เฉกเดียวกับเฉียวเจา
ตู้เฟยเสวี่ยเป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงคราวนี้ นางย่อมต้องเป็นผู้ดำเนินการแข่งขัน
ครั้งนี้ใช้วิธีโยนเหรียญอีแปะเลือกฝ่าย ออกหัวหมายถึงฝ่ายที่อยู่ฝั่งซ้ายของโต๊ะ ออกก้อยหมายถึงฝ่ายที่อยู่ฝั่งขวา
เด็กสาวตวัดข้อมือโยนเหรียญออกไป มันตกลงบนโต๊ะหินออกด้านหัว นางกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ให้คุณหนูหลันแต่งวรรคแรกก่อนเถอะ”
หลันซีหนงเป็นหลานสาวของสมุหราชเลขาธิการหลันซาน และหนึ่งในรองหัวหน้าชุมนุมฟู่ซาน ด้วยฐานะของนางได้เป็นฝ่ายเริ่มแต่งโคลงก่อน คนอื่นย่อมพูดอะไรไม่ได้
เฉียวเจามองดูอยู่ด้านข้าง เห็นโอวหยางเวยอวี่จู่ๆ ก็เหลือบตามองหลันซีหนงแล้วหลุบเปลือกตาลงอย่างรวดเร็ว ทว่าสายตาชั่วแวบเดียวนั้นเป็นความเกลียดชังที่น่าตกใจ
ครั้นนึกไปถึงร่องรอยของการปลงใจเด็ดเดี่ยวในน้ำเสียงของนางตอนสนทนากับโค่วจื่อโม่กลางพุ่มไม้ลึก เฉียวเจาชักเอะใจว่า หรือว่าวันนี้โอวหยางเวยอวี่มาร่วมงานเลี้ยงเพื่ออำลาโค่วจื่อโม่เป็นคำเท็จ ความจริงคือนางคิดจะทำอะไรบางอย่างกับหลันซีหนงหลานสาวของสมุหราชเลขาธิการหลันซานต่างหาก
เฉียวเจายิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าเป็นไปได้ ไม่เช่นนั้นเมื่อลองยืนอยู่ในมุมของโอวหยางเวยอวี่แล้ว นางคิดไม่ออกจริงๆ ว่าบุตรสาวที่บิดาถูกองครักษ์จินหลินจับตัวไปจะเป็นตายร้ายดีก็ยังไม่รู้ได้ผู้หนึ่ง ถึงจะอยากกล่าวลากับสหายรัก แต่มาร่วมงานเลี้ยงเช่นนี้ออกจะไม่ถูกกาลเทศะจนเกินไป
เมื่อขบคิดถ้อยคำที่โอวหยางเวยอวี่พูดกับโค่วจื่อโม่ก่อนหน้านี้อย่างละเอียด กลับคล้ายบอกว่าหากนางประสบกับความเดือดร้อน ให้โค่วจื่อโม่วางตัวเป็นคนนอก อย่าดึงตนเข้ามาพัวพันมากกว่า
พอเฉียวเจาคาดเดาไปในทางนี้ก็มุ่งความสนใจส่วนใหญ่ไปที่ตัวโอวหยางเวยอวี่
“ได้สิ ข้าเป็นคนขึ้นต้นวรรคแรกเอง พวกท่านตั้งใจฟังนะ” หลันซีหนงมีสีหน้าเรียบเฉย นางแต่งคำโคลงวรรคแรกออกมาด้วยน้ำเสียงไม่เร็วไม่ช้า
“หงส์เกาะเกี่ยวกิ่งก้านกิ่งเกี่ยวเกาะหงส์”
เสียงเอื้อนคำโคลงวรรคนี้ดังขึ้น ภายในศาลาตกอยู่ในความเงียบ ทุกคนล้วนคิดไม่ถึงว่าคำโคลงแรกที่เป็นเช่นการโยนกระเบื้องล่อหยกจะเป็นโคลงกลบททวนอักษรที่มีความยากพอสมควร ‘หงส์เกาะเกี่ยวกิ่งก้านกิ่งเกี่ยวเกาะหงส์’ ไม่ว่าจะอ่านเรียงจากหน้าไปหลังหรือย้อนจากหลังไปหน้าล้วนเหมือนกัน อีกทั้งยังบ่งบอกเป็นนัยๆ ได้ว่าผู้แต่งโคลงขึ้นต้นมีศักดิ์ฐานะเหนือกว่าผู้อื่นระดับหนึ่ง
คนไม่น้อยอดหันไปมองหลันซีหนงไม่ได้ เห็นเด็กสาวท่าทางหยิ่งทะนงในชุดสีน้ำเงินก็ลอบทอดถอนใจเฮือก
มีชาติตระกูลดีย่อมทำตามความพอใจได้จริงๆ
“เชิญต่อโคลงวรรคหลังเถอะ” หลันซีหนงกล่าวเสียงเอื่อยๆ
เหล่าคุณหนูฝั่งตรงข้ามบ้างขมวดคิ้วบ้างตรึกตรอง และมีบางคนยังคิดอะไรไม่ออกแล้วมองไปทางเด็กสาวที่นั่งอยู่ตรงกลางอย่างห้ามใจไม่อยู่
เด็กสาวสวมชุดกระโปรงสีฟ้านวล คาดหวีสับผมประดับไข่มุก สีหน้าแววตาเฉยเมย นางคือสวี่จิงหง หลานสาวของรองสมุหราชเลขาธิการสวี่
คล้ายรับรู้ถึงสายตาของทุกคนได้ นางมิได้ทำให้ใครๆ ผิดหวัง อ้าปากกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นๆ “ข้าต่อโคลงว่า ธารแอบอิงเขาเคียงเขาอิงแอบธาร”
“หงส์เกาะเกี่ยวกิ่งก้านกิ่งเกี่ยวเกาะหงส์ ธารแอบอิงเขาเคียงเขาอิงแอบธาร”
“โคลงดี!” พวกคุณหนูฝ่ายเดียวกับสวี่จิงหงพากันตบมืออย่างโล่งอก
สตรีสูงศักดิ์ที่ยืนมุงดูอยู่รอบๆ พยักหน้าตาม คุณหนูสวี่ต่อคำโคลงวรรคหลังได้เยี่ยมจริงๆ
ใบหน้าของสวี่จิงหงกลับเย็นชาดุจเก่า ปราศจากร่องรอยลำพองใจแต่อย่างใด
หลันซีหนงมองนางแวบหนึ่งแล้วหันขวับไปมองตู้เฟยเสวี่ย “คุณหนูตู้ ข้าคิดว่าน่าจะเปลี่ยนกฎสักหน่อย”
ตู้เฟยเสวี่ยหลากใจอยู่บ้าง แต่ไม่กล้าล่วงเกินอีกฝ่าย นางรีบเอ่ยถามขึ้น “คุณหนูหลันเห็นว่าควรจะเปลี่ยนอย่างไรดี”
หลันซีหนงหยักยิ้ม “ในเมื่อพวกเราทั้งหลายเป็นกลุ่มสตรีที่มีความสามารถโดดเด่นที่สุดของเมืองหลวง แค่ขึ้นต้นโคลงวรรคแรกกับต่อโคลงวรรคหลังออกจะง่ายดายเกินไป ข้าว่าเอาอย่างนี้เถอะ ฝ่ายหนึ่งขึ้นต้นโคลงวรรคแรก อีกฝ่ายต้องต่อวรรคหลังได้อย่างน้อยสองประโยคถึงนับว่าผ่านด่าน และถ้าต่อได้สามประโยคจะได้เพิ่มอีกหนึ่งแต้ม แล้วตอนสลับกันถ้าอีกฝ่ายต่อโคลงได้แค่สองประโยค ฝ่ายนั้นก็ต้องโดนปรับให้ดื่มสุรา ยากมากขึ้นถึงจะสนุกมากขึ้น”
ตู้เฟยเสวี่ยกวาดตามองทุกคนรอบหนึ่ง เห็นหลันซีหนงนิ่งมองอยู่ด้วยสายตากดดัน นางก็พยักหน้า “ข้ารู้สึกว่าข้อเสนอของคุณหนูหลันไม่เลวเลย ไม่ทราบว่าทุกคนเห็นเป็นอย่างไร”
เมื่อเปลี่ยนกฎแล้ว เหล่าคุณหนูในฝ่ายสวี่จิงหงจำต้องคิดคำโคลงอีกประโยคหนึ่ง หลังเวลาผ่านไปหนึ่งป้านชา โค่วจื่อโม่พลันเอ่ยปากขึ้น “ข้าต่อวรรคหลังได้แล้ว เรือลอยล่องคลื่นทบคลื่นล่องลอยเรือ”
“โคลงดี คุณหนูโค่วมีปฏิภาณฉับไวจริงๆ” ทุกคนเอ่ยชมไปตามๆ กัน
“ยังมีประโยคที่สามหรือไม่” หลันซีหนงถามเสียงเรียบ