หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 187
บทที่ 187
เฉียวเจาส่ายหน้า
“ถ้าอย่างนั้นข้าส่งท่านกลับไปก่อนเถอะ” เซ่าหมิงยวนเดินไปด้านหน้ารถม้าแล้วหยิบแส้ม้าขึ้นด้วยท่าทางเป็นปกติมาก
เฉียวเจาก็ไม่ร่ำไร พยักหน้ากับเขาเล็กน้อยแล้วก้มตัวเข้าไปในรถม้า
ชายหนุ่มตวัดแส้ รถม้าก็เคลื่อนตัวออกไป
องครักษ์จินหลินที่มองดูอยู่ไกลๆ รีบไปรายงานกับเจียงถัง “ท่านผู้บัญชาการใหญ่ ข้าเห็นกวนจวินโหวกับคุณหนูหลีผู้นั้นพบปะกันขอรับ”
เจียงถังกับเจียงหย่วนเฉากำลังเดินกลับไปที่จวนหยุดฝีเท้าพร้อมกัน
“มีอะไรผิดจากปกติหรือไม่” เจียงถังไต่ถาม
กวนจวินโหวมาหาเขาเพื่อแม่นางน้อยผู้นั้น จะพบปะกันก็ไม่มีอันใดน่าแปลก
องครักษ์จินหลินคิดๆ แล้วกล่าวตอบ “กวนจวินโหวเป็นสารถีให้คุณหนูผู้นั้น ไม่รู้ว่าควบขับรถม้าไปที่ใด”
แววประหลาดใจผุดวาบขึ้นในดวงตาเจียงถัง
อันที่จริงการสอดแนมเช่นนี้ขององครักษ์จินหลินไม่นับเป็นการสอดแนมโดยตั้งใจ เพราะตรงนั้นอยู่ใกล้กับที่ว่าการกององครักษ์จินหลินเหลือเกิน คงบอกได้เพียงว่ากวนจวินโหวไม่สนใจสักนิดว่าพวกเขาจะมองเห็น
แม่ทัพเป่ยเจิงผู้ทรงเกียรติถึงกับเป็นสารถีให้เด็กสาวผู้หนึ่ง เขาทำเช่นนี้เป็นการแสดงให้เห็นว่าตนให้ความสำคัญต่อแม่น้อยผู้นั้นอย่างชัดเจนขึ้นอีกขั้นหนึ่งหรือ
“เอาล่ะ ไปได้แล้ว”
จากนั้นเจียงถังกับเจียงหย่วนเฉาก็ขี่ม้าไปเรื่อยๆ อย่างไม่เร็วไม่ช้า
เจียงถังหันหน้ามาเอ่ย “สือซาน กลับไปแล้วลองสืบดูสิว่ากวนจวินโหวกับแม่นางน้อยผู้นั้นมีความเกี่ยวข้องใดกันแน่”
“ขอรับ” เจียงหย่วนเฉาขานตอบอย่างเหม่อลอยอยู่บ้าง
เจียงถังเลิกคิ้วขึ้น “เป็นอะไรไปรึ มีความในใจหรือ”
เจียงหย่วนเฉาดึงความคิดคืนมาแล้วยกยิ้ม “ข้าคิดเรื่องของกวนจวินโหวอยู่ขอรับ”
“เลิกคิดได้แล้ว ถึงเรือนแล้ว อย่าเอาเรื่องงานกลับเรือน” เจียงถังพลิกกายลงจากหลังม้า ก่อนจะส่งสายบังเหียนให้บ่าวรับใช้ที่ออกมาต้อนรับ เขาเดินไปข้างในพลางเอ่ยถาม “คุณหนูล่ะ”
สิ้นเสียงเขาไม่ทันไร ร่างร่างหนึ่งในชุดสีชมพูอ่อนก็วิ่งทะยานออกมา สุ้มเสียงสดใสเริงร่ายิ่ง “พี่สือซาน ท่านกลับมาแล้ว…”
เจียงถังตีหน้าบึ้ง “รู้จักแต่พี่สือซานของเจ้ารึ ท่านพ่อของเจ้ายืนอยู่ตรงนี้ทั้งคน มองไม่เห็นใช่หรือไม่”
เมื่อพบว่าบิดาก็กลับมาด้วย เจียงซือหร่านมีสีหน้าประหลาดใจแกมยินดี “ท่านพ่อกลับมาแต่หัววันเช่นกันหรือนี่ วันนี้มีเรื่องดีอะไรหรือเจ้าคะ”
เจียงถังยกมือยีผมบุตรสาวเบาๆ พูดพร้อมกับสาวเท้าเข้าจวน “มีข่าวดีหนึ่งอย่าง ข่าวร้ายหนึ่งอย่าง หร่านรานอยากฟังข่าวใดก่อน”
เจียงซือหร่านขยิบตาอย่างซุกซน “ข่าวดีสามารถทำให้ข้าไม่เสียอารมณ์เพราะข่าวร้ายนั่นเลยสักนิดได้หรือไม่เจ้าคะ”
เจียงถังตวัดสายตามองเจียงหย่วนเฉาอย่างเป็นนัยๆ ก่อนยิ้มกริ่มเอ่ยขึ้น “น่าจะได้นะ”
เจียงซือหร่านคล้องแขนกับบิดา คลี่ยิ้มงามดุจบุปผา “เช่นนั้นฟังข่าวดีก่อนสิเจ้าคะ เผื่อว่าข้าฟังข่าวร้ายก่อนแล้วจะไม่มีแก่ใจฟังข่าวดี”
“เช่นนั้นก็เข้าไปคุยกันในเรือนเถอะ”
เมื่อเข้าสู่เรือนแล้ว เจียงซือหร่านสั่งให้สาวใช้ยกน้ำชามาวาง นางเอ่ยถามอย่างทนรอไม่ไหว “ท่านพ่อ เป็นข่าวดีอะไรเจ้าคะ”
“หร่านรานลองเดาดูสิ”
“นี่จะเดาได้อย่างไรกัน ไม่มีคำบอกใบ้เลย”
“เกี่ยวกับพี่สือซานของเจ้า” เจียงถังชอบมองบุตรสาวที่รักทำท่าทำทางเฉกเด็กหญิงตัวน้อยมากเป็นที่สุด
เจียงซือหร่านมองไปทางเจียงหย่วนเฉาทันที นางยื่นมือไปกระตุกแขนเสื้อเขา พูดเสียงอ่อนหวานขึ้นว่า “พี่สือซาน ตกลงเป็นข่าวดีอะไรกันแน่เจ้าคะ”
เจียงถังหันไปมองเจียงหย่วนเฉาด้วยสายตาคะยั้นคะยอ
สองพ่อลูกจับจ้องมองอยู่ เจียงหย่วนเฉารู้สึกราวกับแบกน้ำหนักไว้นับพันชั่ง มันกดทับลงมาจนเขาเอ่ยปากไม่ออก
“พี่สือซาน ท่านพูดสิเจ้าคะ”
เจียงหย่วนเฉาหลุบตาลงมองนาง
เด็กสาวอยู่ในวัยงามสะพรั่งที่สุด ผิวกายผุดผ่องเต่งตึง กระทั่งดวงตาที่แฝงแววสนใจใคร่รู้ไว้ยังแลดูสดใสมีชีวิตชีวา
ทว่านางไม่เป็นห่วงสักน้อยนิดว่าเด็กสาวที่ต้องเสียโฉมเพราะนางเป็นอย่างไรบ้างกันแน่
เจียงหย่วนเฉาคิดคำนึงในใจ ต้องตบแต่งน้องสาวบุญธรรมเป็นภรรยาจริงๆ หรือ
ท่านพ่อบุญธรรมมีบุญคุณต่อเขา น้องสาวบุญธรรมมีน้ำใจต่อเขา แต่เพราะอะไรแค่จะพยักหน้ากลับยากเย็นปานนี้เล่า
ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปเป็นเวลานานอยู่บ้าง ส่งผลให้แววตาของเจียงถังคมกร้าวขึ้นกะทันหัน
เจียงซือหร่านคล้ายจะรับรู้อะไรได้ นางเม้มปากจ้องมองเจียงหย่วนเฉาตาเขม็ง
“หร่านราน ข้า…” เจียงหย่วนเฉาปริปากแล้ว
ความรู้สึกในใจเขากำลังต่อสู้กันนับร้อยนับพันตลบ คำพูดนั้นมาจ่อรอตรงปลายลิ้นแต่กลับเอื้อนเอ่ยไม่ออกสักคำ
หากหัวใจไม่เคยหวั่นไหว ก็คงไม่ลำบากใจเฉกนี้ หากไม่รู้ว่าความรักคืออะไร ก็คงไม่รู้สึกหนักอึ้งถึงเพียงนี้
“ท่านพ่อจะให้พวกเจ้าหมั้นหมายกันแล้ว” เจียงถังอ้าปากบอก
ประโยคนี้ดังก้องขึ้นทำให้ทั้งคู่ตะลึงลานไปอย่างคาดไม่ถึง
“จริงหรือเจ้าคะ” ดวงตาของเจียงซือหร่านฉายแววยินดีเจียนคลั่ง
ด้านเจียงหย่วนเฉานั้น เมื่อหินก้อนมหึมาตรงกลางอกหลุดออกไปในที่สุด เขารู้สึกเจ็บแปลบๆ ระคนว่างเปล่าโหวงเหวง
“พี่สือซาน ท่านพูดบ้างสิ เป็นความจริงใช่หรือไม่”
เจียงถังยิ้มกว้างจนตาหยีกล่าวว่า “พี่สือซานของเจ้าตื่นเต้นเกินไปเลยไม่รู้จะพูดอย่างไร หร่านราน นี่นับเป็นข่าวดีหรือไม่”
สองแก้มของเด็กสาวซับสีแดงระเรื่อ นางกระทืบเท้าพลางพูด “ท่านพ่อ ท่านยังจะยิ้มอีก”
เจียงถังหัวเราะชอบใจ จากนั้นเอ่ยถามว่า “หร่านราน ตอนนี้ฟังข่าวร้ายได้แล้วใช่หรือไม่”
เจียงซือหร่านเม้มปากยิ้ม “ขอเพียงอย่าบอกข้าว่าข่าวนี้เป็นเรื่องโกหก ท่านพ่อก็พูดมาได้เต็มที่เลยเจ้าค่ะ”
“อีกสักครู่ให้สือซานไปจวนสกุลหลีเป็นเพื่อนเจ้าขอขมาแม่นางน้อยคนที่เจ้าทำให้หน้านางเป็นแผล”
“อะไรนะ” เจียงซือหร่านอึ้งไป พอคิดตามทันก็เอ่ยด้วยสีหน้าไม่เต็มใจ “ข้าไม่ไปเจ้าค่ะ นางขยับตัวไปมาเองแท้ๆ ถึงเป็นต้นเหตุให้ข้ายิงพลาดเป้าจนอับอายขายหน้าครั้งใหญ่ ไฉนยังต้องให้ข้าขอขมานางด้วยเจ้าคะ”
“หร่านราน ท่านพ่อตกปากรับคำสกุลหลีไปแล้วว่าจะให้เจ้าไปขอขมา” เจียงถังเล่าเรื่องที่ชาวสกุลหลีก่อกวนที่ที่ว่าการสั้นๆ
นางโกรธจนหน้าดำหน้าแดง “ท่านพ่อ ท่านกลัวอาลักษณ์เล็กๆ คนหนึ่งได้อย่างไรเจ้าคะ”
อาลักษณ์เล็กๆ นี่ต่างหากถึงน่ากลัว
เจียงถังคิดอยู่ในใจ เขาทำหน้าตึงกล่าวขึ้น “ถ้าหร่านรานไม่อยากไปล่ะก็ ข้าจะให้สือซานไปแทนเจ้าแล้วกัน”
ให้พี่สือซานไปคนเดียว?
เจียงซือหร่านฟังแล้วไม่ยินยอม นางพูดอย่างเสียไม่ได้ “อย่างนั้นพวกข้าไปด้วยกันดีกว่าเจ้าค่ะ แต่ว่าท่านพ่อต้องรับปากข้าเรื่องหนึ่ง”
“เรื่องใดหรือ”
นางกวาดตามองเจียงหย่วนเฉาแล้วคลี่ยิ้มพลางรุนหลังเขาออกนอกประตู “พี่สือซาน ท่านห้ามแอบฟังนะ ข้าจะบอกให้ท่านพ่อฟังคนเดียว”
เจียงหย่วนเฉาถูกดันออกมานอกห้อง เขายืนพิงผนังแหงนคอมองฟ้าอย่างใจลอย
เรื่องแต่งงานของเขาถูกกำหนดไปแล้วเช่นนี้หรือ
ครั้งหนึ่งตอนเขายังประทังชีพไปวันๆ อยู่ข้างถนน ได้หมั่นโถวมากขึ้นลูกหนึ่งก็ดีอกดีใจไปทั้งวัน
ทว่าเหตุใดคนเรายิ่งเติบใหญ่ก็ยิ่งโลภมากเล่า
สองพ่อลูกในห้องพูดอะไรกันก็สุดรู้ เจียงหย่วนเฉาหาได้มีแก่ใจถามไถ่ เขาย่ำเท้าไปมาอยู่ในลานเรือนอย่างไร้จุดหมาย
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ประตูถูกผลักเปิด เจียงซือหร่านวิ่งออกมาอย่างร่าเริง “พี่สือซาน พวกเราไปกันเถอะ”
เรื่องที่บุตรสาวคนโปรดของผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินไปเยือนจวนสกุลหลีเพื่อขอขมาต่อคุณหนูสามเล่าลือออกไปอย่างครึกโครมในเวลาอันสั้น
ในห้องส่วนตัวของหอชุนเฟิงที่พวกฉือชั่นมาพบปะกันเป็นประจำ คุณชายฉือหมุนคลึงถ้วยน้ำชาในมือเล่นพลางชำเลืองตาไปทางจูเยี่ยนกับหยางโฮ่วเฉิง “ไฉนข้ารู้สึกว่าพวกเจ้าสองคนมีเรื่องอะไรบางอย่างนะ”
หยางโฮ่วเฉิงมองจูเยี่ยนแวบหนึ่งแล้วปฏิเสธอย่างว่องไว “ไม่มีอะไร จะมีเรื่องอะไรได้ สือซี เจ้าอยากไปท่องเที่ยวที่เขาชิงเหลียงสองสามวันมิใช่หรือ พวกเราจะไปกันเมื่อไร”
ฉือชั่นมองเขาทางหางตา “เจ้าเข้าประจำกองกำลังลาดตระเวนแล้วมิใช่หรือ ยังอยากไปที่ใดก็ไปได้อีกหรือ”
หยางโฮ่วเฉิงหัวเราะในลำคอ “ที่นั่นก็แค่ที่รอรับเบี้ยหวัดไปวันๆ ใช่ว่าพวกเจ้าจะไม่รู้ว่ามันน่าเบื่ออย่างมาก ถิงเฉวียนไม่พาข้าไปร่วมทัพด้วย ข้าเลยได้แต่เป็นองครักษ์หลวงเรื่อยเปื่อยไปอย่างนั้นเอง”
“ถิงเฉวียนหายไปที่ใดอีกแล้ว ทุกครั้งที่มาล้วนไม่เห็นตัว ช่างเถอะ ไม่รอแล้ว” ฉือชั่นวางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะแล้วผลักประตูออกไป
ทว่าเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากชั้นล่างทำให้เขาชะงักฝีเท้ากึก