หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 168
บทที่ 168
เจียงซือหร่านมาจากตระกูลที่ทรงอำนาจบารมี เป็นคนเจ้าเล่ห์แสนกลและมีนิสัยประหลาดผิดแผกจากผู้อื่น ในกาลก่อนนางเคยทำให้ผู้เข้าร่วมชุมนุมคนใหม่ต้องร้องไห้มิใช่คนสองคนแล้ว
เดิมทีตู้เฟยเสวี่ยตั้งใจเตรียมกระบอกไม้ติ้วห้าสีไว้เพื่อกลั่นแกล้งคนตอนการละเล่นวงสุรา คิดไม่ถึงว่าจะได้ใช้กับผู้เข้าร่วมชุมนุมคนใหม่อย่างหลีเจา เห็นได้ว่ากระทั่งสวรรค์ยังทนดูความผยองพองขนของอีกฝ่ายไม่ได้ถึงประทานโอกาสให้นางสั่งสอนสักหน่อย
ตู้เฟยเสวี่ยเริ่มตั้งตารอคอยอย่างสุดจะเปรียบ ด้วยไม่รู้ว่าเจียงซือหร่านจะตั้งหัวข้ออะไร
“คุณหนูตู้ จวนท่านมีลานฝึกยุทธ์กระมัง” เจียงซือหร่านเอ่ยถาม
ตู้เฟยเสวี่ยอึ้งไปก่อนจะพยักหน้าทันที “มีสิ”
จวนกู้ชางป๋อสร้างรากฐานของตระกูลมาจากคุณงามความชอบทางด้านการทหาร มาตรว่าสืบทอดต่อกันมาจนบัดนี้แม้จะไม่มีลูกหลานเข้าสู่สมรภูมิอีก แต่ยังเก็บรักษาลานฝึกยุทธ์ไว้เรื่อยมา การที่นางช่ำชองทักษะการขี่ม้าได้ต้องยกความดีความชอบให้ลานฝึกยุทธ์ในจวนอย่างขาดเสียมิได้
“มีก็ดี” สายตาของเจียงซือหร่านจับจ้องที่ตัวเฉียวเจา นางอมยิ้มมุมปากพลางพูด “เมื่อครู่นี้ข้าได้เปิดหูเปิดตากับปฏิภาณไหวพริบของคุณหนูหลีซานแล้ว อีกทั้งเคยได้ยินว่าตัวอักษรของท่านก็ยอดเยี่ยมดีเลิศ ทว่าเรื่องเหล่านี้ข้าล้วนไม่เข้าใจ เป็นธรรมดาที่จะทดสอบท่านในเชิงนี้ไม่ได้ ฉะนั้นวันนี้หัวข้อที่ข้าจะทดสอบคุณหนูหลีซานก็คือ…”
นางหยุดเว้นจังหวะแล้วเปล่งเสียงพูดคำสองคำช้าๆ “ความกล้า”
ความกล้า?
หัวข้อนี้แปลกใหม่จริงๆ คุณหนูเจียงจะทดสอบความกล้าของคุณหนูหลีซานอย่างไรนะ
ทุกคนมองหน้ากันไปมาพร้อมกับความสนใจใคร่รู้ที่ทบทวีขึ้น
“คุณหนูตู้เชิญนำทางเถอะ พวกเราไปถึงลานฝึกยุทธ์แล้วค่อยว่ากันอีกที”
ตู้เฟยเสวี่ยสองจิตสองใจเล็กน้อย ด้วยเพราะจะต้อนรับขับสู้แขกสตรีสูงศักดิ์ สวนดอกไม้แห่งนี้ถูกจัดเตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้า กันคนอื่นออกไปจนหมดเหลือไว้แค่สาวใช้รินน้ำชาไม่กี่คน วันนี้มิต้องเอ่ยถึงว่าจะมีคนทะเล่อทะล่าเข้ามา แม้แต่พวกหญิงคนงานที่ดูแลสวนดอกไม้ล้วนถูกห้ามไม่ให้เข้ามาขวางหูขวางตาพวกคุณหนู พวกพี่ชายของนางก็รู้ว่าทางนี้จัดงานของชุมนุมฟู่ซานย่อมต้องหลบเลี่ยงกันเสียงครหา ทว่าทางลานฝึกยุทธ์นั้น นางมิได้เตรียมการไว้เลย
“ว่าอย่างไร คุณหนูตู้” เจียงซือหร่านเห็นตู้เฟยเสวี่ยไม่ขยับกาย นางจึงขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์
“อ้อ เชิญพี่น้องทั้งหลายตามข้ามา” ตู้เฟยเสวี่ยแข็งใจก้าวเท้าออกเดินนำหน้าพาทุกคนไปที่ลานฝึกยุทธ์
ตามหลักแล้วในเวลานี้พวกพี่ชายของนางไม่มีทางไปที่ลานฝึกยุทธ์
อันที่จริงต่อให้เจอะเจอกันก็ไม่เป็นไร ยุคนี้มิได้เข้มงวดกับสตรีเฉกสมัยก่อน พบกับบุรุษแปลกหน้าโดยไม่ตั้งใจค่อยหลบไปอีกทางก็เป็นอันสิ้นเรื่อง นางแค่ไม่อยากให้คนเห็นหน้าพี่จูมากเกินไป…
แต่เมื่อครู่นางเพิ่งขายหน้าไป ขืนตอนนี้บอกปัดอีก วันหน้ายามอยู่กับคุณหนูพวกนี้คงวางหน้าไม่สนิทแล้ว
ลานฝึกยุทธ์ตั้งอยู่ไม่ห่างจากสวนดอกไม้มากนัก ระหว่างที่ครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้อยู่ในใจ นางเห็นแต่ไกลว่าลานฝึกยุทธ์ว่างเปล่าไม่มีใครสักคนก็อดถอนใจโล่งอกไม่ได้
ค่อยยังชั่ว นางนึกไว้แล้วเชียวว่าพวกพี่ใหญ่ไม่น่าจะมาที่นี่ในเวลานี้
ด้านข้างลานฝึกยุทธ์เป็นชั้นวางอาวุธนานาชนิดแถวหนึ่ง
เจียงซือหร่านวนดูรอบหนึ่งแล้วหยุดยืนตรงกลางลาน หยักยิ้มพริ้มพรายกล่าวว่า “ข้าน่ะ ทำตัวสุภาพนุ่มนิ่มอย่างผู้อื่นไม่เป็นหรอกนะ อยากจะทดสอบความกล้าก็ต้องเอาจริง”
นางกล่าวจบแล้วมองไปทางเฉียวเจา “คุณหนูหลีซาน ท่านกล้าหรือไม่”
ใบหน้าของเฉียวเจาไร้ความรู้สึกใดๆ “เชิญบอกมาให้กระจ่างได้เลย”
“คุณหนูหลีซานตรงไปตรงมาดี” เจียงซือหร่านเอื้อมมือไปหยิบธนูคันหนึ่งจากบนชั้นวาง ลองน้าวสายสองสามทีก่อนจะยกมือพร้อมพูด “คุณหนูหลีซานวางลูกท้อไว้บนศีรษะกับไหล่ให้ข้าฝึกความแม่นยำ กล้าหรือไม่”
เมื่อถ้อยคำนี้ดังขึ้น ทุกคนสูดลมหายใจดังเฮือกทันควัน บางคนยังตกใจร้องอุทานขึ้นอย่างควบคุมตนเองไม่อยู่
นัยน์ตาของเจียงซือหร่านทอประกายระยับ นางกล่าวยิ้มๆ “วางใจได้ พวกเราสามารถใช้ลูกธนูหัวทู่ได้”
เด็กสาวทั้งหลายฟังแล้วอกสั่นขวัญแขวน
ลูกธนูหัวทู่ก็ไม่ได้นะ มันพุ่งเข้ามาเร็วถึงเพียงนี้ ถ้ายิงถูกดวงตา…
พอคิดไปอย่างนี้ ทุกคนพลันรู้สึกหนังศีรษะชาวาบๆ คนที่ใจเสาะหลั่งเหงื่อเย็นอย่างขวัญเสียทันที
“คุณหนูหลีซานกล้าลองดูหรือไม่” เจียงซือหร่านยิ้มกริ่มพลางเอ่ยถาม ทำสีหน้ามั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องยอมจำนน
ตอนเผชิญกับการกลั่นแกล้งของหลันซีหนงหลานสาวของสมุหราชเลขาธิการหลันซาน เฉียวเจามีท่าทางนิ่งเฉยเยือกเย็นเสมอ แต่เพลานี้สีหน้าของนางกลับเปลี่ยนไปแล้ว
จะบอกว่านางขี้ขลาดใช่หรือไม่ หามิได้
ขอแค่เจียงซือหร่านเปลี่ยนวิธีท้าดวลเป็นอะไรสักอย่างก็ได้ตามใจชอบ ล้วนไม่อาจทำให้นางลังเลถอดใจ แต่เป็นเป้ายิงธนูกลับต่างออกไป
ความเจ็บปวดจากลูกธนูเสียบทะลุอกดอกนั้น ใต้หล้านี้ยังมีใครเป็นดั่งนางที่เคยได้ลิ้มรสของมันแล้วยังมีชีวิตอยู่ได้เล่า
เมื่อก่อนนางไม่ชำนาญทักษะการขี่ม้า เรียนวิชาหมัดมวยก็ไม่สำเร็จ มีเพียงยิงธนูอย่างเดียวที่พออวดใครได้ ทว่าตั้งแต่ฟื้นคืนชีพ พอเห็นธนูอีกครั้งก็จะหนาวยะเยือกไปทั้งสรรพางค์กายโดยไม่รู้ตัว ไม่อยากเข้าใกล้มันแม้สักนิด
เฉียวเจามองเด็กสาวที่ยิ้มพรายแล้วถอนใจเบาๆ
คุณหนูเจียงผู้นี้จับจุดอ่อนร้ายแรงของข้าได้โดยไม่ตั้งใจจริงๆ!
แต่ว่า…
เฉียวเจากลอกตาชำเลืองมองโค่วจื่อโม่ปราดหนึ่ง นางเคยพูดไว้ว่าไม่มีโอกาสก็ต้องสร้างโอกาสพบกับพี่ชายผ่านทางโค่วจื่อโม่ให้ได้ เช่นนั้นยังจะมีโอกาสใดดีไปกว่าตอนนี้เล่า
เจียงซือหร่านสร้างปัญหายากเย็นใหญ่หลวงให้นาง แต่ขณะเดียวกันก็มอบโอกาสที่ดีที่สุดแก่นางด้วย เทียบกับได้พบพี่ชาย อย่างอื่นล้วนไม่สำคัญรวมถึงความตายและความกลัวของนาง
“หากคุณหนูหลีซานไม่กล้าทดสอบก็ไม่เป็นอะไร ถึงอย่างไรที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีใครผ่านบททดสอบที่ข้าคิดขึ้นได้ แต่ยังคงเป็นคนของชุมนุมฟู่ซานได้ดังเก่า”
คุณหนูหลายคนในที่นั้นที่โชคไม่ดีเคยสุ่มได้ไม้ติ้วตัวอักษร ‘เจียง’ มาก่อนพากันหน้าเปลี่ยนสีอย่างหวาดผวาไม่หาย สายตาที่มองไปทางเฉียวเจาแฝงความเห็นใจตามประสาคนหัวอกเดียวกันเพิ่มขึ้นหลายส่วน
“ได้” ทว่ายามนั้นเองเฉียวเจาก็พูดขึ้นอย่างสงบนิ่ง
เด็กสาวคนอื่นไม่นึกไม่ฝันว่าเฉียวเจาจะกล้าตอบรับ มีคนไม่น้อยอุทานเสียงดังด้วยความตกใจ
“น้องหลีซาน รองหัวหน้าชุมนุมตั้งหัวข้อทดสอบชาวชุมนุมคนใหม่เพียงเพื่อเพิ่มความสนุกสนานในงานสังสรรค์ มิได้เป็นการบังคับ หากท่านไม่เต็มใจ ก็อย่าฝืนใจตัวเองเลย” ซูลั่วอีเดินออกมาคล้องแขนนางพลางกล่าวเสียงขรึม
“ใช่” จูเหยียนก็ก้าวออกมาด้วย
เห็นรองหัวหน้าชุมนุมสองคนเอ่ยปาก จึงมีคนผสมโรงขึ้นไม่น้อย
หลันซีหนงเหยียดมุมปากลอบคิดคำนึง การประชันต่อบทคำโคลงคู่ครั้งเดียวกลับทำให้คุณหนูหลีซานผู้นี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มได้แล้ว ช่างเป็นโอกาสที่ดีของนางเหลือเกินจริงๆ
ด้านสวี่จิงหงมองดูอยู่ด้วยสีหน้าเฉยเมยมาโดยตลอด หากในใจนึกกังขา ดูจากการกระทำก่อนหน้าของคุณหนูหลีซานไม่คล้ายคนอวดเก่ง นางทำเช่นนี้มีความหมายใด หรือจะบอกว่าไม่กล้าล่วงเกินเจียงซือหร่านเท่านั้นเอง
“น้องเจา เจ้าอย่าอวดเก่งจะดีกว่า หากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ข้าจะกลับไปอธิบายกับพวกท่านพ่อท่านแม่อย่างไร” หลีเจี่ยวที่ทำตัวเป็นอากาศธาตุอยู่นานอ้าปากพูดขึ้น
“พี่เจี่ยวไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ ข้าเชื่อมั่นในฝีมือยิงธนูของคุณหนูเจียง” เฉียวเจาพูดจบแล้วก็ขอบคุณทุกคนที่ห่วงใย จากนั้นก้าวขาเดินไปยืนนิ่งตรงกลางลาน พลางบอกเสียงราบเรียบ “คุณหนูเจียง หากท่านเตรียมพร้อมแล้วก็เริ่มต้นได้เลย”
“คุณหนูตู้ มีลูกธนูหัวทู่กระมัง” เจียงซือหร่านไต่ถาม
“มีสิ” ตู้เฟยเสวี่ยสะกดความตื่นเต้นในใจไว้ หยิบลูกธนูหัวทู่ส่งให้นาง ทั้งยังสั่งให้คนหยิบลูกท้อไปวางตรงหน้าเฉียวเจาด้วย
นางยื่นมือหยิบลูกท้ออวบๆ สดๆ มาวางบนศีรษะกับสองไหล่จุดละหนึ่งลูกแล้วได้ยินเจียงซือหร่านเอ่ยถาม “คุณหนูหลีซาน ท่านพร้อมแล้วใช่หรือไม่”
“พร้อมแล้ว” เฉียวเจาสูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ร่างกายทุกส่วนเขม็งเกลียว หากสีหน้าไม่เผยอารมณ์ใด
นางเขม้นมองเจียงซือหร่านโก่งคันธนูเล็งตรงมาที่ตน
ชั่วพริบตานั้น ราวกับเฉียวเจากลับไปยืนอยู่บนกำแพงเมืองหนาวเหน็บให้คนเข่นฆ่าสังหารเหมือนผักปลา
ที่แท้มีความกลัวอย่างหนึ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของตน