หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 189
บทที่ 189
ฉือชั่นอ้าปากอยู่นานสองนาน เขาเห็นสีหน้าแววตาหนักแน่นมั่นคงของเซ่าหมิงยวนแล้วกล่าวตบท้าย “นี่เจ้าเอะอะอะไรก็ไปหาผู้อาวุโสของคนอื่น มันน่าสนุกนักหรือไร”
เพราะเหตุใดเจ้าคนผู้นี้มักใช้เหตุผลผิดจากคนทั่วไปนะ
เซ่าหมิงยวนไม่เข้าใจเหตุผลของสหายเช่นเดียวกัน เขาถามกลับ “ไม่เช่นนั้นทำอย่างไรเล่า”
เขามองฉือชั่นอย่างตกตะลึง “หรือให้ไปชวนแม่นางน้อยทะเลาะวิวาท”
ฉือชั่นถูกถามก็รู้สึกเสียหน้าอยู่บ้าง เขาเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ถิงเฉวียน ข้าว่านะเจ้าจะวุ่นวายใจกับเรื่องของผู้อื่นมากมายถึงเพียงนี้ไปด้วยเหตุใดกัน”
“ข้าแค่ทำตามที่ได้รับไหว้วานสุดความสามารถเท่านั้น เจ้าอย่าเข้าใจผิด” เซ่าหมิงยวนกล่าวอย่างเปิดเผย
“ข้ามีอะไรเข้าใจผิด พิลึกคน!” ฉือชั่นลุกขึ้นยืน “ข้ากลับล่ะ”
เซ่าหมิงยวนมองตามแผ่นหลังของฉือชั่นที่เดินหนีไปอย่างกระดากอายแล้วแววตาไหววูบหนึ่ง เขามองไปทางสหายอีกสองคน
หยางโฮ่วเฉิงแบสองมือออกด้านข้าง “เขาเป็นเช่นนี้เสมอไม่เคยเปลี่ยน ยิ่งใส่ใจยิ่งปากแข็ง”
เซ่าหมิงยวนสองจิตสองใจเล็กน้อยก่อนถามว่า “สือซีใส่ใจคุณหนูหลีมากหรือ”
“เอ่อ…” หยางโฮ่วเฉิงรู้ตัวว่าพลั้งปาก เขาเกาศีรษะแกรกๆ พลางพูดแก้ขึ้น “ความจริงข้าก็ใส่ใจเหมือนกันนะ”
จูเยี่ยนกลั้นยิ้มไม่อยู่ เขาเอ่ยกับเซ่าหมิงยวน “จุดสำคัญคือการเดินทางไปที่จยาเฟิง ในช่วงที่อยู่ร่วมกับคุณหนูหลีเป็นเหตุการณ์ที่ยากจะลืมเลือนเหลือเกิน คุณหนูหลี…”
เขานิ่งคิดแล้วกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “เป็นคนพิเศษมาก ขอแค่เคยได้อยู่ร่วมกับนาง มันยากมากที่จะไม่…”
จูเยี่ยนอยากบอกว่ามันยากมากที่จะไม่ ‘ศิโรราบต่อนาง’ แต่รู้สึกว่าพูดเช่นนี้ไม่ใคร่เหมาะสม บางทีใช้คำว่า ‘ยอมจำนน’ จะเหมาะเจาะกว่า กระนั้นเป็นเพียงในเชิงความสามารถ ไม่เกี่ยวกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ
“มันยากมากที่จะไม่เลื่อมใสนางน่ะสิ ถิงเฉวียนเจ้าไม่รู้หรอกว่าคุณหนูหลีหลับตาเดินหมากยังเอาชนะสือซีกับจื่อเจ๋อได้เลย”
จูเยี่ยนอึ้ง “…” ข้ายังอยู่ตรงนี้นะ มีสหายที่ ‘แทงกันซึ่งหน้า’ เช่นนี้ด้วยหรือ
“อย่างนั้นหรือ” เซ่าหมิงยวนหยักยิ้ม
เขาหวนนึกถึงถ้อยคำซึ่งได้ยินที่นอกกระท่อมตอนฝนตกหนักวันนั้น
สาวใช้ถามคุณหนูหลีว่าเขาจะจัดการนายพรานสองคนอย่างไร คุณหนูหลีตอบว่า ‘ข้าไม่รู้เช่นกัน แต่ข้าเคารพในการทางเลือกของเขา’
เด็กสาวที่มีนิสัยใจคอเฉกนี้เป็นคนพิเศษจริงๆ
มิน่า…สือซีถึงต้องใจ
คุณชายฉือที่ล่ำลาเหล่าสหายเมื่อกลับถึงเรือนก็เริ่มรื้อตู้ค้นหีบจนข้าวของกระจุยกระจายรกไปทั้งห้อง
เถาเซิงเด็กรับใช้เข้ามาแล้วถามอย่างฉงนใจ “คุณชาย ท่านหาอะไรอยู่ ในห้องไม่มีที่วางเท้าได้แล้วนะขอรับ”
“ข้าจำได้ว่าตอนต้นฤดูใบไม้ผลิได้ยาขี้ผึ้งน้ำค้างแข็งเมฆาชั้นดีมาสองตลับ ลืมไปแล้วว่าวางไว้ตรงที่ใด”
“โธ่เอ๊ย คุณชาย ท่านอยากหาอะไรก็บอกกับข้าได้ ข้าจะหาให้เอง” เถาเซิงพุ่งตรงไปที่ตู้ใบหนึ่ง ยืนเขย่งบนปลายเท้าหยิบตลับหยกสีขาวสองใบจากลิ้นชักบนสุด “อยู่นี่มิใช่หรือขอรับ”
ฉือชั่นรับมาเพ่งมองอย่างละเอียดก่อนสอดเก็บไว้ในอกเสื้อ
“คุณชาย ท่านจะหายาขี้ผึ้งน้ำค้างแข็งเมฆาไปทำอะไรขอรับ”
ฉือชั่นทำหน้าปึ่งชา “พูดมาก!”
“ข้าพูดมากเองขอรับๆ” เถาเซิงตบหน้าตนเองเบาๆ สองทีแล้วซักไซ้อย่างไม่ระย่อท้อถอย “ดังนั้นคุณชายหายาขี้ผึ้งน้ำค้างแข็งเมฆาไปทำอะไรกันแน่ขอรับ”
ฉือชั่นหมดปัญญากับเด็กรับใช้หน้าหนาผู้นี้ เขาก้าวขาเดินออกไป
รูปปั้นสิงโตหินหน้าวังองค์หญิงใหญ่ทรงอำนาจน่าเกรงขามละม้ายกำลังหัวเราะเยาะบรรดาชายหญิงในโลกียวิสัย
ฉือชั่นออกจากวังองค์หญิงใหญ่มายืนอยู่กลางถนน จู่ๆ เขาก็ไม่รู้ว่าสมควรไปที่ใด
เขากุลีกุจอเอายาขี้ผึ้งน้ำค้างแข็งเมฆาไปมอบให้แม่นางน้อยผู้นั้นถึงเรือนเช่นนี้ จะถูกนางเข้าใจผิดหรือไม่ ถ้าเกิดแม่นางน้อยหลงเข้าข้างตนเองจะทำฉันใด
ไม่ดีๆ อย่าให้ดีกว่า
คุณชายฉือยุ่งยากใจอยู่นาน สุดท้ายนึกขึ้นได้ว่าวันพรุ่งนี้เป็นวันที่แม่นางน้อยไปที่อารามซูอิ่ง ถ้าเขาพบนางโดยบังเอิญแล้วเห็นว่านึกเวทนาเลยกำนัลยาขี้ผึ้งให้สักตลับก็ทำได้
วันถัดมา คนบางคนตื่นแต่เช้าตรู่ เอายาขี้ผึ้งน้ำค้างแข็งเมฆาสองตลับเก็บไว้ในอกเสื้อไปรอที่เพิงน้ำชาตรงหัวถนนซึ่งเป็นทางผ่านไปอารามซูอิ่ง
เมื่อวานฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งก็ให้เหอซื่อส่งปิงลวี่ไปขอลาหยุดที่อารามซูอิ่งแล้ว ฉะนั้นวันนี้เฉียวเจาย่อมไม่ต้องออกจากเรือน
ถึงกระนั้นนางก็ออกไปที่ใดไม่ได้อยู่ดี
สตรีสูงศักดิ์ของตระกูลต่างๆ ที่ไปร่วมงานสังสรรค์เมื่อวานพากันส่งคนมามอบของขวัญ บ้างด้วยความอยากรู้อยากเห็น บ้างก็ทำตามมารยาท ทั้งยังมีบางคนมาเยี่ยมถึงที่ดังเช่นพวกจูเหยียนและซูลั่วอี ส่งผลให้นางต้อนรับแทบไม่หวาดไม่ไหว
แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะธรรมเนียมมารยาทหรือว่าตั้งใจไว้ล่วงหน้าก็ตามที เฉียวเจาล้วนออกมาพบทุกๆ คน ดีที่นางอ้าปากกล่าววาจาได้แล้วจึงไม่ถึงกับอึดอัดคับใจเกินไป
“คุณหนู คุณหนูใหญ่ของจวนเสนาบดีมาเจ้าค่ะ”
มือที่ถือถ้วยน้ำชาไว้ของเฉียวเจาชะงักไป แต่สีหน้ายังนิ่งสนิท “จวนเสนาบดีท่านใดหรือ”
“จวนของใต้เท้าโค่วเสนาบดีกรมอาญาเจ้าค่ะ”
“เชิญคุณหนูใหญ่สกุลโค่วเข้ามา”
ไม่นานนักเสียงม่านลูกปัดกระทบกันเบาๆ ดังขึ้น โค่วจื่อโม่เดินเข้ามา
เฉียวเจาลุกขึ้นต้อนรับ “คุณหนูโค่ว…”
โค่วจื่อโม่เร่งฝีเท้าสองสามก้าวเข้าไปกุมมือเฉียวเจา “คุณหนูหลีซานนั่งลงเร็วเข้า ตามหลักแล้วไม่พึงมารบกวนท่านตอนนี้ แต่ข้าไม่สบายใจจริงๆ…”
ดวงตาคู่งามของนางกวาดผ่านใบหน้าเฉียวเจาแล้วขอบตาแดงเรื่ออย่างช่วยมิได้ “ถึงกับสาหัสเพียงนี้…”
อาจูยกน้ำชาหอมกรุ่นมาวางให้
“ขอบคุณคุณหนูโค่วที่มาเยี่ยมข้า เชิญดื่มชา”
โค่วจื่อโม่รับถ้วยน้ำชาไว้ แต่สายตาอดเหลือบมองใบหน้าของอีกฝ่ายไม่ได้ บาดแผลถึงเพียงนี้คงต้องเสียโฉมแล้วแท้ๆ เหตุใดคุณหนูหลีซานยังสงบนิ่งเช่นนี้ได้กัน
ครั้นรู้ตัวว่าทำอย่างนี้เสียมารยาทไปบ้าง โค่วจื่อโม่บังคับตนเองให้เบนสายตาออกไปมองทางอื่น
แจกันดอกไม้ทรงก้นกลมคอแคบสีฟ้าครามตั้งอยู่บนระเบียงหน้าต่าง ปักดอกพุดซ้อนสีขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะไว้ช่อหนึ่ง ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ สดชื่นลอยอวลไปทั้งห้อง
บนผนังแขวนภาพเป็ดเล่นน้ำเอาไว้ ลายเส้นไม่กี่เส้นเป็นเป็ดแต่ละตัวประกอบกันขึ้นได้สมจริงดุจมีชีวิต เมื่อเพ่งมองนานๆ ราวกับได้ยินเสียงเป็ดร้องได้
นี่น่าจะเป็นผลงานในยุคแรกของอาจารย์เฉียวผู้กระเดื่องนามทั่วหล้า หากที่น่าแปลกคือการลงนามด้านล่างภาพมิใช่ชื่อของอาจารย์เฉียว
“คุณหนูโค่วสนใจภาพนี้หรือ”
โค่วจื่อโม่ดึงตนเองจากภวังค์แล้วพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว “ภาพเป็ดเล่นน้ำของอาจารย์เฉียว ใครจะไม่สนใจเล่า”
“ถ้าคุณหนูโค่วชมชอบ ข้าก็มอบให้ท่าน” เฉียวเจากล่าวยิ้มๆ
โค่วจื่อโม่อึ้งงันไปเล็กน้อย ก่อนจะโบกมือเป็นพัลวัน “ไม่ได้ๆ ข้าแค่ดูเฉยๆ จะรับภาพล้ำค่าปานนี้ไว้ได้เช่นไร”
เฉียวเจาเดินไปที่ข้างผนัง เขย่งส้นเท้าขึ้นปลดภาพวาดลงมาแล้วหันหลังกลับมายื่นส่งให้นาง “เป็นภาพที่ข้าวาดเองตามชอบใจตอนอยู่ว่างๆ มิใช่ผลงานของอาจารย์เฉียวแต่อย่างใด หากคุณหนูโม่ไม่รังเกียจ ก็รับไว้เถอะ”
เฮ้อ…เพื่อประจบเอาใจญาติผู้น้อง ข้าทุ่มสุดตัวแล้ว แม่นางเฉียวคิดคำนึงอย่างเยาะหยันตนเอง
“คุณหนูหลีซานเป็นคนวาดหรือ” โค่วจื่อโม่ตกใจยกใหญ่ นางมองไปที่ด้านล่างภาพอย่างห้ามไม่อยู่แล้วอ่านเสียงงึมงำ “อาชูวาดไว้ ณ เดือนห้า…”
‘อาชู’ เป็นชื่อแรกเกิดของคุณหนูหลีซานใช่หรือไม่ เป็นชื่อที่แปลกยิ่งนัก
โค่วจื่อโม่เป็นคนสุขุมอยู่แต่เดิม ทว่าภาพวาดตรงหน้านั้นชวนให้ตกตะลึงเกินไป เป็นเหตุให้นางตั้งสติไม่ได้นานครู่หนึ่ง
“คุณหนูหลีซานเป็นคนวาดจริงๆ หรือ”
เฉียวเจาแย้มยิ้ม “ผลงานของอาจารย์เฉียวจะได้เห็นกันง่ายๆ ที่ใดกันเล่า ถ้าคุณหนูโค่วไม่ถูกใจก็วางมันไว้ด้านข้างเถอะ”
โค่วจื่อโม่รีบกอดภาพเป็ดเล่นน้ำไว้ในอ้อมแขน “จะไม่ถูกใจได้อย่างไรกัน ได้มองภาพนี้ทุกวัน ข้าต้องกินข้าวได้มากขึ้นหนึ่งชามเป็นแน่”
เฉียวเจาเปล่งเสียงหัวเราะ
ใบหน้าของเด็กสาวเบื้องหน้าประดับรอยยิ้มบางๆ ทั้งที่สมควรงดงามประหนึ่งภาพวาด กลับโดนทำลายลงสิ้นเพราะรอยแผลน่ากลัว
โค่วจื่อโม่ลอบทอดถอนใจแล้วกล่าวขึ้น “คุณหนูหลีซาน ข้ามาวันนี้ยังเพื่อกล่าวขอบคุณท่านแทนโอวหยางเวยอวี่ด้วย”