หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 190
บทที่ 190
“ตอนนี้คุณหนูโอวหยางเป็นอย่างไรบ้าง”
รอยหม่นเศร้าจุดวาบขึ้นบนดวงหน้าโค่วจื่อโม่ “ได้ข่าวของบิดานางแล้ว โดนลดตำแหน่งไปอยู่ที่เป่ยติ้ง คงจะอีกไม่นานเท่าไร ครอบครัวของพวกนางก็ต้องออกเดินทาง เวยอวี่ไม่สะดวกจะมาพบท่านเลยไหว้วานข้ามาขอบคุณท่านสักคำ”
“ข้าก็มิได้ทำอะไร แค่อยากให้คุณหนูโอวหยางปล่อยวางเสียบ้าง ขอเพียงคนในครอบครัวได้อยู่ด้วยกัน ที่ใดล้วนเป็นเรือนได้”
โค่วจื่อโม่พยักหน้า นางพูดด้วยน้ำเสียงแฝงรอยอิ่มเอมใจ “นั่นสิ ไม่ว่าอย่างไร นี่เป็นผลลัพธ์ที่ดีมาก แม้นภายภาคหน้าเกรงว่าคงยากมากที่พวกเราจะได้พบกันอีก แต่คิดถึงว่านางอยู่ดีมีสุข ซ้ำยังเขียนสารส่งข่าวถึงกันได้บ่อยๆ ข้าก็พอใจมากแล้ว”
ผู้ที่ใต้เท้าโอวหยางล่วงเกินเป็นใครเล่า คนผู้นั้นเป็นถึงสมุหราชเลขาธิการคนปัจจุบัน มาตรว่านางจะเป็นอิสตรี ก็เคยได้ยินว่าคนที่ถวายฎีกาฟ้องร้องหลันซาน ท้ายที่สุดล้วนต้องลงเอยด้วยการจบชีวิตอย่างสูญเปล่า ทว่าครอบครัวของสหายรักเพียงถูกโยกย้ายไปที่เป่ยติ้งต้องถือว่าโชคดีมากแล้ว
ในตอนนี้เองอาจูก็เข้ามารายงาน” คุณหนู คุณหนูรองของจวนตะวันออกมาเยี่ยมท่านเจ้าค่ะ”
สีหน้าของเฉียวเจาไม่เปลี่ยนแปลง “เชิญคุณหนูรองเข้ามา”
หลีเจียวคุณหนูรองของจวนตะวันออกมิได้ออกจากเรือนมาพักหนึ่ง วันนี้ถึงกับมาเยี่ยมนาง?
ไม่นานนักม่านลูกปัดถูกเลิกขึ้น เด็กสาวคิ้วโก่งตาเรียวนางหนึ่งเดินเข้ามา
หลีเจียวสวมเสื้อผ่าหน้าตัวยาวปักลายเถาวัลย์สีเขียวสดใสคู่กระโปรงจีบรอบสีส้มอมชมพู ขับผิวกายผุดผาดเต่งตึงให้ขาวกระจ่างดุจหิมะ
“น้องเจามีแขกอยู่ในเรือนหรือนี่” หลีเจียวชม้ายตาไปเมื่อเห็นหน้าชัดก็จำได้ว่าเป็นโค่วจื่อโม่จึงตกใจพอดู นางกล่าวโพล่งขึ้น “คุณหนูใหญ่สกุลโค่ว?”
เป็นโค่วจื่อโม่ หลานสาวของเสนาบดีกรมอาญาหรือนี่!
บิดาของนางเป็นรองเสนาบดีกรมอาญา ในฐานะที่เป็นบุตรหลานของขุนนางในแวดวงเดียวกัน นางได้พบกับสองสาวพี่น้องสกุลโค่วในงานต่างๆ เสมอ เพียงแต่ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันมาโดยตลอด
โค่วจื่อโม่ผลิยิ้มเอ่ยอธิบาย “ในงานสังสรรค์ของชุมนุมฟู่ซานเมื่อวาน ข้ารู้สึกถูกชะตากับคุณหนูหลีซานตั้งแต่แรกพบ พอนางได้รับบาดเจ็บ ข้ารู้สึกเป็นห่วงมากจึงมารบกวนแล้ว”
หลีเจียวฟังแล้วลอบกัดฟันกรอดๆ เป็นเพราะหลีซานเข้าร่วมชุมนุมฟู่ซานถึงได้โชคดีมีโอกาสผูกสัมพันธ์กับพวกโค่วจื่อโม่จริงๆ ถ้านางยังอยู่ในชุมนุมฟู่ซาน…
หลีเจียวยิ่งคิดยิ่งคับแค้นใจ แต่พอสายตาจับไปที่ใบหน้าของเฉียวเจา ความรู้สึกคับแค้นถึงมลายหายไป
ผูกสัมพันธ์กับพวกโค่วจื่อโม่แล้วจะมีอันใด หลีซานเสียโฉมจนกลายเป็นเช่นนี้ หรือว่าวันหน้ายังจะออกไปทำให้คนอื่นตกใจกลัวได้อีก
“น้องเจา ไฉนใบหน้าเจ้าเป็นแผลสาหัสเช่นนี้!” หลีเจียวอุทานขึ้น “ตอนข้าได้ยินเรื่องของเจ้า ยังนึกว่าแค่มีแผลถลอกเล็กๆ น้อยๆ ใครจะนึกว่าจะเสียโฉม น้องเจา เจ้าต้องปลงๆ เสียบ้างนะ ถึงแม้ใบหน้าของสตรีเป็นสิ่งสำคัญมาก แต่เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ทุกข์ใจไปมากกว่านี้ก็เปล่าประโยชน์ อีกหน่อยถ้าเจ้ารู้สึกเบื่อก็มาเล่นกับข้าบ่อยๆ ได้”
“ขอบคุณพี่เจียวที่ห่วงใย ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” เฉียวเจาคลี่ยิ้ม
ที่แท้จะมาชมเรื่องสนุกนั่นเอง
“ไม่เป็นไรได้อย่างไรกันน้องเจา เจ้าฝืนปั้นหน้ายิ้มแย้มเช่นนี้ ข้าเห็นแล้วทรมานใจพิกล น้องเจาเป็นคนเข้มแข็ง หากสลับเป็นคนอื่น หวั่นใจว่าคงมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แต่แรก คุณหนูโค่ว ท่านว่าใช่หรือไม่”
โค่วจื่อโม่ลอบขมวดคิ้ว แม้ว่าคุณหนูรองสกุลหลีพูดว่าเป็นห่วงไม่ขาดปาก แต่เอ่ยถึงเรื่องสะเทือนใจของผู้อื่นอยู่ตลอดก็ไม่เป็นการดี
“ทำให้พี่เจียวต้องวุ่นวายใจแล้ว ข้าไม่เป็นไรจริงๆ เจ้าค่ะ” เฉียวเจากล่าวเอื่อยๆ
หลีเจียวยื่นมือไปกุมมือเฉียวเจาไว้ “น้องเจา เจ้ายิ่งเป็นอย่างนี้ข้ายิ่งไม่วางใจ คนที่มักพูดไม่เป็นไรล้วนเก็บซ่อนเรื่องใหญ่ไว้ในใจอยู่ร่ำไป เฮ้อ…เจ้าจะคิดไม่ตกไม่ได้เป็นอันขาดนะ หาไม่แล้วท่านป้าสะใภ้จะเสียใจปานใด”
เฉียวเจากลั้นหัวเราะไม่อยู่ คุณหนูรองสกุลหลีคงอยากให้นางคิดไม่ตกถึงเพียงใดกันนะ น่าเสียดายที่นางต้องทำให้อีกฝ่ายผิดหวังเป็นแน่แท้
“พี่เจียววางใจได้เจ้าค่ะ ข้าไม่มีทางคิดไม่ตกแน่” เฉียวเจาชำเลืองหางตามองโค่วจื่อโม่แวบหนึ่ง จากนั้นดึงมือออกจากมือหลีเจียวแล้วทำทีพูดเปรยขึ้นลอยๆ “ใช่ว่าใบหน้าข้าจะมีแผลเป็นสักหน่อย เหตุใดต้องคิดไม่ตกด้วยเล่า”
โค่วจื่อโม่หน้าเปลี่ยนสี
หลีเจียวมองขวับไปที่แก้มขวาของเฉียวเจา จากนั้นส่ายหน้าพลางพูดทอดถอนใจ “น้องเจา ข้ารู้ว่าใครๆ ก็ไม่อยากมีแผลเป็นบนใบหน้า แต่แผลนี้ของเจ้าสาหัสเกินไป จะไม่เหลือรอยแผลเป็นคงเป็นไปไม่ได้หรอก”
พอพูดถึงตรงนี้ นางก็ล้วงตลับหยกใบหนึ่งจากแขนเสื้อส่งให้เฉียวเจา “นี่เป็นยาขี้ผึ้งน้ำค้างแข็งเมฆาที่ข้าขอมาจากท่านย่า ถึงจะลบเลือนรอยแผลบนใบหน้าเจ้าไม่ได้ แต่ช่วยบรรเทาให้จางลงได้บ้างก็ยังดี น้องเจารับไว้เถอะ”
เฉียวเจาไม่ได้รับไว้ “ขอบคุณพี่เจียวมากเจ้าค่ะ แต่ข้าคงไม่ได้ใช้”
“น้องเจา เจ้าเป็นเช่นนี้เพราะยังเคืองโกรธข้าด้วยเรื่องที่เกิดขึ้นในวันประสูติของพุทธองค์ใช่หรือไม่” เมื่ออยู่ต่อหน้าโค่วจื่อโม่ หลีเจียวเก็บงำธาตุแท้ใดๆ ไว้หมด สบช่องพูดแก้ต่าง “วันนั้นข้าไม่ได้มีเจตนาจะแย่งความโดดเด่นจากเจ้าจริงๆ ข้ามิได้ดูคัมภีร์พระธรรมในมือซือฟู่ พอได้ยินท่านย่าเรียก ข้าก็นึกว่าเป็นของข้าจริงๆ นะ ข้าขอพูดโดยไม่กลัวจะโดนน้องเจาหัวเราะเยาะ หนึ่งปีมานี้ข้าใช้เวลากับการคัดลายมือไปมากทุกวัน เลยรู้สึกว่าตัวเองรุดหน้าไปมากจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะก่อให้เกิดเรื่องเข้าใจผิดเช่นนี้ได้”
เฉียวเจาไม่อยากดูหลีเจียวเล่นละครต่อ นางกล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ “เรื่องที่ผ่านไปแล้ว พี่เจียวไม่จำเป็นต้องพูดถึงอีก ข้าไม่ต้องใช้ยาขี้ผึ้งน้ำค้างแข็งเมฆาจริงๆ พี่เจียวน่าจะรู้ว่าท่านปู่บุญธรรมของเข้าเป็นใครกระมัง”
โค่วจื่อโม่สะดุ้งในใจ นางมองเฉียวเจาด้วยสายตาวาววับ
“หมอเทวดาหลี่ท่านนั้น?” หลีเจียวไต่ถามขึ้นอย่างเสียไม่ได้
“ใช่เจ้าค่ะ ท่านปู่หลี่ทิ้งยาลบรอยแผลชั้นดีไว้ให้ข้า ทั้งยังบอกตำรับยารักษาบาดแผลจากการชนกระแทกและแผลไฟไหม้กับข้าด้วย” เฉียวเจาบอกกับหลีเจียวยิ้มๆ พร้อมกับจับตาดูท่าทีของโค่วจื่อโม่ทางหางตา และเห็นรูม่านตาของนางหดแคบลงตอนได้ยินคำว่า ‘แผลไฟไหม้’ ดังคาด
“มียาลบรอยแผลที่วิเศษเช่นนี้อยู่จริงหรือ” หลีเจียวทำท่าไม่อยากจะเชื่อ
“ท่านปู่หลี่เป็นหมอเทวดาแห่งยุค ยาของท่านต้องดีที่สุดอย่างแน่นอน แต่จะวิเศษเช่นนี้หรือไม่นั้น รอบาดแผลบนใบหน้าข้าหายดีก็จะรู้เองเจ้าค่ะ”
หลีเจียวฟังแล้วยิ้มเยาะในใจ บาดแผลถึงเพียงนี้ไม่เหลือรอยแผลเป็นได้? ฝันไปเถอะ!
แม้ว่าหลีเจียวจะไม่เชื่อ แต่ได้ยินคำพูดของเฉียวเจาก็หมดแก่ใจจะชมเรื่องสนุกอีก นางชวนคุยสัพเพเหระอีกสองสามคำก็เอ่ยปากขอตัวกลับ
หลังจากส่งหลีเจียวออกไป เฉียวเจาหมุนกายเดินกลับมา เห็นโค่วจื่อโม่หลุบตาจับจ้องสองมือด้วยท่าทางคล้ายครุ่นคิดอะไรอยู่
“คุณหนูโค่วมีความในใจหรือ” เฉียวเจานั่งลงด้านข้าง
โค่วจื่อโม่ปัดความคิดสับสนยุ่งเหยิงทิ้งไป สายตาของนางมองไปที่ใบหน้าของเฉียวเจาอย่างอดใจไม่อยู่
รอยแผลเช่นนี้ก็ลบเลือนได้หรือ
ใต้หล้ามียาวิเศษเช่นนี้อยู่จริงหรือไม่
“ข้าได้ยินคุณหนูหลีซานพูดว่ามียาลบรอยแผลที่ดีกว่ายาขี้ผึ้งน้ำค้างแข็งเมฆาแล้วตกตะลึงอยู่บ้าง”
เมื่อเรื่องดำเนินไปในทิศทางตามที่ตนคาดการณ์ไว้ดังหวัง เฉียวเจาก็ลอบลิงโลดใจน้อยๆ แต่กลับทำสีหน้าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “มิใช่ดีกว่ายาขี้ผึ้งน้ำค้างแข็งเมฆาเฉยๆ แต่สรรพคุณดีกว่าเป็นร้อยเท่าด้วย”
โค่วจื่อโม่ตาเป็นประกาย “เช่นนั้น…”
นางอยากถามว่า ‘รอยแผลเป็นจากไฟไหม้ใช้ได้ผลหรือไม่’ แต่ยังรู้สึกว่ายากเกินกว่าจะเชื่อได้จริงๆ จึงกลืนถ้อยคำที่มารออยู่ตรงปลายลิ้นกลับลงคอ เปลี่ยนเป็นกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นรอคุณหนูหลีซานหายดีแล้ว ต้องบอกกล่าวข้าให้รู้สักคำนะ ข้าจะได้ดีใจกับท่านด้วย”
เฉียวเจาคลายยิ้มอย่างมีนัยลึกล้ำ “แน่นอน”