หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 182
บทที่ 182
ใต้แสงตะวันงามตา คันธนูเรียงรายเป็นแถวส่องประกายเย็นเยียบชวนให้หนาวสะท้านจับจิตจับใจ
ชาวเมืองที่มุงดูอยู่มีสีหน้าสะพรึงกลัว พากันถอยหลังทีละก้าวๆ ก่อนจะแตกฮือสลายตัวไปในพริบตาเดียว
“ฮูหยินผู้เฒ่า เชิญเข้าไปนั่งข้างในเถอะขอรับ” เจียงหย่วนเฉาหยักยิ้มบางๆ ดุจเก่า หากสีหน้านิ่งสนิท
สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งบูดบึ้ง นางมองเจียงหย่วนเฉาอย่างพินิจ “มิน่าใต้เท้าอายุยังน้อยก็อยู่ในตำแหน่งสูง สมดังคำกล่าวว่าผู้สำเร็จการใหญ่ไม่ใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อย แต่ใต้เท้าน่าจะเคยได้ยินว่าปิดปากไพร่ฟ้าเป็นภัยยิ่งกว่าลำน้ำอุดตันกระมัง”
เจียงหย่วนเฉายิ้มน้อยๆ “ในเมืองหลวงมีเรื่องราวมากมาย เรื่องของคนอื่นพรรค์นี้ เดินคล้อยหลังไปพวกชาวบ้านก็ลืมหมดแล้วขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งยิ้มเยาะ “ถูก ไม่ใช่เรื่องของตัวเองคล้อยหลังไปก็ลืมแล้วจริงๆ แต่ว่าเรื่องที่คนผู้หนึ่งกระทำเอาไว้นั้นลบทิ้งไปไม่ได้หรอกนะ”
ใช่ว่านางมิได้คาดคะเนถึงรูปการณ์นี้ ขับไล่ชาวบ้านไปแล้วจะมีอันใด พวกเขาเหล่านี้กับชาวบ้านทั่วไปไม่ใช่แวดวงเดียวกัน ชาวบ้านคล้อยหลังไปก็ลืม แต่ถึงที่สุดแล้วต้องมีบางคนอยู่ในแวดวงเดียวกับคุณหนูเจียง
นางไม่อาจใช้วิธีตาต่อตาฟันต่อฟัน ทำให้คุณหนูเจียงเสียโฉมเหมือนกัน ทว่าอย่างน้อยทำให้อีกฝ่ายชดใช้ด้วยชื่อเสียงได้
พอเห็นท่าทีของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งแข็งกร้าวเช่นนี้ เจียงหย่วนเฉาถอนใจเบาๆ แล้วออกคำสั่ง “เชิญฮูหยินผู้เฒ่ากับใต้เท้าหลีเข้าไปข้างใน” ว่าแล้วเขาก็หมุนตัวเดินไป
นี่คือจะใช้ไม้แข็งแล้ว
“ห้ามแตะต้องท่านย่ากับท่านพ่อข้านะ” หลีฮุยกระโดดลงจากรถม้าพุ่งทะยานไป เขาวิ่งเร็วเกินไปจนหอบหายใจแฮกๆ สองแก้มแดงก่ำ แต่แววตาวาวโรจน์จนน่าตกใจ
“ฮุยเอ๋อร์ เจ้ามาตอนนี้ได้อย่างไร” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งพูดดุเสียงขุ่นๆ แล้วเหลือบตามองไปทางรถม้า
เจียงหย่วนเฉามองตามสายตาของหญิงชรา รอยยิ้มมุมปากเขาก็เลือนหายไปในชั่วอึดใจ
เด็กสาวก้มศีรษะลงจากรถม้า จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองมาอย่างสงบนิ่ง
แก้มขวาของนางหายบวมแล้ว ทว่ารอยแผลนั่นยิ่งเด่นชัดขึ้น เห็นแล้วชวนให้เจ็บแปลบปลาบในใจลึกๆ
เฉียวเจาเยื้องย่างด้วยฝีเท้าเป็นจังหวะ เมื่อนางเดินเข้าไปใกล้ องครักษ์จินหลินที่ถืออาวุธมีคมเปล่งประกายวาววับก็อดเบนสายตาออกไม่ได้
พวกเขาเห็นการพลัดพรากสูญเสียมาจนชาชิน แม้กระทั่งเวลาตามล่าจับกุมคนร้าย พวกสตรีในครอบครัวเอาศีรษะพุ่งชนกำแพงจบชีวิตต่อหน้าต่อตาก็พบได้บ่อยๆ แต่เห็นเด็กสาวที่งดงามดุจบุปผาโดนทำลายโฉมจนกลายเป็นเช่นนี้อย่างไม่ปรานีปราศรัยกับตา ก็บังเกิดความรู้สึกทนดูไม่ได้
อีกทั้งเป็นคุณหนูเจียงยิงที่ยิงธนูใส่คุณหนูผู้นี้ โทษมิได้ที่บิดาพี่ชายและผู้อาวุโสในครอบครัวนางจะโมโหโกรธาถึงขั้นที่ต้องทวงความยุติธรรมให้ได้
ความยุติธรรมน่ะหรือ โลกนี้มีความยุติธรรมที่ใดกันเล่า
เมื่อเด็กสาวเดินมาถึง ไม่มีองครักษ์จินหลินคนใดยื่นมือขัดขวาง
“เจาเจา เจ้ามาได้อย่างไรกัน” พอเห็นเฉียวเจาตามมา ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งก็ยิ่งทำสีหน้าไม่ดีมากขึ้น
อันที่จริงตามสภาพการณ์ในวันนี้ ถ้าจะให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด หลานสาวของนางต้องปรากฏตัวด้วยเพื่อเผยใบหน้าให้เห็นเป็นประจักษ์แก่สายตาคนทั่วหล้า
ทว่านางหักใจทำไม่ได้ หลานสาวของนางต้องทุกข์ทรมานปานนี้ ไหนเลยจะปล่อยให้คนอื่นวิพากษ์วิจารณ์รูปลักษณ์หน้าตากันอย่างสนุกปากเหมือนเป็นสิ่งของได้อีก เช่นนี้โหดร้ายต่อเจาเจาเกินไป!
“เหอซื่อ ข้าสั่งกำชับเจ้าไว้เช่นไร”
“เจาเจา…อยากมา” เหอซื่อพูดอึกๆ อักๆ
เฉียวเจายื่นมือไปกุมมือฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งไว้ ค่อยหมุนกายไปสบตากับเจียงหย่วนเฉา
ในใจชายหนุ่มปนเปไปด้วยความรู้สึกหลายหลาก เขาคิดไม่ถึงว่าจะได้พบแม่นางน้อยผู้นี้อีกครั้งในสถานการณ์ขัดแย้งตึงเครียดเช่นนี้
ครั้นนางเดินหน้าก้าวหนึ่ง เจียงหย่วนเฉาก็ถอยหลังก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
พวกองครักษ์จินหลินมองหน้ากันไปมา
ท่านสิบสามของพวกเขาเป็นอะไรไป ถึงกับตกใจกับบาดแผลบนใบหน้าของเด็กสาวผู้หนึ่ง นี่ไม่พ้องกับปกติวิสัยเอาเสียเลย!
เฉียวเจายืนอยู่ตรงหน้าเจียงหย่วนเฉา นางลอบสะทกสะท้อนใจ
นี่ก็คือองครักษ์จินหลิน ผู้ที่ไม่มีวันเป็นสหายได้ตลอดไป ด้วยไม่รู้ว่าวันใดที่ได้พบกันอีกครา อีกฝ่ายจะหันหลังให้อย่างสิ้นไมตรี
ฝ่ายเจียงหย่วนเฉาพลันรู้สึกว่าสายตาของเด็กสาวตรงหน้าบาดตาอยู่บ้าง จู่ๆ เขาก็เจ็บตรงกลางอกแปลบหนึ่ง ราวกับสูญเสียสิ่งสำคัญอะไรบางอย่างไป แต่เขากลับไม่อาจรู้ได้
น่าจะ…เป็นเพราะเห็นสิ่งที่สวยงามถูกทำลายลงอย่างโหดร้าย ในใจถึงบังเกิดความเสียหายกระมัง
เขาเป็นมนุษย์ผู้หนึ่งเฉกเดียวกัน เป็นมนุษย์ก็ย่อมต้องมีเลือดเนื้อและจิตใจ
สีหน้าแววตาของชายหนุ่มอ่อนละมุนลง น้ำเสียงเขาสุภาพนุ่มนวลยิ่ง “คุณหนูหลี บาดแผลบนใบหน้าท่านไม่พึงโดนแสงแดดโดยตรง ท่านมิสู้เกลี้ยกล่อมท่านย่าของท่านเข้าไปในที่ว่าการก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกทีจะดีกว่านะ”
หลีกวงเหวินฉุนโกรธ “อย่าพูดคุยกับบุตรสาวข้า!”
เจียงหย่วนเฉาอึ้งงัน “…”
พวกองครักษ์จินหลินอึ้งงันมากยิ่งกว่า “…” ดูเหมือนสถานการณ์จะไม่เหมือนกับที่คิดไว้อยู่สักหน่อย
องครักษ์จินหลินสองคนในบรรดานั้นสบตากันแล้วแจ่มแจ้งในบัดดล
นึกออกแล้ว วันที่ฝนตกหนักวันนั้นมิใช่เจ้าคนทึ่มผู้นี้ขวางหน้าพวกข้าไว้แล้วด่าทอสาดเสียเทเสียหรือ ท่านสิบสามไม่เพียงไม่ถือสาหาความ ยังให้พวกข้าพาเจ้าคนทึ่มที่หลงทางผู้นี้ไปส่งถึงเรือนอีกด้วย
หรือว่าท่านสิบสามใจกว้างถึงเพียงนี้เพราะคุณหนูหลีท่านนี้?
องครักษ์จินหลินทั้งสองรู้สึกได้เลาๆ ว่าค้นพบเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง ทว่ายังบอกคนอื่นไม่ได้!
เฉียวเจานิ่งมองเจียงหย่วนเฉาเงียบๆ นางนึกในใจ
มิน่าเจียงหย่วนเฉาอายุยังน้อยๆ ก็เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินได้แล้ว ตัดสินใจได้เด็ดขาดฉับไวจนคลี่คลายสถานการณ์ที่ท่านย่าสร้างขึ้นได้มากกว่าครึ่ง เพียงความใจกล้าเชื่อมั่นในตนโดยไม่กลัวเสียงประณามก็หาได้ยากแล้ว
สำหรับชื่อเสียงของคุณหนูเจียง…
ในใจเฉียวเจาชักสับสนงุนงง
ดูท่าทางเจียงหย่วนเฉามิได้ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของคุณหนูเจียงสักเท่าไร
เพราะเห็นว่าไม่ว่าชื่อเสียงของคุณหนูเจียงจะเป็นเช่นไร คนอื่นล้วนได้แต่เก็บไว้ในใจไม่กล้าพูดซึ่งๆ หน้าใช่หรือไม่
เฉียวเจาลอบยิ้มเยาะ นางไม่กระทำเรื่องที่เสียเปรียบ ในเมื่อเจียงซือหร่านยิงธนูดอกที่สามแล้ว วันหน้าก็จะคบหาสมาคมกับหมู่สตรีชั้นสูงไม่ได้อีก
องครักษ์จินหลินอาจมีอำนาจบารมีล้นฟ้า ทว่าท้ายที่สุดแผ่นดินนี้หาใช่แผ่นดินของพวกเขาไม่ เพียงแต่คุณหนูเจียงไม่เคยสำเหนียกถึงจุดนี้มาก่อนเท่านั้นเอง
จุดมุ่งหมายของท่านย่าลุล่วงไปเกินครึ่ง ตอนนี้เจียงถังจะขอขมาหรือไม่มิใช่เรื่องสำคัญ เพราะทุกคนล้วนเห็นว่าชาวสกุลหลีก้าวออกมาแล้ว
สิ่งที่พวกท่านย่าต้องการในขณะนี้คือเอาตัวรอดไปได้อย่างปลอดภัยหลังได้พบกับเจียงถัง
แล้วเรื่องนี้คือหน้าที่ของนาง
ปัญหาที่นางก่อขึ้นย่อมสมควรให้นางสะสางเป็นธรรมดา
เฉียวเจาผงกศีรษะน้อยๆ กับเจียงหย่วนเฉา
เขาลอบผ่อนลมหายใจเฮือกหนึ่ง ดีชั่วในครอบครัวนี้ก็มีคนที่เข้าใจเหตุผลผู้หนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นเชิญทุกท่านเข้าไปข้างในเถอะ”
เฉียวเจาหันหน้าไปพยักพเยิดกับฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง
นางไม่ได้กล่าววาจาสักคำ แต่พอสบสายตาสุขุมเยือกเย็นของหลานสาว ในใจหญิงชราก็บังเกิดความมั่นใจแล้วโดยพลัน
ในเมื่อนางตั้งความหวังให้หลานเจาปกป้องดูแลลูกหลานรุ่นหลังในภายภาคหน้า ไยวันนี้ไม่ฉวยจังหวะนี้ดูฝีมือของหลานเจาเล่า
บางทีสิ่งที่นางต้องมอบให้หลานเจามากขึ้นคือความไว้ใจและการสนับสนุน
“ได้ พวกเราเข้าไปรอข้างใน” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งลุกขึ้นในที่สุด
ชะรอยจะนั่งนานเกินไป อีกทั้งสูงวัยแล้ว หญิงชราตัวเซไปวูบหนึ่ง
“ฮูหยินผู้เฒ่าระวังเจ้าค่ะ!” เหอซื่อพยุงมารดาสามีไว้
เฉียวเจาหลับตาลงกลั้นน้ำตาไว้ นางคาดคำนวณไว้หมดทุกสิ่ง ลืมเลือนเพียงอย่างเดียวก็คือความห่วงใยและสงสารของชาวสกุลหลี
วันหน้าไม่มีซ้ำสองอีก…
เฉียวเจาลืมตาขึ้นอีกครา ชำเลืองมองเจียงหย่วนเฉาแวบหนึ่งก่อนย่างเท้าเข้าไป
เขาอึ้งไปเล็กน้อย แม่นางน้อยร่ำไห้แล้วใช่หรือไม่
สายตาของชายหนุ่มกวาดผ่านพวงแก้มที่เป็นแผลของเด็กสาวแล้วเลื่อนลงมองปราดหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ เขานิ่งขึงไปกะทันหัน
ตรงเอวของนางเหน็บถุงผ้าปักไว้ใบหนึ่ง ปักลายลูกเป็ดน่ารักน่าเอ็นดูไว้ตรงมุม แต่ตาเป็ดสีเขียวสดใสราวกับผิวน้ำทะเลสาบในวสันตฤดูคู่นั้นกลับทำให้หัวใจของเขาแทบหยุดเต้น