หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 17
บทที่ 17
ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นยังติดตาฝังใจ นางยังจดจำสายลมหนาวเหน็บบนกำแพงเมือง ฝ่ามือใหญ่หยาบกระด้างเปี่ยมไปด้วยพละกำลังของคนข้างหลัง รวมถึงรอยยิ้มแสยะของพวกต๋าจื่อได้
ทว่าขณะนั่งอยู่ในรถม้าที่แล่นเอื่อยๆ สู่ทิศเหนือ ได้ยินผู้คนเอ่ยถึงบุรุษผู้นั้นอีกครา นางถึงกับเคืองแค้นชิงชังเขาไม่ลง
ราวกับว่าเหตุการณ์ตอนที่องครักษ์คุ้มกันนางเดินทางไปแดนเหนือเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ระหว่างทางพบเจอกับทหารชาวต๋าจื่อที่พลัดหลงกับกองทัพหลังแตกพ่ายกระเจิดกระเจิง พวกเขามีกันแค่สี่ห้าคน มิหนำซ้ำใบหน้ายังเปรอะเปื้อนมอมแมมจากการหลบหนี พอเห็นสตรีที่ออกมาข้างนอกยังคงกระโจนเข้าใส่พวกนางเหมือนกับหมาป่าหิวโหยตะครุบเหยื่อ นัยน์ตาลุกวาวน่าสะพรึงกลัว
พวกองครักษ์ปลิดชีพชาวต๋าจื่อช่วยสตรีสองนางที่โดนประทุษร้ายไว้ คนหนึ่งอยู่ได้ไม่นานนักก็สิ้นใจ ส่วนอีกคนบอบช้ำไปทั้งร่าง ลมหายใจอ่อนรวยรินเฉกเดียวกัน
เวลานั้นนางแค้นใจจริงๆ เพิ่งรู้ว่าความรุ่งเรืองมั่งคั่งมีแต่ในเมืองหลวง ส่วนดินแดนทางทิศเหนือหรือชายทะเลทิศใต้นั้น ภาพที่เห็นเบื้องหน้าสายตาต่างหากคือความเป็นอยู่ที่แท้จริงของราษฎร
เปลือกนอกอันหรูหรางดงามในนามแคว้นแห่งสวรรค์ผู้ครองใต้หล้านั้นแสนเปราะบางอ่อนแอจนไม่อาจห่อหุ้มแคว้นต้าเหลียงที่เสื่อมโทรมฟอนเฟะไว้ได้มานานแล้ว
ด้วยเหตุนี้ นางจึงได้ฟังพวกองครักษ์เล่าเรื่องราวของแม่ทัพเซ่า
พวกเขาบอกว่าตอนแม่ทัพเซ่ามาถึงแดนเหนือครั้งแรกมีอายุเพียงสิบสี่ปี ยามนั้นแม่ทัพเซ่าผู้อาวุโสล้มป่วยหนัก สารแจ้งข่าวกองทัพต้าเหลียงพ่ายแพ้ถอยร่นถูกส่งกลับเมืองหลวงฉบับแล้วฉบับเล่าไม่ขาดสาย เมื่อถวายรายงานต่อเบื้องพระพักตร์ โอรสสวรรค์กริ้วจัด ส่งผลให้จวนจิ้งอันโหวง่อนแง่นเต็มที
เวลานั้นเองเซ่าหมิงยวน บุตรชายคนรองของจิ้งอันโหวที่เพิ่งย่างวัยสิบสี่ก้าวออกมากราบทูลอาสาเดินทางไปแดนเหนือออกรบแทนบิดา
สมรภูมิแรกของเขาเป็นการรบกับกองทัพเป่ยฉีที่ฆ่าล้างหมู่บ้านอยู่
ครั้งนั้นเป็นสงครามสร้างชื่อให้แม่ทัพเซ่า หลังจบศึก เขาได้รับเสียงแซ่ซ้องสดุดีจากคนนับไม่ถ้วน ชื่นชมที่เขาประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย แต่มีเพียงทหารที่รอดชีวิตจากศึกคราวนั้นไม่กี่คนที่จดจำได้ว่าแม่ทัพเซ่านำกำลังคนไม่กี่สิบเข้าต่อสู้กับทหารเป่ยฉีนับร้อยอย่างไร
เดิมทีลักษณะเรือนกายของทหารต้าเหลียงก็ผิดแผกกับทหารเป่ยฉีที่ใช้ชีวิตบนหลังม้าไกลลิบ หลายปีมานี้ไม่ว่าแม่ทัพชื่อดังคนใดไปบัญชาการทัพที่แดนเหนือล้วนตกเป็นฝ่ายตั้งรับทั้งสิ้น ในตอนท้ายของศึกคราวนั้น แม่ทัพเซ่าหลั่งโลหิตแทบจะท่วมกายแล้ว ทหารคนสนิทเตือนให้เขาหนีไปก่อน แต่เขากล่าวถ้อยคำหนึ่งว่า
‘ข้าไม่มีทางให้ชาวต๋าจื่อเห็นแผ่นหลังข้าตอนหันหลังหนีไป แล้วนึกว่าบุรุษของต้าเหลียงล้วนเป็นคนอ่อนแอปวกเปียก พวกเขาจะข่มเหงเหยียบย่ำราษฎรต้าเหลียงเราอย่างไรก็ได้ตามอำเภอใจ’
ต่อมาภายหลังคำว่า ‘คนโฉดชั่วไม่ดับดิ้น ชาวต๋าจื่อไม่สูญสิ้น มิหวนคืนถิ่นเด็ดขาด’ กลายเป็นคติประจำใจของแม่ทัพเซ่า ตอนเขาเข้าพิธีมงคลใหญ่โตก็เป็นแม่ทัพเซ่าผู้อาวุโสคุกเข่าทูลขอร้องฮ่องเต้ให้มีพระราชโองการถึงเรียกตัวเขากลับไปได้
เฉียวเจายังจำที่รองแม่ทัพท่านนั้นพูดกล่อมนางอย่างระมัดระวังว่า
‘ฮูหยินอย่าโกรธท่านแม่ทัพเลยนะขอรับ แม้ว่าท่านแม่ทัพจะนำทัพออกศึกในวันงานมงคลจะผิดต่อท่าน แต่ท่านคงไม่รู้ว่าหากท่านแม่ทัพมาช้าไปก้าวเดียวจะมีผู้บริสุทธิ์มากมายเท่าไรต้องตายอย่างอเนจอนาถ แล้วสตรีที่จะมีสภาพเฉกเดียวกับหญิงสาวสองคนในวันนี้จะเพิ่มมากขึ้นเท่าไร อันที่จริงแม่ทัพของพวกข้าใจอ่อนยิ่งกว่าผู้ใด…’
ตลอดทางเฉียวเจาได้ยินเรื่องราวของคนผู้นั้นมากขึ้นอีก
เขาเคยดักซุ่มอยู่บนพื้นหิมะหนึ่งวันหนึ่งคืนเพื่อช่วยเด็กที่ถูกชาวต๋าจื่อลักพาตัวไปเป็นเสบียงสำรองกลับมา
เขาเคยว่ายน้ำลอดใต้พื้นน้ำแข็งข้ามแม่น้ำซงเจียงไปลอบสังหารหัวหน้าเผ่าชาวต๋าจื่อที่บั่นศีรษะราษฎรต้าเหลียงไปทำเป็นกาสุรา
เขายังเคยใช้เบี้ยหวัดทหารทั้งหมดซื้อหาอาภรณ์มาให้พวกสตรีที่โดนชาวต๋าจื่อกระทำย่ำยีเป็นเสื้อห่มกายกันความหนาว
รองแม่ทัพน้ำตารื้นกล่าวเสียงเครือ ‘คนทั้งแผ่นดินจดจำได้แต่เกียรติยศมากมายสุดประมาณของท่านแม่ทัพ แต่พวกข้ากลับจำบาดแผลความเจ็บปวดทั่วกายของท่านได้ ท่านแม่ทัพเคยพูดว่าเขาทุ่มเทกำลังทั้งหมดทำเพื่อบ้านเมืองและราษฎร แต่ทำผิดต่อท่านเพียงผู้เดียว รอเมื่อแดนเหนือสงบสุข…’
รองแม่ทัพมิได้กล่าวต่อจนจบ แต่เฉียวเจาเข้าใจแล้ว
บุรุษผู้ที่ยอมสละเลือดจนหยดสุดท้ายเพื่อชาวบ้านแดนเหนือเยี่ยงนี้ นางจะชิงชังได้อย่างไรเล่า
นางก็แค่…ขุ่นเคืองอยู่บ้าง
นางฟังเรื่องราวของเขามาตลอดทางแล้ว ว่าแต่เหตุใดเขายิงธนูเร็วถึงเพียงนั้น
เด็กสาวเท้าคางมองไปนอกหน้าต่าง แสงแดดอบอุ่นส่องกระทบผิวแก้มนางเป็นประกายเกือบโปร่งใส แลดูขาวผ่องบอบบางน่าทะนุถนอม กอปรกับท่วงท่ากิริยาใสซื่อไร้มารยาทของนาง ทำให้ผู้ที่พิศดูนางรู้สึกจิตใจสงบตามไปด้วย
หมอเทวดาหลี่มองดูนางเช่นนี้แล้วความรู้สึกคุ้นเคยที่ว่านั่นยิ่งเพิ่มพูนขึ้น
นานครู่ใหญ่เขาถึงเอ่ยปากขึ้นว่า คิดอะไรอยู่หรือ
เฉียวเจาดึงความคิดคืนมา นางกล่าวตอบอย่างซื่อสัตย์มาก ก็แค่ใจลอยเท่านั้นเจ้าค่ะ
มุมปากของหมอเทวดาหลี่กระตุกริกๆ คนที่บอกว่า ‘ใจลอย’ ได้เต็มปากเต็มคำเช่นนี้พบเจอได้ไม่มากจริงๆ
ยิ่ง…ยิ่งเหมือนมากขึ้น…
แม่หนูหลีกับแม่หนูเฉียวคล้ายคลึงกันทุกอย่าง หากที่สำคัญกว่าคือตอนเขาเจอแม่หนูหลีครั้งแรกก็พบว่านางว่ามีลักษณะของอาการถอดวิญญาณ แล้วแม่หนูเฉียวก็ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างปกติสุขที่แดนเหนือเช่นที่เขานึกไว้ แต่ลาลับจากโลกนี้ไปก่อนวัยอันควร…
หมอเทวดาหลี่มีเหงื่อออกกลางฝ่ามือ หัวใจเต้นถี่รัว
จะมีความเป็นไปได้เช่นนั้นหรือไม่นะ
เขารู้ว่าการคาดคะเนนี้น่าตกตะลึงเหลือเชื่อ ถ้าเกิดกับตัวผู้อื่นคงไม่กล้าคิดไปในทางนี้เป็นอันขาด แต่เขาไม่เหมือนใคร ช่วงที่ผ่านมานี้สิ่งที่เขาศึกษามาโดยตลอดก็คือศาสตร์นี้!
หมอเทวดาหลี่กระแอมกระไอให้คอโล่งก่อนอ้าปากพูดหยั่งเชิง แม่หนูหลี ในเรือนเจ้ามีใครบ้างหรือ
เฉียวเจาแปลกใจอยู่บ้าง ด้วยหมอเทวดาหลี่มิใช่คนที่จะสนใจเรื่องสัพเพเหระเช่นนี้
นางควานหาคำตอบจากความทรงจำของหลีเจาที่เหลืออยู่ในหัวก่อนเอ่ยตอบ ท่านปู่ล่วงลับไปนานแล้วเจ้าค่ะ ในเรือนมีท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ กับพวกพี่ๆ น้องๆ
หมอเทวดาหลี่ลูบจมูก
นี่มิใช่พูดก็เหมือนไม่พูดรึ เรือนใครบ้างไม่มีคนพวกนี้ มิใช่เกิดจากกระบอกไม้ไผ่สักหน่อย
ดูท่าทางสงบนิ่งของแม่นางน้อยแล้ว หมอเทวดาหลี่ยิ่งไม่มั่นใจ เขาลองหยั่งเชิงอีกครั้งอย่างไม่ถอดใจ แม่หนูหลีเมื่อก่อนเคยได้ยินชื่อแม่ทัพเซ่าหรือไม่
เฉียวเจาอึ้งงันไป นางนิ่งคิดแล้วกล่าวตอบในฐานะของแม่นางน้อยหลีเจา ได้ยินกิตติศัพท์มานานแล้วเจ้าค่ะ
นับตั้งแต่เซ่าหมิงยวนออกรบครั้งแรก เขาก็กลายเป็นดาวแม่ทัพที่เจิดจ้าบาดตาที่สุดไปเสียแล้ว ทั้งยังเปล่งแสงระยิบระยับกลางท้องฟ้าต้าเหลียงมายาวนานถึงเจ็ดแปดปี แล้วจะมีใครไม่เคยได้ยินเล่า
หมอเทวดาหลี่ลอบถอนใจเบาๆ บางทีเขาคงคิดมากไปเอง
หรือบางทีเขาอาจจะคาดหวังอยากให้เด็กที่ฉลาดเฉลียวใจคอกว้างขวางผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่มากจนเกินไป
เมื่อล้มเลิกความคิดที่จะหยั่งเชิงแล้ว หมอเทวดาหลี่ก็หยิบผลไม้สีเขียวๆ ลูกหนึ่งจากในถาดมากัดคำหนึ่ง
ถุย! เปรี้ยวจนเข็ดฟัน
หลังผลไม้สีเขียวที่กัดไปแล้วคำหนึ่งถูกโยนออกไปทางนอกหน้าต่างพุ่งลอยเป็นวิถีโค้งอย่างงดงาม ก็ได้ยินเสียงร้องโอดโอยดังขึ้น
จอดๆ พวกไร้สำนึกคนใดกันที่โยนผลไม้ออกทางหน้าต่างเช่นนี้
เฉียวเจาปล่อยม่านหน้าต่างลง สบช่องชำเลืองมองข้างนอกแวบหนึ่ง เห็นหนุ่มฉกรรจ์ผู้หนึ่งยกมือข้างหนึ่งกุมหน้าผากวิ่งห้อสุดฝีเท้าไล่กวดตามรถม้ามา เป็นเหตุให้คนบนถนนหยุดยืนมองไปตามๆ กัน
ต่อจากนั้นองครักษ์คนหนึ่งกระโดดลงจากรถม้าทันที เขาเดินเข้าไปพูดอธิบายอะไรสักอย่างก็สุดรู้ ชายฉกรรจ์ผู้นั้นถึงจากไปด้วยสีหน้าพึงพอใจ
พอองครักษ์ย้อนกลับมา สหายด้านข้างก็ไต่ถามเสียงเบาๆ หนนี้จ่ายเท่าไรถึงไล่ไปได้
องครักษ์ตอบด้วยสีหน้าชืดชา อย่าเอ่ยถึงมันเลย หมดไปอีกสองตำลึงเงินแล้ว
เหล่าสหายด้านข้างพากันถอนใจ ลอบรำพึงว่าเส้นทางนี้ยากลำบากนักหนา ขืนปล่อยให้ท่านบรรพบุรุษบนรถม้าท่านนั้นก่อความวุ่นวายไปเรื่อยๆ พวกเขาคงต้องเอากระบี่พกไปจำนำแล้ว
หัวหน้าองครักษ์ทำหน้าละห้อย เร่งความเร็ว พรุ่งนี้ต้องไปถึงเมืองหลวงให้ได้