หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 173
บทที่ 173
พอเห็นเจียงซือหร่านย่นหัวคิ้วเข้าหากัน โอวหยางเวยอวี่ใจหล่นวูบ
หรือว่านางไม่ยินยอมรับปาก?
เจียงซือหร่านพิงผนังตัวรถม้าอย่างเฉื่อยชา ปรายตามองนาง “เอาล่ะ ข้ารู้แล้ว กลับไปรอฟังข่าวเถอะ”
โอวหยางเวยอวี่ตาเป็นประกายทันใด น้ำตาไหลพรากๆ อย่างกลั้นไม่อยู่ นางร้องไห้ไปกล่าวขอบคุณไป “ขอบคุณคุณหนูเจียงๆ…”
เจียงซือหร่านแค่นเสียงฮึ “เลิกพูดมากได้แล้ว รีบจัดการตัวเองให้เรียบร้อยเถอะ ผมเผ้าสยายรุงรัง คนอื่นจะนึกว่าข้าทำอะไรใครอีก”
พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ เจียงซือหร่านก็ขัดเคืองใจนัก
นางคร้านจะเสแสร้งทำตัวเป็นกุลสตรีอ่อนหวานเฉกคนพวกนั้น แต่ไม่ได้โหดร้ายถึงขั้นจงใจทำให้ใครเสียโฉม ด้วยระดับฝีมือยิงธนูของนางไม่เป็นปัญหาใดชัดๆ ไฉนถึงยิงโดนใบหน้าของหลีซานได้นะ
ต้องเป็นหลีซานที่กลัวจนขยับตัวไปมา รอไว้พบกันอีกทีคราวหน้า นางต้องถามให้รู้ดำรู้แดง จะได้ไม่ต้องแบกรับเสียงครหาเช่นนี้เปล่าๆ ปลี้ๆ
เจียงซือหร่านยิ่งคิดยิ่งหัวเสีย นางไล่โอวหยางเวยอวี่ลงจากรถม้าแล้วตรงดิ่งกลับเรือนไป
โค่วจื่อโม่ซึ่งหลบอยู่ด้านข้างเดินมาหาโอวหยางเวยอวี่ พลางถามด้วยสีหน้าห่วงใย “เวยอวี่ เป็นอย่างไรบ้าง คุณหนูเจียงตกปากรับคำหรือไม่”
โอวหยางเวยอวี่มุ่นผมใหม่เรียบร้อย นางกุมมือโค่วจื่อโม่พร้อมกับยิ้มทั้งน้ำตา “รับปากแล้ว นางรับปากแล้วจริงๆ”
โค่วจื่อโม่เผยรอยยิ้มจากใจจริงตามไปด้วย “รับปากแล้วก็ดี นางเป็นบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลิน ต้องถามข่าวของท่านลุงได้แน่”
“ใช่แล้วๆ” โอวหยางเวยอวี่ปาดน้ำตาออกลวกๆ ด้วยความรู้สึกเต็มตื้น “พวกท่านปู่ข้าวิ่งวุ่นขอความช่วยเหลือไปทั่วก็ไร้หนทาง ท่านแม่ข้าร้อนใจจนล้มป่วย คิดไม่ถึงว่าข้าจะได้ข่าวของท่านพ่อผ่านทางคุณหนูเจียง ประเดี๋ยวกลับไปบอกกับพวกท่านแม่ พวกท่านต้องดีใจแทบแย่เลยทีเดียว”
พอพูดถึงตรงนี้ โอวหยางเวยอวี่ก็ผวากลัวขึ้นมาภายหลังเสียแล้ว
ถ้าหากนางวางยาพิษสังหารหลันซีหนงจริงๆ เกรงว่าเวลานี้คงกลายเป็นศพเย็นชืดถูกหามออกมา พวกท่านแม่รู้ข่าวจะตกอยู่ในสภาพใดเล่า นางไม่กล้าคิดต่อ เอ่ยพึมพำขึ้นว่า “เคราะห์ดีมีคุณหนูหลีซาน…”
โอวหยางเวยอวี่ทำหน้าเสียเล็กน้อยก่อนจะกล่าว “พี่จื่อโม่ ท่านว่าบาดแผลบนหน้าคุณหนูหลีซานจะรักษาหายได้หรือไม่ จะเป็นแผลเป็นหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ นางจะไม่น่าสงสารเกินไปหรือ”
“นั่นสิ ข้าก็รู้สึกเสียดายแทนคุณหนูหลีซานเหลือเกิน” โค่วจื่อโม่ยกมือลูบหน้าโดยไม่รู้ตัว เงาร่างคนผู้หนึ่งผุดขึ้นในห้วงความคิด
คนผู้นั้นสง่าผ่าเผยไม่เป็นสองรองใคร เคยเป็นที่ใฝ่ฝันถึงของเด็กสาวตั้งมากเท่าไร บัดนี้กลับเสียโฉมไปแล้ว สายตาชื่นชมหลงใหลในวันวานเหล่านั้นแปรเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวรังเกียจจนหมด ในใจเขาน่าจะทุกข์ทรมานเพียงใดเล่า
คุณหนูหลีซานเป็นสตรี รูปโฉมย่อมมีความสำคัญมากกว่าพวกบุรุษ ถ้าเหลือรอยแผลเป็นบนหน้า เกรงว่า..
โค่วจื่อโม่ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกเสียดาย
“พี่จื่อโม่ ระยะนี้ข้ามีปัญหารุมเร้าอยู่คงไปที่ใดมาที่ใดตามสบายไม่ได้ หากท่านไม่ติดขัดอะไร ก็ส่งคนไปถามข่าวของคุณหนูหลีซานด้วยนะ ได้รู้ว่านางเป็นอย่างไร พวกเราก็คลายใจลงได้บ้าง”
โค่วจื่อโม่พยักหน้า “จริงของเจ้า กลับไปแล้วข้าจะหาคนไปเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของสกุลหลี หากมีข่าวคราวของคุณหนูหลีซาน ข้าจะส่งคนไปบอกให้เจ้ารู้”
“อื้อ”
จากนั้นพวกนางถึงได้กล่าวล่ำลากันในเวลานี้
อีกด้านหนึ่ง เจียงซือหร่านนั่งอยู่บนรถม้า แหวกม่านหน้าต่างออกส่งเสียงถามเจียงเฮ่อ “เจ้าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของ ‘ราชองครักษ์’ คนใดรึ”
“ข้าน้อยติดตามท่านสิบสามขอรับ” เจียงเฮ่อเงยหน้ายืดอกกล่าว
“พี่สือซาน?” นางได้ยินแล้วสีหน้าท่าทางก็คลายความจองหองวางอำนาจลงทันใด มุมปากยกโค้งขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ “ที่แท้เป็นพี่สือซานสั่งให้เจ้าอารักขาข้าเองหรือนี่”
เจียงเฮ่อรู้สึกว่าท่าทีของคุณหนูเจียงผู้นี้เปลี่ยนไปแปลกๆ ในชั่วอึดใจ มุมปากเขากระตุกริกขณะกล่าวตอบ “ขอรับ”
เจียงซือหร่านม้วนปลายผมเล่น ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พลางไต่ถาม “เจ้าชื่อว่าอะไร”
“ข้าใช้แซ่เจียงตามท่านสิบสาม มีนามว่าเจียงเฮ่อขอรับ”
“เจียงเฮ่อหรือ เป็นชื่อที่ดีจริงๆ พี่สือซานของข้าตั้งชื่อนี้ให้เจ้ากระมัง”
“ขอรับ”
เจียงซือหร่านขมวดคิ้ว คนผู้นี้ทื่อมะลื่อน่าเบื่อจริงๆ ห่างชั้นกับพี่สือซานของนางไกลคนละขุม พี่สือซานมีผู้ใต้บังคับบัญชาเช่นนี้ได้อย่างไร
“เจียงเฮ่อ ข้าขอถามสักหน่อยสิ พี่สือซานบอกกับเจ้าเช่นไรหรือ”
“เอ๊ะ?” เจียงเฮ่องงงันไป เขาไม่เข้าใจความหมายของเด็กสาวผู้นี้โดยสิ้นเชิง
“ก็คือ…เขาบอกกับเจ้าว่าอะไรตอนให้เจ้าอารักขาข้าน่ะ”
“ท่านสิบสามบอกว่าถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับท่านให้ข้าหิ้วศีรษะตัวเองไปพบขอรับ”
เจียงซือหร่านฟังแล้วหวานล้ำไปทั้งใจทันที นางถามต่อ “ตอนนี้พี่สือซานอยู่ที่ที่ว่าการใช่หรือไม่”
“น่าจะอยู่กระมังขอรับ” เจียงเฮ่อตอบอย่างไม่มั่นใจ
“สารถี ตรงไปที่ที่ว่าการกององครักษ์จินหลิน” เจียงซือหร่านตะโกนสั่งจบแล้วปล่อยม่านหน้าต่างลงไม่กล่าววาจาต่ออีก
เจียงเฮ่อทำสีหน้าฉงนฉงาย แต่พอคิดอีกทีว่าตนกำลังจะไปพูดรายงานใต้เท้าพอดีก็เลยกระวีกระวาดตามไป
เจียงหย่วนเฉาสะสางงานในมือเสร็จแล้ว จึงผลักหน้าต่างเปิดออกแลมองทิวทัศน์ในลานกว้าง พลันได้ยินเสียงเรียกอย่างร่าเริงดังลอยมา “พี่สือซาน…”
เด็กสาวชุดสีแดงผู้หนึ่งเข้ามาอย่างว่องไว รอยยิ้มสดใสดุจบุปผา โฉมงามเฉิดฉายชวนพิศ
เจียงหย่วนเฉาจึงยิ้มบางๆ “หร่านราน ไฉนวันนี้มีเวลาว่างมาที่นี่”
“มาเยี่ยมท่านน่ะสิ ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ข้ายังไม่รู้ว่าพี่สือซานส่งคนไปอารักขาข้า” เจียงซือหร่านยกมือชี้ไปที่เจียงเฮ่อ
“อย่างนั้นหรือ” มุมปากของชายหนุ่มอมยิ้มยามมองไปทางเจียงเฮ่อ
เจียงเฮ่อรู้สึกหนังศีรษะชาวาบในพริบตาจนต้องย่นคอห่อไหล่ มาตรว่าใต้เท้าจะยิ้มอยู่ แต่เขากลับสังหรณ์ใจไม่ดีว่าประเดี๋ยวจะโดนถลกหนังอยู่ไม่วาย
เจียงเฮ่อฉวยจังหวะคนทั้งสองสนทนากันลอบเล็ดลอดออกไป
“พี่สือซาน พักนี้ท่านงานยุ่งหรือไม่เจ้าคะ”
“พอประมาณ แล้วหร่านรานล่ะ วันนี้มีงานสังสรรค์ของชุมนุมฟู่ซาน สนุกสนานหรือไม่”
เมื่อเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา เจียงซือหร่านมุ่นหัวคิ้วทันควัน นางเบะปากกล่าว “ไม่สนุกเจ้าค่ะ น่าเบื่อจะตายไป มีคนทำให้ข้าขายหน้าครั้งใหญ่ด้วย”
“หือ?” เจียงหย่วนเฉามองนางพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ ทำท่าทางรับฟังอย่างมีน้ำอดน้ำทน
ตรงกลางอกของเด็กสาวหวานชื่นขึ้นหลายส่วน นางเอ่ยเล่าว่า “ชุมนุมฟู่ซานมีผู้เข้าร่วมคนใหม่ สุ่มไม้ติ้วตามกฎได้ข้าเป็นคนตั้งหัวข้อทดสอบนางพอดี พี่สือซานไม่รู้หรอกว่าคนผู้นั้นถือว่าตนมีมารดารักใคร่ คอยรังแกพี่สาวที่กำพร้ามารดาแต่เด็กเสมอ ท่านว่าคนอย่างนี้น่ารังเกียจใช่หรือไม่”
“น่ารังเกียจมาก” เจียงหย่วนเฉาพูดเออออตามพลางกลั้วเสียงหัวร่อเบาๆ
“นั่นน่ะสิเจ้าคะ ดังนั้นข้าขบคิดว่าจะให้นางได้เจอดีบ้าง ก็เลยใช้นางเป็นเป้ายิงลูกท้อ ดูว่านางจะกลัวจนหัวหดหรือไม่ ตอนเริ่มต้นยังเป็นไปด้วยดี ใครจะรู้ว่าตอนยิงธนูดอกที่สามนางจะขยับไปมา ผลปรากฏว่าข้าเลยยิงถูกใบหน้านางเข้า” เจียงซือหร่านยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด นางทำปากยื่นกล่าวต่อ “พี่สือซาน ท่านรู้ฝีมือยิงธนูของข้าดี ยิงลูกท้อระยะใกล้ๆ เท่านั้น เป็นไปได้อย่างไรที่จะพลาดเป้า นี่มิใช่นางเป็นตัวการทำให้ข้าขายหน้าหรือ ซ้ำยังโดนคนอื่นว่ากล่าวลับหลังว่าข้าโหดเหี้ยม”
เจียงซือหร่านจับชายแขนเสื้อของชายหนุ่มแกว่งไปแกว่งมา พลางเอ่ยถามอย่างออดอ้อน “พี่สือซาน ท่านว่าไม่ยุติธรรมกับข้าเลยใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ดวงตาที่เรียวยาวเล็กน้อยของเจียงหย่วนเฉาหรี่ลงครึ่งหนึ่งไม่ให้ใครอ่านความรู้สึกใดๆ ได้ หากมุมปากยังคงประดับรอยยิ้มอ่อนโยนไว้ น้ำเสียงแฝงรอยพะเน้าพะนอตามใจ
“ไม่ยุติธรรมมาก แต่เห็นทีว่าคุณหนูท่านนั้นคงตกใจแทบแย่ ยังเป็นแผลที่ใบหน้าก็ถือว่าได้รับบทลงโทษแล้ว หร่านรานก็อย่าโมโหนางอีกเลยนะ”
“ไม่ได้ พี่สือซาน ท่านส่งคนไปสืบถามให้ข้าทีว่านางเป็นอย่างไรบ้าง ถ้ากล้าเอาข้าไปนินทาเสียๆ หายๆ ส่งเดชล่ะก็ ข้าไม่ปล่อยนางไว้แน่”
“เป็นคุณหนูตระกูลใดหรือ”
“ดูเหมือนบิดาของนางจะเป็นอาลักษณ์เล็กๆ คนหนึ่งแซ่หลี นางเป็นคุณหนูสามของจวนสกุลหลีเจ้าค่ะ”