หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 163
บทที่ 163
เมื่อหลันซีหนงไต่ถามคำนี้ เหล่าคุณหนูของอีกฝ่ายนิ่งเงียบไปกะทันหัน
คำโคลงขึ้นต้นนี้เดิมทีก็ยากมากอยู่แล้ว สามารถต่อวรรคหลังได้มิใช่ง่ายๆ ซ้ำคุณหนูโค่วยังต่อโคลงได้เพิ่มหนึ่งประโยค จะให้คิดประโยคที่สามอีก นั่นเป็นเรื่องยากเย็นเกินไปจริงๆ
ภายในศาลาเงียบเชียบไร้สรรพเสียงใดไปชั่วขณะ พวกคุณหนูบ้างยกถ้วยน้ำชาขึ้นพลางใช้ความคิดอย่างหนัก บ้างก็ขยำผ้าเช็ดหน้าในมือโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าใครก็รู้ว่าถ้าต่อโคลงประโยคที่สามได้ในเวลานี้ จะเป็นเรื่องเชิดหน้าชูตาอย่างยิ่ง
สายลมโชยมาพัดกิ่งเถาวัลย์สีเขียวที่ห้อยลงมาจากหลังคาศาลาปลิวลอยขึ้น หอบกลิ่นหอมรวยรินเข้ามาข้างใน แต่ไม่มีผู้ใดมีแก่ใจชื่นชมดื่มด่ำกับมัน
หลันซีหนงเปล่งเสียงหัวร่อเบาๆ “พี่น้องทั้งหลายต่อโคลงประโยคที่สามได้หรือไม่”
สวี่จิงหงโบกพัดกลมในมือไปมาเบาๆ ไม่มีท่าทางร้อนรนสักเศษเสี้ยว
“คุณหนูสวี่คิดออกแล้วหรือยัง” หลันซีหนงอ้าปากถาม
สตรีทุกคนมองไปทางสวี่จิงหงด้วยสายตาวาดหวัง
สมุหราชเลขาธิการหลันซานและรองสมุหราชเลขาธิการสวี่หมิงต๋าต่างมีกิตติศัพท์เป็นผู้มากความสามารถเลื่องลือไปทั่ว บุตรสาวที่ถือกำเนิดในตระกูลปัญญาชนเฉกนี้ย่อมต้องเก่งกาจในเชิงโคลงฉันท์กาพย์กลอนมากกว่าสตรีในตระกูลขุนน้ำขุนนางอยู่สามส่วน
เห็นทุกคนมองมา สวี่จิงหงเพียงกล่าวเสียงเฉยชา “คิดไม่ออก ไยคุณหนูหลันไม่ลองถามคนอื่น”
ใครเป็นผู้กำหนดว่าท่านปู่ของข้าเป็นรองสมุหราชเลขาธิการ ข้าก็สมควรต่อคำโคลงได้ดีกันล่ะ สวี่จิงหงแค่นเสียงเยาะในใจ
“ไม่ทราบว่าคนอื่นๆ ว่าอย่างไรเล่า”
พวกคุณหนูฝ่ายสวี่จิงหงเริ่มแตกตื่น
แม้นจะพูดว่าต่อโคลงได้สองประโยคถือว่าผ่านด่าน ไม่ต้องดื่มสุรา แต่คิดออกสามประโยคถึงได้แต้มเพิ่มขึ้น ตอนนี้พวกนางต่อโคลงไม่ออก ถ้าเกิดสลับเป็นพวกนางขึ้นต้นวรรคแรกแล้วอีกฝ่ายต่อได้สามประโยค เช่นนั้นพวกนางยังคงต้องถูกทำโทษตามกฎอยู่ดี
พวกนางล้วนเป็นสตรี ส่วนสุราที่เตรียมไว้ในงานสังสรรค์วันนี้เป็นสุราผลไม้ ถึงดื่มถ้วยหนึ่งก็ไม่นับว่ามีอะไร แต่หากโดนทำโทษให้ดื่มหนึ่งถ้วยก็ต้องอับอายขายหน้าแล้ว
ในงานเลี้ยงประเภทนี้ ใครๆ ต่างอยากได้หน้าได้ตามิใช่หรือ นับประสาอะไรกับพวกนางที่ล้วนเป็นสตรีผู้ได้รับพรจากสวรรค์ให้มีความเป็นเลิศโดดเด่นจนคนรอบข้างอิจฉาตาร้อนมาตั้งแต่วัยเยาว์
“คุณหนูหลันขอเวลาให้พวกข้าคิดต่ออีกสักหน่อย” มีคนเอ่ยขึ้น
ยังมีคนลอบสะกิดโค่วจื่อโม่ “คุณหนูโค่ว ท่านคิดออกหรือไม่”
โค่วจื่อโม่ส่ายหน้าเบาๆ
เรื่องต่อบทโคลงกลอนพรรค์นี้ต้องมีปฏิภาณฉับไวและไหวพริบดีเป็นสำคัญ นางต่อโคลงได้ประโยคหนึ่งแล้ว ไหนเลยจะคิดอีกประโยคหนึ่งออกได้ง่ายดายอย่างนั้น
อย่างไรโคลงวรรคแรกของหลันซีหนงมิใช่คำโคลงคู่สามัญที่ต่อวรรคหลังได้ง่ายๆ
หลันซีหนงเหยียดมุมปากออกแล้วพลันมองไปทางเฉียวเจา เปล่งเสียงกล่าวว่า “คุณหนูหลี…”
เฉียวเจาให้ความสนใจส่วนใหญ่ไปที่ตัวโอวหยางเวยอวี่ จึงไม่รู้ตัวไปชั่วขณะว่าอีกฝ่ายเรียกนาง
ขณะที่ในใจหลีเจี่ยวมาดหมายอยากเป็นดั่งนกร้องคราเดียวดังก้องฟ้า กำลังเค้นสมองอย่างหนักคิดต่อคำโคลงวรรคหลัง นางได้ยินก็เงยหน้าขึ้นขานรับโดยไม่ทันคิด “อื้อ คุณหนูหลันเรียกข้าหรือ”
หลันซีหนงอึ้งไป นางมองเฉียวเจาแล้วพลันหัวเราะ “ข้ากลับลืมไปว่าคุณหนูหลีทั้งสองเป็นพี่น้องกันแท้ๆ”
ถ้อยคำนี้ดังขึ้น หลีเจี่ยวหน้าแดงก่ำทันใด
ในบรรดาคุณหนูทั่วทั้งงานมีนางคนเดียวที่มิใช่ชาวชุมนุมฟู่ซาน ลึกๆ ในใจก็มีความรู้สึกว่าตนต่ำต้อยเกินกว่าจะเอื้อนเอ่ยวาจากับใครอยู่แต่เดิม ยามนี้นางกลายเป็นจุดสำคัญของทุกคน ความอัปยศอดสูที่พุ่งขึ้นกลางอกละม้ายเปลวไฟแผดเผาใจจนนางอยากสิ้นสติให้รู้แล้วรู้รอดไป
กระนั้นถ้าหมดสติไปจะต้องเป็นเรื่องน่าอายยิ่งขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย หลีเจี่ยวจำต้องลอบกำหมัดแน่นจนปลายเล็บจิกเข้ากลางฝ่ามือ ทนกับความอับอายจนหน้าชา
นางไม่สมควรมาเลย โดยเฉพาะเมื่อหลีซานเข้าร่วมชุมนุมฟู่ซานแล้ว นางสมควรหลีกหนีไปให้ไกลๆ จะได้ไม่ต้องขายหน้าผู้คน ล้วนเป็นเพราะหลีซานที่จิตใจชั่วร้าย เหตุใดต้องปิดบังเรื่องนี้ไว้จนมิดชิด
เป็นคราครั้งแรกที่หลีเจี่ยวนึกเสียใจภายหลังที่เข้ามาร่วมวงเช่นนี้ และเกลียดชังเฉียวเจาเพิ่มขึ้นอีกสามส่วน
ดีที่ความกระอักกระอ่วนใจนี้มิได้ดำเนินไปนานนัก หลันซีหนงก็หัวร่อเบาๆ และกล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อเป็นพี่น้องกันแท้ๆ เช่นนั้นก็ไม่ต่างกัน คุณหนูหลี บิดาของท่านคืออาลักษณ์ในสำนักราชบัณฑิตกระมัง”
หลีเจี่ยวมั่นใจว่า ‘คุณหนูหลี’ ในประโยคนี้เรียกขานนางอย่างไร้ข้อกังขา ทว่าคำถามนี้ทำให้ใบหน้านางชาวาบๆ ดุจเดียวกัน
เหล่าสตรีชั้นสูงในงานนี้ถ้ามิใช่คุณหนูจวนท่านโหวท่านป๋อ ก็เป็นหลานสาวของท่านราชมนตรีหรือเสนาบดีสักคน แต่นางกลับเป็นบุตรสาวของอาลักษณ์เล็กๆ ผู้หนึ่งในสำนักราชบัณฑิต คุณหนูหลันเอ่ยถึงบิดาของนางในงานสังสรรค์เฉกนี้มีความหมายใด
“ข้าได้ยินว่าบิดาของท่านเคยเป็นบัณฑิตทั่นฮวา บิดาท่านมีความสามารถสูงปานนี้ ดูทีว่าคุณหนูหลีคงไม่อ่อนด้อย ไม่ทราบว่าคิดคำโคลงวรรคหลังออกหรือไม่” หลันซีหนงไต่ถามด้วยรอยยิ้ม
พอเห็นแววยิ้มจางๆ ที่แผ่ไปไม่ถึงดวงตาของหลันซีหนง หลีเจี่ยวแจ่มแจ้งโดยพลันว่านี่เป็นปัญหาที่บิดาก่อไว้ ฝ่ายตรงข้ามตามมาเอาคืนกับนางผู้เป็นบุตรสาวแล้ว
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลีเจี่ยวลอบชิงชังยิ่งนัก
ทั้งที่สำนักราชบัณฑิตเป็นสถานที่บริสุทธิ์สูงส่งที่สุดในแผ่นดิน เหย้าเรือนใดมีผู้เข้าสู่สำนักราชบัณฑิตได้ย่อมเป็นเรื่องเชิดหน้าชูตาของคนทั้งครอบครัว ดีไม่ดีผ่านไปสักยี่สิบสามสิบปีก็จะมีราชมนตรีผู้หนึ่งของวงศ์ตระกูล แต่บิดาของนางกลับกลายเป็นตัวตลกอันดับหนึ่งของที่นั่น!
ท่านพ่อมีหัวคิดสักนิดหรือไม่ถึงได้ด่าทอสมุหราชเลขาธิการหลันซานบ่อยๆ ใต้หล้านี้ไม่มีกำแพงที่ไร้ช่องลม นี่ถึงโดนผูกอาฆาตแล้วมิใช่หรือ ตอนนี้ยังเจาะจงกลั่นแกล้งนาง ไม่แน่ว่าขืนเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็น่าจะโดนประหารชีวิตทั้งตระกูลเช่นเดียวกับบิดาของโอวหยางเวยอวี่แล้ว
“ตกลงว่าคุณหนูหลีคิดออกหรือไม่” พอเห็นหลีเจี่ยวอิดเอื้อนไม่พูดไม่จาเสียที หลันซีหนงก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดจางๆ
หลีเจี่ยวข่มความอายกล่าวเสียงเบา “โคลงวรรคแรกของคุณหนูหลันมีความยากอยู่มาก พี่น้องท่านอื่นก็คิดออกมาได้สองประโยคแล้ว ข้าคงคิดประโยคที่สามไม่ออกในชั่วครู่ชั่วยาม”
ในที่นี้ใช่ว่ามีแต่นางที่คิดไม่ออก อันที่จริงมิได้น่าอายอะไร ก็แค่ตำแหน่งและพฤติกรรมของท่านพ่อที่ทำให้นางกระอักกระอ่วนเหลือเกินเท่านั้นเอง
“คนอื่นคิดไม่ออกก็ไม่น่าแปลก เท่าที่ข้ารู้ บิดาของเหล่าพี่น้องในงานนี้ล้วนมิได้เป็นบัณฑิตทั่นฮวาเหมือนบิดาท่าน ใครๆ ล้วนพูดว่าพ่อเสือไม่มีลูกเป็นสุนัขมิใช่หรือ”
ถึงตอนนี้ทุกคนดูออกแล้วว่าหลันซีหนงมีเจตนาเล่นงานพี่น้องสกุลหลีแล้ว
สองพี่น้องสกุลหลีนี้ คุณหนูสามเพิ่งเข้าร่วมชุมนุม ส่วนคุณหนูใหญ่ผู้นี้ยิ่งชวนหัว ล้วนเป็นเพราะได้พึ่งบารมีของตู้เฟยเสวี่ยถึงได้เข้ามาปะปนอยู่ในงาน ส่งผลให้ไม่มีคนยินยอมช่วยแก้สถานการณ์ให้
ข้างฝ่ายซูลั่วอีกับจูเหยียนนั้น แม้พวกนางจะเป็นคนแนะนำเฉียวเจาเข้ามา แต่เพราะตอนหลันซีหนงเรียก ‘คุณหนูหลี’ คุณหนูใหญ่ชิงขานตอบก่อน ขณะนี้คนที่ตกที่นั่งลำบากจึงมิใช่เฉียวเจา ด้วยนิสัยของพวกนางก็คร้านจะยุ่งไม่เข้าเรื่อง
เพลานี้คนที่เหมาะจะออกหน้ามากที่สุดคือตู้เฟยเสวี่ย แต่นางไม่กล่าววาจาสักคำ เห็นชัดว่าไม่อยากล่วงเกินหลานสาวของท่านสมุหราชเลขาธิการผู้ครองอำนาจในราชสำนักเพื่อญาติผู้พี่คนหนึ่ง
หลันซีหนงหัวเราะคิกคัก นัยน์ตาที่หางตาเฉียงขึ้นน้อยๆ เต็มไปด้วยแววหยามหยัน “หรือว่าเสียงร่ำลือจะเป็นคำโอ้อวดเกินจริง”
คำพูดนี้จะสบประมาทหลีกวงเหวินหรือหลีเจี่ยวก็ยากจะบอกได้แล้ว
“หงส์เกาะเกี่ยวกิ่งก้านกิ่งเกี่ยวเกาะหงส์…” เฉียวเจาที่ยืนนิ่งเงียบมาโดยตลอดพลันเอ่ยปากขึ้น ดึงดูดสายตาของทุกคนให้มองไป
นางกลับไม่แยแสโดยสิ้นเชิง พูดเสียงราบเรียบ “ข้าต่อโคลงวรรคหลังว่ามุกเรียงร้อยหยกเชื่อมหยกร้อยเรียงมุก”
ยามที่สตรีทุกคนเผยสีหน้าตื่นตะลึง นางกลับคลายยิ้ม เพ่งมองหลันซีหนงนิ่งๆ “ข้ายังต่อได้ว่าฟ้าเคียงข้างน้ำแนบน้ำข้างเคียงฟ้า หรือจะต่อว่าหมอกคลุมห่มผาเคียงผาห่มคลุมหมอก แล้วก็ต่อได้อีกว่าดอกไม้เกลื่อนชานเรือนชานเกลื่อนไม้ดอก…”
ดูหมิ่นไปถึงบิดามารดาเป็นเรื่องที่เกินกว่าแม่นางเฉียวจะยอมรับได้ น้ำเสียงของนางอ่อนหวาน ทว่าสีหน้าแสนเย็นชา หลังจากต่อโคลงวรรคหลังไปเจ็ดแปดประโยคติดต่อกัน นางถึงพูดเสียงเอื่อยๆ ว่า “อันที่จริงมีวรรคหลังประโยคหนึ่งที่ข้ารู้สึกเข้ากันมากกว่า มังกรเร้นถ้ำในถ้ำเร้นมังกร”