หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 164
บทที่ 164
หงส์เกาะเกี่ยวกิ่งก้านกิ่งเกี่ยวเกาะหงส์ มังกรเร้นถ้ำในถ้ำเร้นมังกร
เป็นจริงดังที่เฉียวเจากล่าว คำโคลงคู่นี้เข้ากันมากกว่าประโยคอื่น
สุ้มเสียงของเฉียวเจาเอื่อยเฉื่อยขณะเอื้อนเอ่ยคำโคลงวรรคหลังออกมารวดเดียวเจ็ดแปดประโยค ทำให้ทุกคนตะลึงลานจนดึงสติคืนมาไม่ได้เป็นนานไปแต่แรกแล้ว
เมื่อพวกนางตั้งสติได้ในที่สุด มาตรว่าคนส่วนใหญ่ไม่พูดอะไรด้วยเห็นแก่หน้าของหลันซีหนง ทว่าต่างลอบอัศจรรย์ใจสุดจะกล่าว
มังกรเร้นถ้ำในถ้ำเร้นมังกร…หลันซีหนงพูดเหน็บแนมเป็นนัยๆ ว่าบิดาของคุณหนูหลีปราศจากวิชาความรู้ที่แท้จริง ย่อมบ่มเพาะเลี้ยงดูบุตรสาวที่มีความสามารถไม่ได้ โคลงวรรคหลังของคุณหนูหลีซานประโยคนี้จะมิใช่คำโต้กลับที่หนักแน่นแข็งกร้าวที่สุดหรอกหรือ
ในสายตาของคนใต้หล้า อาลักษณ์ของสำนักราชบัณฑิตอาจเป็นแค่ขุนนางชั้นผู้น้อยต่ำเตี้ยเรี่ยดินตำแหน่งหนึ่ง ไหนเลยจะล่วงรู้ได้ว่าจะเป็นมังกรเร้นถ้ำที่วันหนึ่งเหินทะยานขึ้นผงาดกลางฟ้าในภายหลังหรือไม่
หากความยอดเยี่ยมของมันอยู่ตรงที่คุณหนูหลีซานมิได้โต้เถียงปะทะคารมกับหลันซีหนง แต่ใช้คำโคลงวรรคหลังโต้กลับคำพูดสบประมาทบิดาของนางเป็นนัยๆ ว่า ‘เสียงร่ำลือเป็นคำโอ้อวดเกินจริง’ ของหลันซีหนง ถ้าเทียบกับอาศัยฝีปากทำสงครามน้ำลายอย่างไร้ประโยชน์ ปฏิภาณไหวพริบและความเก่งกาจเช่นนี้ทำให้คุณหนูทั้งหลายที่ทะนงตนว่ามีดีที่ความสามารถไม่อาจไม่บังเกิดความเลื่อมใสขึ้นในใจ
เสียงปรบมือใสกังวานดังขึ้น สตรีทุกคนหันไปมองตามเสียง เห็นสวี่จิงหงปรบมือเบาๆ หลายทีแล้วกล่าวเสียงเรียบ “คุณหนูหลีซานมีความสามารถดีเยี่ยม”
สมุหราชเลขาธิการหลันซานเป็นดั่งหินก้อนมหึมาที่กดทับตรงกลางอกของมวลหมู่ขุนนางทั้งบุ๊นและบู๋ การแบ่งขั้วอำนาจในราชสำนักยังแผ่สยายมาถึงเรือนหลัง ดังนั้นคุณหนูเหล่านี้ย่อมจะกริ่งเกรงต่อหลันซีหนงเป็นธรรมดา ทว่าถึงจะให้ความเกรงใจเช่นไร นี่เป็นเพียงงานเลี้ยงของพวกเด็กสาวงานหนึ่ง ต่อให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันจริงๆ ท่านสมุหราชเลขาธิการผู้ยิ่งใหญ่คงไม่อยู่ดีไม่ว่าดีถกแขนเสื้อปรี่เข้าไปเล่นงานบิดาหรือพี่ชายของใครให้หลุดจากตำแหน่งเพราะแย่งดอกไม้ผ้าติดผมของหลานสาวไป ด้วยเหตุนี้ยังมีคนที่แสดงความคิดเห็นต่างออกไปอยู่
บรรดาคุณหนูในที่นี้ อย่างน้อยก็มีสวี่จิงหงหลานสาวของรองสมุหราชเลขาธิการสวี่หมิงต๋ากับเจียงซือหร่านบุตรสาวโทนของผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินเจียงถังสองคนที่ไม่ต้องคอยดูสีหน้าหลันซีหนงก่อนจะพูดจา
จริงๆ แล้วที่ผ่านมารองสมุหราชเลขาธิการสวี่หมิงต๋าจะวางตัวสงบเสงี่ยมยามอยู่ต่อหน้าสมุหราชเลขาธิการหลันซานเสมอ น้อยครั้งนักที่เขาจะปริปากคัดค้าน ส่วนที่คุณหนูสวี่จิงหงทำเช่นนี้เป็นเพราะมีนิสัยเฉยเมยแต่เพียงประการเดียว นางถือตนเกินกว่าไปจะผสมโรงป้อยอคนสูงศักดิ์เหยียบย่ำคนต่ำต้อยร่วมกับผู้อื่น หาใช่ว่าท่านปู่ของนางกับสมุหราชเลขาธิการหลันซานมีอำนาจบารมีทัดเทียมกัน
จะว่ากันจริงๆ แล้ว ทุกคนในงานนี้มีแต่ผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินเจียงถังบิดาของเจียงซือหร่านที่แม้แต่กับสมุหราชเลขาธิการหลันซานพบเขาแล้วยังต้องเกรงอกเกรงใจ หากพูดว่าหลันซานคือขุนนางคนสนิทที่ได้รับความโปรดปรานล้นเหลือจากโอรสสวรรค์ เจียงถังก็คือคนที่ฮ่องเต้หมิงคังเชื่อใจมากที่สุด
เมื่อเสียงปรบมือของสวี่จิงหงดังขึ้นทำลายความเงียบรอบด้านราวกับทุ่มหินลงไปบนผิวน้ำทะเลสาบที่นิ่งสนิท
ถึงที่สุดแล้วนี่เป็นเพียงงานพบปะของเหล่าคุณหนู การต่อสู้แย่งชิงอำนาจของบิดาและพี่ชายยากจะครอบงำธรรมชาติของเด็กสาววัยนี้ได้ จึงมีคุณหนูไม่น้อยเริ่มปรบมือตาม
จูเหยียนตบไหล่เฉียวเจาเบาๆ กล่าวพลางทอดถอนใจ “ข้าอยากเห็นตัวอักษรของคุณหนูหลีซานมาโดยตลอด คิดไม่ถึงว่าท่านยังต่อบทโคลงกลอนได้น่าทึ่งอีกด้วย”
โค่วจื่อโม่มองเฉียวเจาอย่างพินิจด้วยแววตาแปลกๆ
การต่อคำโคลงกลบททวนอักษรมิใช่เรื่องง่าย คิดออกได้หนึ่งหรือสองประโยคก็หาได้ยากแล้ว แต่คุณหนูหลีซานผู้นี้กลับต่อโคลงวรรคหลังได้รวดเดียวเจ็ดแปดประโยค ช่างน่าตกใจจริงๆ
เมื่อหลายปีก่อนมีครั้งหนึ่งนางบังเอิญโชคดีเคยมีโอกาสได้ฟังญาติผู้พี่ของเรือนท่านอาหญิงต่อคำโคลงคู่เช่นนี้ ตอนนั้นนางฟังแล้วพาให้โลหิตในกายพลุ่งพล่าน จิตใจฮึกเหิมเหลือเกิน
เพียงน่าเสียดายที่ญาติผู้พี่จากโลกนี้ไปตั้งแต่วัยสาว
โค่วจื่อโม่ลอบถอนใจเฮือก นางอดมองดูเฉียวเจาซ้ำอีกคราไม่ได้
ด้านหลันซีหนงจ้องเฉียวเจาตาเขม็ง ขณะที่ทุกคนนึกว่านางอาจจะสร้างความลำบากใจให้พี่น้องสกุลหลีอีก นางกลับเปล่งเสียงหัวเราะเบาๆ “คุณหนูหลีซานมีความสามารถดีเยี่ยมจริงๆ ดูทีว่าคงเก็บงำประกายไว้เรื่อยมา สมควรให้ท่านเข้าร่วมชุมนุมฟู่ซานตั้งแต่แรก”
นางกลอกตาไปมาแล้วหัวร่อในลำคอ “เป็นน้องสาวแต่มีความรู้ความสามารถมากกว่าผู้เป็นพี่สาวอย่างมาก”
ถ้อยคำนี้ก็น่าขบคิดอยู่บ้างเสียแล้ว
ตอนตู้เฟยเสวี่ยเอะอะโวยวายอยู่หน้าจวน สตรีในงานนี้ต่างล่วงรู้แล้วว่าคุณหนูใหญ่สกุลหลีกำพร้ามารดาแต่เยาว์วัย ส่วนมารดาของคุณหนูสามเป็นภรรยาคนที่สอง เช่นนั้นใช่หรือไม่ว่าคุณหนูสามได้รับสิ่งดีๆ ที่คุณหนูใหญ่ไม่มี ถึงได้เก่งกาจเกินหน้าพี่สาวร่วมบิดาตั้งมากถึงเพียงนี้
หลีเจี่ยวได้ยินคำพูดของหลันซีหนงแล้วหน้าตาแดงก่ำไปหมด ปลายเล็บสีอมชมพูที่เพิ่งตัดแต่งเรียบร้อยจิกลงกลางอุ้งมือเต็มแรง แต่ความเจ็บปวดยังคงเทียบไม่ได้กับความอดสูในใจ
การต่อคำโคลงคู่แบบด้นสดต่างจากอย่างอื่น เรื่องปฏิภาณไหวพริบนี้ไม่อาจเสแสร้งตบตาได้ ที่แท้หลีซานเป็นดั่งนายพรานที่ปลอมเป็นสุกรหลอกกินพยัคฆ์ ตั้งใจรอจังหวะทำให้นางขายหน้าอยู่ตลอด
เมื่อก่อนนางลอบหัวเราะเยาะที่แม่เลี้ยงหว่านเงินเป็นเบี้ยจ้างอาจารย์มาสอนวิชาให้หลีซานโดยเฉพาะ เห็นว่าเป็นการสิ้นเปลืองเงินทองโดยใช่เปล่า ที่แท้นางต่างหากคือคนโง่งมผู้นั้น
เฉียวเจาที่ยืนอยู่ข้างๆ หลีเจี่ยวยกยิ้ม “คุณหนูหลันกล่าวชมเกินไป ก็แค่คนแต่ละคนมีความถนัดเชี่ยวชาญต่างกัน พี่เจี่ยวของข้ามีฝีมือเย็บปักถักร้อยโดดเด่นเหนือใคร ส่วนข้าห่างชั้นกับนางไกลหลายโยชน์”
ความจริงสตรีที่อยู่ในงานเหล่านี้คงมีฝีมือเย็บปักถักร้อยในระดับที่นางเทียบชั้นไม่ได้ทั้งสิ้น ฉะนั้นแม่นางเฉียวมิได้โกหกพกลมเลย
หลันซีหนงเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยถามลอยๆ คำหนึ่ง “นี่แสดงว่าคุณหนูหลีซานเห็นพ้องกับคำกล่าวที่ว่า ‘สตรีไร้สามารถถือว่ามีคุณธรรม’ อย่างนั้นหรือ”
เฉียวเจาเหยียดมุมปาก
คุณหนูหลันผู้นี้รับมือได้ยากกว่าเด็กสาวอย่างหลีเจี่ยวกับตู้เฟยเสวี่ยมากนัก อ้างคำคนโบราณซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไล่ต้อนผู้อื่นให้ตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกได้เสมอ
ถ้านางบอกว่าไม่เห็นด้วยก็เท่ากับไม่เคารพคนโบราณ แต่ถ้าบอกว่าเห็นด้วย สตรีในที่นี้อาจไม่พูดอะไรต่อหน้า แต่นางก็ล่วงเกินคนเหล่านี้ไปหมดแล้ว
อย่าลืมว่าเด็กสาวที่เข้าร่วมชุมนุมฟู่ซาน คนใดบ้างที่ไม่ทะนงในความสามารถของตน
พวกนางรังเกียจเดียดฉันท์คำกล่าวดังเช่น ‘สตรีไร้สามารถถือว่ามีคุณธรรม’ เข้ากระดูก จึงดูถูกดูแคลนสตรีที่ไม่รู้หนังสือมากที่สุด
ทุกคนรอฟังคำตอบของเฉียวเจาอยู่ นางคลี่ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจที่หลันซีหนงเจตนากลั่นแกล้ง กล่าวเสียงราบเรียบ “ความจริงคำกล่าวนี้ยังมีวรรคแรกว่า ‘บุรุษมีคุณธรรมถือว่ามีความสามารถ’ คุณหนูหลันตีความประโยคนี้เช่นไรเล่า”
ถ้อยคำนี้ดังขึ้น พวกเด็กสาวลอบตกใจ ทั้งทึ่งในปฏิภาณของเฉียวเจา ทั้งตะลึงในความใจกล้าของนาง
‘บุรุษมีคุณธรรมถือว่ามีความสามารถ’ ทั่วทั้งแผ่นดินมีใครไม่ล่วงรู้ว่าหลันซานท่านปู่ของหลันซีหนงนั้นคือผู้มากความสามารถที่ด้อยกว่าอาจารย์เฉียวจอมปราชญ์ที่ล่วงลับไปแล้วเท่านั้น ทว่าคนเก่งอย่างนี้กลับถูกเหล่าขุนนางสุจริตรุมประณามหยามเหยียดด่าทอลับหลังว่าเป็นขุนนางโฉดชั่ว
เฉียวเจาเอ่ยถามคำนี้ในเวลานี้ทำให้คนนึกโยงไปถึงตัวท่านสมุหราชเลขาธิการหลันได้โดยง่ายมาก หากหลันซีหนงพินิจพิเคราะห์อย่างห้าวหาญฉาดฉาน และถึงจะพูดได้เฉียบคมลึกซึ้งปานใด ในใจทุกคนก็เป็นแค่เรื่องชวนหัว เผอิญว่าหลันซีหนงจะตำหนิคนอื่นเพราะเหตุนี้ก็ไม่ได้อีกด้วย เพราะนางเป็นคนยกคำกล่าวนี้ขึ้นมาเองในตอนแรก เพียงแต่เอามาครึ่งเดียวเท่านั้น
คุณหนูที่มีบิดากับพี่ชายยืนอยู่ในฝ่ายตรงข้ามกับสมุหราชเลขาธิการหลันซานพากันร้องชมเฉียวเจาอยู่ในใจ
ดวงตาสีดำสนิทของโอวหยางเวยอวี่ซึ่งมีสีหน้าปราศจากอารมณ์ใดอยู่ตลอดเปล่งประกายวูบหนึ่ง นางมองเฉียวเจานิ่งๆ
เป็นดังที่ทุกคนคาดคิดไว้ แม้ว่าหลันซีหนงจะแสดงสีหน้าบึ้งตึง แต่มิได้แสดงอาการเกรี้ยวกราด นางกล่าวเสียงเย็นๆ “คุณหนูหลีซานฉลาดปราดเปรื่องจริงๆ คุณหนูตู้ต่อโคลงกันต่อเถอะ ถึงทีเป็นฝ่ายพวกนางขึ้นต้นวรรคแรกแล้วกระมัง”
“อ้อ” ตู้เฟยเสวี่ยเพิ่งดึงสติคืนมาในเวลานี้ นางสะกดความตะลึงพรึงเพริดเพราะเฉียวเจาไว้ เอ่ยถามสวี่จิงหง “คุณหนูสวี่ คำโคลงวรรคแรกนี้ให้ท่านเป็นคนคิดดีหรือไม่”
สีหน้าของสวี่จิงหงเรียบเฉย “อันที่จริงข้าไม่ถนัดในเชิงนี้ เอาอย่างนี้เถอะ คำโคลงนี้ก็ให้คุณหนูหลีซานเป็นคนคิดเถอะ”