หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 197
บทที่ 197
เหตุการณ์ผิดไปจากที่เฉินกวงคาดคะเนไว้ เจียงสือซานไม่ขยับกาย แต่เป็นคุณหนูสามที่ก้าวเข้าไปหา เขาจึงไม่รู้ว่าตนเองสมควรทำประการใด
“คุณหนู…” เฉินกวงตัดสินใจได้ในชั่วพริบตา เขาเดินตามเฉียวเจาไปติดๆ เขาต้องเฝ้าคนเอาไว้ให้ดีแทนท่านแม่ทัพ!
เฉียวเจาหยุดนิ่ง “เฉินกวง เจ้าไม่ต้องติดตามข้า ข้าจะพูดคุยกับใต้เท้าเจียงตามลำพังครู่เดียว”
“ขอรับ คุณหนูมีอะไรก็เรียกข้าได้” เฉินกวงเดินหน้าม่อยคอตกกลับไปอยู่กับปิงลวี่
เฉียวเจาเดินไปตรงหน้าเจียงหย่วนเฉา ยอบกายเล็กน้อยแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ใต้เท้าเจียง”
พอได้ยินคำเรียกขานนี้ ในใจเขารู้สึกหงุดหงิดอึดอัดอยู่หลายส่วนชอบกล
เด็กสาวเบื้องหน้าสายตาเคยเรียกตนว่า ‘ท่านอา’ ต่อมาก็เรียกว่า ‘พี่เจียง’ ทว่าบัดนี้กลับเรียก ‘ใต้เท้าเจียง’
ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนเอ่ยปากขึ้น “คุณหนูหลี วันนั้น…เป็นข้าใจร้อนแล้ว ขออภัยด้วย”
“ใต้เท้าเจียงเกรงใจไปแล้ว” สุ้มเสียงของเฉียวเจาห่างเหินมาก
ถึงแม้คนผู้นี้จะกล่าวถ้อยคำหนึ่งที่พิเศษมากต่อนาง คำสี่คำนั้นทั้งตรงไปตรงมาและเต็มไปด้วยอารมณ์ลึกซึ้ง น่าจะสั่นคลอนหัวใจของสตรีคนใดก็ตามที่ได้ยิน แต่นางกลับคิดแต่อยากจะหนีห่างจากคนผู้นี้ให้ไกลมากยิ่งขึ้น
เมื่อเกิดความพึงใจต่อคนผู้หนึ่งก็จะให้ความสนใจในตัวคนผู้นั้นแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เป็นพิเศษ ทว่านางเพียงแค่ไม่ต้องการให้องครักษ์จินหลินคนหนึ่งรู้ว่านางคือเฉียวเจา
นางมิใช่สาวน้อยแรกรัก ในเมื่อเจียงสือซานซึ่งเก็บความชมชอบไว้เต็มหัวใจยังไม่เคยทำอะไรเพื่อเฉียวเจาในอดีต หรือยังจะวาดหวังว่าเขาจะทำอะไรเพื่อหลีเจาในตอนนี้
ซ้ำร้ายด้วยศักดิ์ฐานะของเขายังเป็นไปได้ที่จะนำความเดือดร้อนและภัยร้ายมาให้นางเสียมากกว่า
เจียงหย่วนเฉารับรู้ได้ถึงความห่างเหินของเฉียวเจาแล้วลอบถอนใจ เขากล่าวเอื่อยๆ “คุณหนูหลี ข้ายังอยากถามคำถามเดิมของวันนั้น ท่านกับคุณหนูเฉียวมีความสัมพันธ์อะไรกัน”
เฉียวเจานิ่งไปเล็กน้อยแล้วไต่ถาม “คำถามนี้สำคัญต่อใต้เท้าเจียงมากหรือ”
ในเพลานี้ทั่วบริเวณป่าเขาเงียบสงัด ทั้งคู่อยู่ใกล้กันแค่เอื้อมล้อมรอบด้วยพฤกษ์พรรณเขียวชอุ่มคละเคล้ากลิ่นดอกไม้ป่า
กระนั้นเจียงหย่วนเฉากลับรู้สึกว่าเด็กสาวอยู่ไกลสุดขอบฟ้า ละม้ายความฝันที่ทำให้คนตื่นขึ้นมาแล้วเคว้งคว้างทำอะไรไม่ถูกแต่กลับจำไม่ได้ว่าฝันถึงอะไร หลงเหลือแค่ความวังเวงสะเทือนใจอย่างปราศจากเหตุผล
เขากล่าวขึ้น “สำคัญมาก ข้าจำเป็นต้องรู้”
จะไม่สำคัญได้อย่างไร ตั้งแต่ได้เห็นถุงผ้าปักใบนั้น เขาก็ข่มตานอนไม่หลับพลิกตัวกระสับกระส่ายทั้งคืน เฝ้ารอคอยให้ถึงวันนี้เพื่อมาทวงคำตอบ
“ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กัน” เฉียวเจาตอบ
เจียงหย่วนเฉาเพ่งสายตามองนาง เห็นชัดว่าคำตอบนี้ไม่อาจทำให้เขาพอใจได้
เพื่อขจัดปัญหาที่ไม่จำเป็นให้น้อยลง เฉียวเจาเอ่ยต่อ “แต่ถ้าจะบอกว่ามีความเกี่ยวข้องกันล่ะก็ น่าจะเป็นข้ากับคุณหนูเฉียวล้วนเป็นหลานสาวบุญธรรมของหมอเทวดาหลี่”
ประกายตาของชายหนุ่มแปรเปลี่ยนเป็นเข้มขึ้น เสียงพูดของเขาอาจไร้รอยกระเพื่อมไหวใด ทว่าสร้างแรงบีบคั้นคุกคามให้ผู้อื่นอย่างบอกไม่ถูก “หากเป็นแค่หลานสาวบุญธรรมของหมอเทวดาหลี่ เช่นนั้นคุณหนูหลี วันที่กวนจวินโหวแห่ศพภรรยาไปฝัง เหตุใดท่านต้องติดตามไปตลอดทางและน้ำตาไหลยามมองคุณชายเฉียวด้วยเล่า”
“อ้อ ข้าชมชอบเขา” นางตอบโดยไร้ความลังเลใจแม้สักเศษเสี้ยว
เมื่อรู้ว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงการพบหน้ากับเจียงหย่วนเฉา เฉียวเจาจึงขบคิดถึงคำถามที่เขาอาจจะเอ่ยถามไว้ล่วงหน้า
แล้วยังจะมีอะไรเป็นคำอธิบายได้ดีกว่า ‘ชมชอบเขา’ เหนือสิ่งอื่นใดนางไม่ได้พูดเท็จ พี่ชายของนาง นางต้องชมชอบแน่นอน
เจียงหย่วนเฉาอับจนวาจา ไม่รู้ว่าแม่นางน้อยผู้นี้ชมชอบเฉียวโม่จริงๆ หรือว่าเพื่อทำให้เขาพูดไม่ออกกันแน่
เขาใช้เหตุผลว่า ‘ข้าชมชอบนาง’ เมื่อถูกเด็กสาวตรงหน้าถามคาดคั้นอย่างไม่ลดละ ตอนนี้นางใช้ถ้อยคำเดียวกันนี้โต้กลับเขา
ไฉนถึงได้มีสตรีที่เจ้าเล่ห์แสนกลเยี่ยงนี้นะ
ในฐานะองครักษ์จินหลินที่ช่ำชองการสอบปากคำผู้หนึ่ง เป็นคราครั้งแรกที่เจียงหย่วนเฉาไม่มั่นใจแม้แต่น้อยว่าคำตอบนี้มาจากใจจริงของอีกฝ่ายหรือไม่
เขาเดินหน้าก้าวหนึ่งจ้องตากับเฉียวเจา “เช่นนั้นคนที่เป็นหลานสาวบุญธรรมของหมอเทวดาเหมือนกันก็มีถุงผ้าปักแบบเดียวกันใช่หรือไม่”
เฉียวเจาขยิบตาอย่างซุกซนแล้วย้อนถาม “ไม่ได้หรือ”
มุมปากของชายหนุ่มกระตุกริก พอเด็กสาวทำท่าอย่างนี้ ถ้าซักไซ้ไล่เลียงไม่เลิกราอีก เขารู้สึกคล้ายว่าจะไม่เหลือศักดิ์ศรีแล้ว
แต่เรื่องบางเรื่องต่อให้สูญสิ้นศักดิ์ศรี เขาก็จะทำอยู่ดี
เฉียวเจาดูเหมือนจะอ่านใจเขาได้ นางกล่าวไขความกระจ่างให้ “ถุงผ้าปักเช่นนั้นเหมาะสำหรับใส่ของชิ้นเล็กชิ้นน้อยมาก ข้าเห็นท่านปู่หลี่มีใบหนึ่ง รู้สึกว่าน่ารักและใช้งานสะดวกจึงได้ทำตามอย่าง”
หนนี้เจียงหย่วนเฉานิ่งเงียบไปเนิ่นนาน ราวกับว่าลึกเข้าไปในดวงตาเขามีประกายไฟบางอย่างดับแสงไป
ที่แท้เป็นเช่นนี้
ที่แท้…เป็นเช่นนี้เท่านั้นเอง
ชายหนุ่มบอกไม่ถูกว่าผิดหวังหรือว่าเป็นความรู้สึกใด รอยยิ้มของเขาฝืดเฝื่อนอยู่บ้าง “คุณหนูหลีก็ร่ำเรียนวิชาแพทย์กับหมอเทวดาหลี่เช่นกันหรือ”
“ใช่เจ้าค่ะ ท่านปู่หลี่มอบตำราแพทย์ให้ข้ามากมาย” เฉียวเจาเหลือบตาขึ้นมองฟ้าแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มละไม “ใต้เท้าเจียง เวลาไม่เช้าแล้ว ไปถึงอารามซูอิ่งช้าเกินไปจะไม่ใคร่ดี หากท่านไม่มีเรื่องอื่นอีก ข้าขอตัวก่อนล่ะ”
“อื้อ ได้” เจียงหย่วนเฉาแลมองเด็กสาวหันหลังจากไปอย่างเงียบๆ จนนางลับร่างไปแล้วถึงหมุนกายลงจากเขากลับไปยังที่ว่าการกององครักษ์จินหลิน
“ใต้เท้า ท่านผู้บัญชาการใหญ่บอกว่าพอท่านกลับมาแล้วให้ไปพบขอรับ” เจียงเฮ่อกล่าวรายงาน
เจียงหย่วนเฉาพยักหน้าเล็กน้อยก่อนย่างเท้าเดินเข้าไป
เจียงเฮ่อลูบปลายคาง วันนี้ใต้เท้าดูท่าทางอารมณ์ไม่ค่อยดีเลย
“ท่านพ่อบุญธรรม ท่านตามหาข้าหรือขอรับ”
“ไปที่ใดมาแต่เช้าตรู่”
“วันนี้ครอบครัวของผู้ตรวจการโอวหยางออกเดินทางจากเมืองหลวงไปเป่ยติ้ง ข้าหวั่นเกรงว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นจึงแอบไปจับตาดูไว้ขอรับ”
เจียงถังผงกศีรษะ “เจ้าคิดอ่านได้รอบคอบมาก โอวหยางไห่มีชื่อเสียงกว้างขวางในหมู่ปัญญาชนพอดู หากเกิดปัญหาอะไรขึ้น พวกเราองครักษ์จินหลินต้องรับบาปตามเคย ให้เขาไปถึงเป่ยติ้งโดยสวัสดิภาพเป็นการดี”
“สือซานก็คิดเช่นนี้เหมือนกันขอรับ”
เจียงถังพูดชมเชยกลั้วเสียงหัวเราะ “ดีที่สายตาข้าแหลมคม ครั้งนั้นออกไปปฏิบัติราชการต่างเมืองได้พบเจ้าอยู่ข้างถนนแล้วพากลับมา บัดนี้บุตรชายข้าสามารถรับผิดชอบหน้าที่สำคัญได้แล้วจริงๆ”
“ท่านพ่อบุญธรรมกล่าวชมเกินไป ล้วนเป็นท่านที่อบรมสั่งสอนได้ดีขอรับ”
ในดวงตาเจียงถังฉายแววปลาบปลื้มยินดีจากใจ “สือซาน ข้าถามดูแล้ววันที่แปดเดือนหน้าเป็นฤกษ์ดี เจ้ากับหร่านรานก็ทำพิธีหมั้นหมายกันในวันนั้นเถอะ”
“ขอรับ” เจียงหย่วนเฉาหลุบตาขานรับ “ถ้าอย่างนั้นข้าย้ายออกจากจวนสกุลเจียงดีกว่าขอรับ”
เจียงถังพยักหน้าหงึกหงัก “สมควรย้ายออกไปจริงๆ ฮ่าๆ ข้าซื้อคฤหาสน์ไว้ให้เจ้าหลังหนึ่ง เตรียมให้พวกเจ้าได้ใช้ตอนแต่งงานกัน”
“ท่านพ่อบุญธรรม สือซานซื้อเรือนหลังหนึ่งเอาไว้กำลังจะบอกให้ท่านทราบพอดี”
“เจ้าจะซื้ออีกด้วยเหตุใดกัน”
“ข้าจะตบแต่งภรรยา ซื้อเรือนให้ภรรยาได้อยู่อาศัยเป็นเรื่องสมควรขอรับ”
เจียงถังฟังแล้วไม่ยืนกรานอีก เขาพูดยิ้มๆ ว่า “ก็ดี ประเดี๋ยวพาข้าไปชมดู ตรงที่ใดไม่ดีค่อยหาคนซ่อมแซมสักหน่อย”
วัดวากลางเขาเงียบสงบ เวลาล่วงผ่านไปรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ถึงยามบ่าย เฉียวเจาออกจากอารามซูอิ่งกลับสู่จวนสกุลหลี
ยามเฝ้าประตูเห็นเฉียวเจาก็รีบบอกทันที “คุณหนูสาม ไม่นานก่อนหน้านี้มีคุณหนูท่านหนึ่งมาเยี่ยม กำลังรอท่านอยู่ในโถงรับรองขอรับ”
“คุณหนูของจวนใดหรือ” เฉียวเจาสะดุดใจ
หรือว่าจะเป็นโค่วจื่อโม่
“นางบอกว่าเป็นคุณหนูใหญ่ของวังองค์หญิงใหญ่ฉางหรงขอรับ”
มุมปากของเฉียวเจากระตุกริกๆ นางพูดเสียงกระด้างขึ้น “ข้าสั่งไว้แล้วมิใช่หรือ ถ้าเป็นคนของวังองค์หญิงใหญ่ฉางหรงมาอีกก็บอกปัดไปว่าข้าไม่อยู่”
ยามเฝ้าประตูทำหน้าเหลอหลา “ตอนนั้นท่านสั่งไว้เป็นสาวใช้ของวังองค์หญิง มิใช่คุณหนูขององค์หญิงนะขอรับ อีกอย่างข้าบอกว่าท่านไม่อยู่แล้ว แต่คุณหนูท่านนั้นบอกว่านางรอได้”
เฉียวเจาสูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง
ไม่ผิด ที่นางสั่งไว้เป็นสาวใช้ เพราะนางไม่นึกไม่ฝันว่าใต้หล้านี้นอกจากบุรุษกับสตรีแล้ว ยังมีคนอย่างฉือชั่นพรรค์นี้อยู่อีก!