หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 192
บทที่ 192
เมื่อให้เหล่าจ้าวตรวจทานเทียบชื่อประจำวังองค์หญิงใหญ่ฉางหรงแล้ว เถาเซิงก็เดินตามสาวใช้ชุดสีชมพูนางหนึ่งเข้าไปในจวน
“พี่สาว วังองค์หญิงใหญ่โตมากใช่หรือไม่” สาวใช้นำทางถามไถ่อย่างสนใจใคร่รู้
พอเห็นเถาเซิงก้มหน้าก้มตาเดินไป สาวใช้น้อยอดส่งเสียงเรียกซ้ำอีกครามิได้ “พี่สาว?”
เถาเซิงแจ่มแจ้งในบัดดล “น้องสาวเรียกข้าหรือ”
สาวใช้ชุดสีชมพูหลุดหัวเราะพรืด “หากไม่เรียกพี่สาว ในที่นี้ยังคนอื่นอีกหรือไร”
เถาเซิงยิ้มอย่างเก้อกระดาก ไหนเลยเขาจะไปคิดได้ทันว่า ‘พี่สาว’ หมายถึงเขาล่ะ
จุๆ สาวใช้น้อยผู้นี้ทั้งน่ารักทั้งสดใส ถ้าเรียกขานข้าว่า ‘พี่ชาย’ จะน่าฟังปานใด
แต่นางกลับเรียกข้าว่า ‘พี่สาว’ ช่างน่าเศร้าใจเหลือเกิน
“วังองค์หญิงต้องใหญ่โตเป็นแน่ อืม…กระทั่งสวนดอกไม้ในวังยังใหญ่กว่าจวนสกุลหลีทั้งหลังเลยนะ”
“จริงหรือ” สาวใช้ชุดสีชมพูทำสีหน้าใฝ่ฝัน จากนั้นถอนใจเฮือกหนึ่ง “น่าเสียดายที่ข้าไม่ใช่สาวใช้ประจำตัวคุณหนูสาม ไม่อย่างนั้นคุณหนูสามสนิทกับคุณหนูของท่าน ไม่แน่ว่าจะมีโอกาสติดตามไปชมดูได้”
“ต้องมีโอกาสแน่ๆ” เถาเซิงพูดละล่ำละลักด้วยความตื่นเต้น
สาวใช้ชุดสีชมพูรู้สึกว่าสาวใช้ที่มาจากวังองค์หญิงผู้นี้ชวนหัวเป็นอันมาก นางปิดปากหัวร่ออย่างสุดระงับ จากนั้นตะเบ็งเสียงเรียก “พี่อาจู มีแขกมาเยือนเจ้าค่ะ เป็นพี่สาวจากวังองค์หญิงใหญ่ฉางหรง จะมาเยี่ยมคุณหนูสามแทนคุณหนูของนาง”
สาวใช้ชุดสีเขียวหน้าตาจิ้มลิ้มที่ยืนอยู่ข้างซุ้มประตูวงเดือนก็คืออาจูนั่นเอง
อาจูส่งยิ้มอ่อนโยนให้เถาเซิง “พี่สาวเชิญตามข้าเข้าไปเถอะ”
เถาเซิงนิ่งงันไป
ช่างอ่อนโยนเหลือเกิน เทียบกับนางยักษ์ในวังองค์หญิงพวกนั้นแล้วดีกว่าเป็นกอง!
“พี่สาวโปรดรอสักครู่ ข้าจะเข้าไปรายงานก่อน” อาจูหยุดยืนที่หน้าประตู
เถาเซิงเกือบจะชนนาง เขาชะงักฝีเท้ากึก ฉีกปากยิ้มกล่าวว่า “ได้”
อาจูรู้สึกได้รางๆ ว่าสาวใช้ผู้นี้แปลกพิกลอยู่บ้าง แต่บอกไม่ถูกว่าเพราะอะไร นางอดพิศดูเถาเซิงซ้ำอีกคราไม่ได้
เถาเซิงได้สติทันควัน เขาก้มหน้าคางจรดอกแสดงท่าทางสุภาพเรียบร้อย
อาจูถึงปัดความกังขาทิ้งไป ส่งยิ้มให้เขาอีกคำรบหนึ่งก่อนจะหมุนกายเดินเข้าไป
เถาเซิงลอบปาดเหงื่อ เขาตกใจแทบแย่
“คุณหนู วังองค์หญิงใหญ่ฉางหรงส่งสาวใช้มาคนหนึ่ง บอกว่ามาเยี่ยมเยียนท่านแทนคุณหนูของเขาเจ้าค่ะ”
“คุณหนูของวังองค์หญิงใหญ่ฉางหรงหรือ” เฉียวเจาสะกดความฉงนใจไว้ “บอกให้นางเข้ามารอเถอะ”
อาจูพาเถาเซิงมาที่ห้องด้านนอก “พี่สาวโปรดรอสักครู่ อีกประเดี๋ยวคุณหนูของพวกข้าจะออกมา”
“ได้” เถาเซิงพยักหน้าหงึกๆ ในใจเขาตื่นเต้นระคนอยากรู้อยากเห็น
อา…สตรีที่คุณชายเฝ้าคิดถึงคะนึงหาจะมีรูปโฉมเป็นเช่นใดกันแน่นะ คุณหนูท่านนี้คงจะเป็นหญิงในดวงใจคุณชายเป็นแน่สินะ ต้องใช่แน่ๆ กระมัง
ครู่หนึ่งให้หลัง เสียงม่านลูกปัดดังขึ้นเบาๆ เด็กสาวในอาภรณ์เรียบง่ายผู้หนึ่งเดินออกมา
เถาเซิงมองจนตาค้างไปทันใด แน่นอนว่ามิใช่ตะลึงในความงาม หากแต่เป็นตกใจตะลึงไปแล้ว
ความชมชอบส่วนตัวของคุณชายแสนจะ…พิเศษไม่เหมือนผู้ใด!
เฉียวเจานั่งลง เสียงพูดนุ่มนวลดุจสายน้ำ “อาจู ไปยกม้านั่งตัวเล็กมา”
อืม สุ้มเสียงกลับเสนาะหูมาก สมดังคำกล่าวว่าบ่าวเป็นเช่นไรนายเป็นเช่นนั้น เพียงแต่น่าเสียดายนักที่ใบหน้านั่นน่ากลัวจริงๆ
เถาเซิงหลุบตาลงลอบถอนใจเฮือกหนึ่ง
“พี่สาวเชิญนั่ง” อาจูวางม้านั่งไว้ข้างๆ เถาเซิง
“ขอบคุณ” เถาเซิงทรุดตัวลงนั่ง
เฉียวเจากวาดตามองท่านั่งของเถาเซิงด้วยสีหน้าเรียบเฉย นางเอ่ยถามเสียงนุ่ม “เจ้ามาจากวังองค์หญิงใหญ่ฉางหรงหรือ”
“เจ้าค่ะ” เถาเซิงยืดตัวตรง
“เอ่อ…ขออภัยจริงๆ ข้าไม่ใคร่แน่ใจว่าเป็นคุณหนูท่านใด”
เมื่อรู้ว่าถึงช่วงสำคัญคือการซักถามความเป็นมา แผ่นหลังของเถาเซิงแข็งเกร็งขณะเอ่ยแจกแจงตามคำพูดของฉือชั่นที่จดจำได้ขึ้นใจ “วังองค์หญิงเรามีคุณหนูเพียงท่านเดียวก็คือน้องสาวต่างมารดาของคุณชายฉือ ซึ่งเมื่อวานได้ไปร่วมงานสังสรรค์กับคุณหนูทั้งหลายด้วย ทว่าแต่ไรมาคุณหนูของเราเป็นคนสงบเสงี่ยม คุณหนูสามคงจะมิได้สังเกตเห็นเจ้าค่ะ”
คุณชายบอกไว้ว่าถึงแม้คุณหนูใหญ่จะมิใช่คนในชุมนุมฟู่ซาน อีกทั้งเป็นไปไม่ได้ที่จะไปร่วมงานสังสรรค์อะไร แต่คุณหนูหลีซานไปร่วมงานครั้งแรกเช่นกัน ไม่มีทางล่วงรู้ถึงจุดนี้ได้
“เป็นเช่นนี้นี่เอง…” สายตาของเฉียวเจาจับอยู่ที่ตัวเถาเซิงตลอดเวลา นึกออกแล้วว่าคุณหนูของวังองค์หญิงใหญ่ฉางหรงเป็นผู้ใด
หลังจากบิดาของฉือชั่นล่วงลับไป อนุที่เขาเลี้ยงดูไว้ข้างนอกพาบุตรชายบุตรสาวคู่นั้นมาถึงที่วัง องค์หญิงใหญ่ฉางหรงรับตัวไว้ทั้งสามแม่ลูก น้องสาวต่างมารดาของฉือชั่นน่าจะหมายถึงเด็กสาวผู้นั้น
เถาเซิงนั่งอยู่บนม้านั่ง ทั้งๆ ที่สายตาที่เด็กสาวมองเขาทอแววอ่อนโยนดุจสายน้ำ แต่เขากลับเริ่มตกประหม่าอย่างปราศจากเหตุผล รู้สึกอึดอัดกระสับกระส่ายเหมือนมีเข็มทิ่มบั้นท้าย เขาลอบเขยิบตัวอย่างห้ามไม่อยู่
คำพูดที่คุณชายกำชับไว้จะช่วยกลบเกลื่อนให้ผ่านด่านไปได้หรือไม่กันแน่ ถ้าเกิดความแตกขึ้นมา เขาคงต้องพลีชีพอยู่ที่นี่แล้ว
กระนั้นเขาเป็นบุรุษอกสามศอกผู้หนึ่ง หากพลีชีพอยู่ที่อื่นก็นับเป็นความภักดีต่อเจ้านาย แต่พลีชีพในห้องส่วนตัวของสตรี ซ้ำร้ายยังปลอมตัวเป็นหญิงอีก
มารดามันเถอะ…นี่ต้องกลายเป็นเรื่องอื้อฉาวถูกโจษขานไปนานนับหมื่นปีเป็นแน่แท้
ไม่ได้ๆ เขาต้องเร่งมือให้จบเรื่องโดยไว!
เถาเซิงถือของขวัญด้วยสองมือยื่นให้ด้วยรอยยิ้มระบายเต็มใบหน้า “นี่คือยาขี้ผึ้งน้ำค้างแข็งเมฆาที่คุณหนูของเรามอบให้คุณหนูสาม มีสรรพคุณช่วยลบเลือนรอยแผลได้ดีมาก หวังว่าคุณหนูสามจะไม่รังเกียจเจ้าค่ะ”
เฉียวเจามองอาจูแวบหนึ่ง
อาจูยื่นมือรับไว้แล้วส่งให้นาง
“ทำให้คุณหนูฉือต้องวุ่นวายใจแล้ว” เฉียวเจาเปิดกล่องของขวัญออก กวาดตาดูยาขี้ผึ้งน้ำค้างแข็งเมฆาสองตลับในนั้น ดวงตานางทอประกายวูบหนึ่ง จากนั้นมองเถาเซิงด้วยแววตาลึกล้ำ
สายตาของนางทำให้เถาเซิงอกสั่นขวัญแขวน
เกิดอะไรขึ้น ในนั้นใส่ยาขี้ผึ้งน้ำค้างแข็งเมฆาไว้สองตลับมิใช่หรือ เหตุใดแววตาของคุณหนูสามผู้นี้ถึงแปลกชอบกลเช่นนี้
“คุณหนูสามขอรับ…” เถาเซิงกัดปลายลิ้นตนเองสุดแรงแล้วเปลี่ยนคำพูดอย่างฉับไว “คุณหนูของเราเป็นห่วงอาการของท่านมาก คุณหนูยังรอข้ากลับไปรายงาน ข้าขออำลาก่อนนะเจ้าคะ”
คำตอบที่เขาได้รับคือความเงียบระลอกหนึ่ง
เถาเซิงทำใจกล้ามองเฉียวเจา เห็นเด็กสาวมีสีหน้ากระด้างเย็นชา สายตาอ่อนโยนดุจสายน้ำในวสันตฤดูคล้ายประสบกับลมพายุกะทันหันก่อให้เกิดกระแสคลื่นปั่นป่วน แต่สุดท้ายก็สลายตัวลึกเข้าไปในดวงตาทั้งหมดกลับคืนสู่ความสงบนิ่ง
เขารู้สึกแข้งขาอ่อนแรงและเหงื่อไหลซึม แต่ยังกลั้นใจเอ่ยขึ้น “คุณหนูสาม ข้าขออำลาเจ้าค่ะ”
“ประเดี๋ยวก่อน” เด็กสาวเปล่งเสียงราบเรียบ
เถาเซิงตกใจแทบพลัดตกจากเก้าอี้ เขาฝืนแข็งใจกล่าวยิ้มๆ “คุณหนูสามมีอะไรจะสั่งกำชับเจ้าคะ”
“เจ้ารอครู่หนึ่ง ข้ามีสารขอบคุณฉบับหนึ่งจะรบกวนเจ้านำไปมอบต่อคุณหนูของเจ้า”
ไม่รู้ว่าร้อนตัวใช่หรือไม่ ตอนได้ยินคำว่า ‘คุณหนู’ เขารู้สึกว่าคุณหนูหลีซานเน้นเสียงหนักขึ้น
เป็นไปไม่ได้ๆ เขาไม่เผยพิรุธแม้สักนิด คุณหนูหลีซานก็ไม่ได้มีญาณวิเศษ เป็นไปได้อย่างไรที่จะจับผิดอะไรได้เล่า
สำหรับเถาเซิง ช่วงเวลาแห่งการรอคอยผ่านไปอย่างอืดอาดเชื่องช้า จวบจนได้รับสารที่อาจูยื่นส่งให้แล้วเดินตามนางออกมา เขาถึงระบายลมหายใจเฮือก
วันหน้างานที่ต้องปลอมตัวเป็นหญิงเช่นนี้ตีให้ตายเขาก็ไม่ทำอีก ช่างน่ากลัวเหลือเกินให้ตายสิ
ทั้งสองพบกับปิงลวี่ที่เดินสวนมา
“มีคนมาเยี่ยมคุณหนูอีกแล้วหรือ” ปิงลวี่ที่สองแก้มแดงเรื่อเพราะเพิ่งฝึกวิชาหมัดมวยมา นางชำเลืองมองเถาเซิงโดยไม่ใส่ใจ
“อื้อ ข้ากำลังส่งนางออกไป”
“อย่างนั้นข้าเข้าเรือนก่อน วันนี้เหนื่อยแทบตายอยู่แล้ว”
เฉินกวงเจ้าคนบ้านั่นก็น่าชังจริงๆ มีอย่างที่ใดกันต้องเข้มงวดถึงเพียงนี้
จวนตะวันตกของสกุลหลีมีอาณาบริเวณเล็ก นับแต่ได้รับคำสั่งจากเซ่าหมิงยวน เฉินกวงก็สอนวิชายุทธ์ให้ปิงลวี่ตรงที่ว่างมุมหนึ่งด้านข้างประตูเล็ก
อาจูพาเถาเซิงเดินผ่านไป เฉินกวงซึ่งเตรียมตัวกลับห้องเหลือบมองปราดหนึ่งจากไกลๆ แล้วหน้าเปลี่ยนสี