หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 198
บทที่ 198
ในโถงรับรอง คุณหนูชุดสีน้ำเงินร่างสูงโปร่งสมส่วนผู้หนึ่งนั่งหันหลังอยู่ กำลังยกมือเท้าคางพินิจดูภาพหมอกฝนบนผนังอย่างเบื่อหน่ายเหลือแสน
เฉียวเจาก้าวเข้าไปด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกใดๆ
สาวใช้ชุดสีชมพูเอ่ยบอกขึ้น “คุณหนูฉือ คุณหนูสามมาแล้วเจ้าค่ะ”
คุณหนูชุดสีน้ำเงินหมุนกายขวับ
ปิงลวี่ร้องอุทานอย่างตกตะลึงทันใด “สวรรค์!”
เพราะอะไรถึงมีสตรีโฉมงามปานนี้ได้ งามเสียยิ่งกว่าองค์หญิงเก้าท่านนั้น!
เอ๊ะ…แต่คุ้นๆ หน้าอยู่สักหน่อย
“คุณหนูฉือ นัดกันไว้ว่าจะไปดื่มชาที่ร้านน้ำชาอู่เว่ยมิใช่หรือ พวกเราไปคุยกันที่นั่นเถอะ”
ฉือชั่นเลิกคิ้วสูง ไปร้านน้ำชา? เขาไม่ไปหรอก ขืนสารถีของแม่นางน้อยจำหน้าได้จะทำอย่างไร
“ข้าอยากลิ้มรสน้ำชาที่คุณหนูสามชงเองกับมือมากกว่า” คุณหนูชุดสีน้ำเงินอ้าปากกล่าววาจา สุ้มเสียงอาจไม่อ่อนหวานนุ่มนวลเฉกหญิงสาวทั่วไป แต่ใสกังวานชวนให้จิตใจปลอดโปร่งผ่องใสดุจสายลมโชยพัด
ปิงลวี่ยกมือกุมสองแก้ม กระทั่งเสียงพูดยังไพเราะปานนี้ อยากให้คุณหนูเป็นสหายกับคุณหนูฉือเหลือเกิน
“เรือนข้าไม่มีน้ำชา” นางเอ่ยตอบด้วยสีหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย
คุณหนูชุดสีน้ำเงินแย้มปากยิ้ม “น้ำเปล่าก็ได้ ขอแค่เป็นของคุณหนูสามล้วนได้ทั้งสิ้น”
เฉียวเจาอึ้งงัน “…” จะทำไร้ยางอายเยี่ยงนี้มิได้นะ!
นางกลัวว่าขืนต่อปากต่อคำกันไปเรื่อยๆ คนอื่นจะผิดสังเกตเลยจำต้องอ่อนข้อให้ กล่าวเน้นเสียงทีละคำว่า “เช่นนั้นเชิญคุณหนูฉือไปที่เรือนหยาเหอเถอะ”
ฉือชั่นยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะลุกขึ้นเดินเคียงคู่ไปกับเฉียวเจา
เฉียวเจายังไม่เจริญวัยเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว เดิมทีก็ร่างเล็กผอมบางอยู่แล้ว ส่วนฉือชั่นนั้นในหมู่บุรุษถือว่ามีเรือนกายปานกลาง พอทั้งคู่ยืนด้วยกันตัวเขาจึงสูงเลยศีรษะนางไปเป็นคืบ
นางเม้มปากอย่างอดกลั้น ทว่าอดเร่งฝีเท้าไม่ได้
ฝ่ายฉือชั่นกลับมีสีหน้าสบายอารมณ์ เข้าไปในเรือนพำนักของเฉียวเจาแล้วยังมีแก่ใจมองซ้ายแลขวาพลางเอ่ยชม “ต้นทับทิมในลานเรือนนี้งอกงามดีจริงๆ อีกไม่นานก็ได้กินผลแล้ว”
ครั้นเห็นอีกฝ่ายไม่พูดไม่จา เขาก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าชอบกินทับทิม รอเมื่อทับทิมสุกงอมแล้วอย่าลืมเก็บไว้ให้ข้าบ้าง”
ปิงลวี่ลอบกระตุกแขนเสื้อของผู้เป็นนาย
คุณหนูเป็นอะไรไป ตั้งแต่พบกับคุณหนูฉือผู้นี้ก็มีท่าทางอารมณ์ไม่ดีตลอด แต่นางดูท่าทีของคุณหนูฉือแล้วดูเหมือนจะสนิทสนมกับคุณหนูอยู่มากนะ
“ได้ คุณหนูฉือตามข้าเข้ามาเถอะ” เฉียวเจาพาฉือชั่นเข้าเรือนแล้วคลี่ยิ้ม “ข้าจะไปยกน้ำมาให้คุณหนูฉือด้วยตนเอง”
พอเห็นนางหมุนกายออกไป ฉือชั่นแปลกใจอยู่บ้าง นางดูท่าทางจะโมโหเอาการอยู่ ยังจะรินน้ำให้เขาเองกับมือจริงๆ หรือ คงจะไม่วางยาถ่ายอะไรทำนองนั้นกระมัง
เฉียวเจาเดินไปข้างนอกแล้วกระซิบสั่งปิงลวี่ “เจ้าไปที่หอชุนเฟิง ขอพบผู้ดูแลที่นั่น บอกว่าข้ามีเรื่องเล็กน้อย หากแม่ทัพเซ่าสะดวกล่ะก็ เชิญเขาไปรอข้าที่ร้านน้ำชาไม่ไกลจากจวนสกุลหลี ถ้าเขาตอบตกลงก็แอบมารายงานข้าด้วย”
ปิงลวี่ไม่ถามมากความ รับคำเสียงใสแล้วหมุนกายออกไปทันที
เฉียวเจายกน้ำถ้วยหนึ่งเข้าไปด้วยตนเอง
คุณชายฉือซึ่งยังไม่รู้ว่าแม่นางเฉียวลอบขุดหลุมพรางไว้ให้แล้วเห็นในห้องไม่มีคนอื่น เขายิ่งวางตัวตามสบายมากขึ้น กล่าวด้วยรอยยิ้มกว้างจนตาหยี “เข้ามาในเรือนยังจะสวมหมวกอยู่อีกหรือ เจ้าสู้หน้าใครไม่ได้จริงๆ รึ”
เฉียวเจาเอ่ยเสียงเรียบ “ลืมถอดไป”
พอได้ยินว่าคนผู้นี้รอตนอยู่ นางก็โกรธมากพอแล้ว ไหนเลยจะจำเรื่องอื่นได้
นางพูดพลางถอดหมวกม่านแพรออกวางลงบนโต๊ะขาสูงด้านข้าง มองไปทางฉือชั่น “พี่…เอ่อ…ท่านมาหาข้าวันนี้มีธุระอันใดหรือ”
สายตาของฉือชั่นจับอยู่ที่แก้มขวานาง สีหน้าเขาขรึมลง
ไฉนเขาเผลอไผลไปวูบเดียว ผักกาดขาวสดใหม่หวานกรอบหัวหนึ่งก็กลายเป็นผักดองไปเสียแล้ว
“มีอันใดหรือ” เฉียวเจาเลิกคิ้วขึ้น
“วันนี้เจ้าไปที่อารามซูอิ่งมาแล้ว?”
“ใช่”
“ไม่ทำให้พวกซือไท่ตกใจกันรึ”
เฉียวเจาข่มใจไว้แล้วไต่ถาม “เจ้ามาวันนี้ก็เพราะสนใจอยากรู้เรื่องนี้ใช่หรือไม่”
ฉือชั่นไม่ชอบใจเสียแล้ว “ ‘เจ้า’ อะไรกัน ยิ่งมายิ่งไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่แล้วนะ เจ้าแสดงท่าทีเช่นนี้กับผู้มีพระคุณช่วยชีวิตหรือ”
“เช่นนั้นจะเป็นพี่ชายหรือว่าพี่สาวดีล่ะ”
ฉือชั่นโดนตอกกลับจนพูดไม่ออก “เอาเถอะ นี่ไม่ใช่จุดสำคัญอะไร ข้ามาที่นี่ก็แค่อยากถามว่าแม่นางน้อยไร้มโนธรรมเช่นเจ้าเขียนสารฉบับนั้นมีความหมายใด”
เฉียวเจาฟังแล้วทำหน้าตึงเล็กน้อย “คำถามนี้ดูเหมือนสมควรเป็นข้าถามนะ”
“ข้าไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย ก็แค่จะมอบยาขี้ผึ้งให้เจ้าสองตลับเท่านั้น เจ้าไม่รับน้ำใจก็ช่างเถอะ ถึงกับกล้าด่าข้าว่า…”
“ที่แท้เป็นเรื่องแค่นี้นั่นเอง”
ฉือชั่นแทบเต้นผางๆ “ก็ใช่น่ะสิ เจ้าอย่าคิดมากเชียวนะ”
หรือนางคิดว่าเขาสงสาร?
เฉียวเจาคลายยิ้ม “ข้านึกว่าพวกท่านสองนายบ่าวล้วนมีความชื่นชอบส่วนตัวเป็นพิเศษ”
ฉือชั่นได้ยินถ้อยคำนี้กลับไม่เคืองขุ่น เขานั่งไขว่ห้างพลางชำเลืองหางตามองนาง “เป้าหมายต่างหากที่สำคัญที่สุด ส่วนเรื่องวิธีการนั้นสำคัญไฉน อายุยังน้อยก็คร่ำครึเช่นนี้”
เฉียวเจายอมจำนนจริงๆ นางถอนใจเฮือกแล้วไต่ถาม “ถ้าอย่างนั้นเป้าหมายที่ท่านมาวันนี้คืออะไร”
ฉือชั่นชูนิ้วขึ้นหนึ่งนิ้ว “คำถามเดียว เจ้าจับผิดเด็กรับใช้คนนั้นของข้าได้เช่นไร”
“คำถามนี้ตอบได้ลำบากอยู่สักหน่อย”
“ด้วยเหตุใดรึ”
เฉียวเจาทอดถอนใจ “ก็เด็กรับใช้ของท่านมีพิรุธเต็มไปหมด ท่านสมควรถามว่าเพราะอะไรข้าถึงตาไม่บอดนะ”
“ตอบดีๆ” ฉือชั่นยื่นมือไปจะเขกหน้าผากเฉียวเจา แต่มือของเขายกขึ้นแล้วพลันชะงักค้างกลางอากาศ จากนั้นหดกลับไปกะทันหัน ใบหูทั้งสองข้างแดงเรื่ออย่างห้ามไม่อยู่
เฉียวเจารู้สึกได้ว่าบรรยากาศพิกลๆ ไป นางกะพริบตาอย่างฉงนใจ
“ไม่ต้องอมพะนำ ข้าต้องรีบไปนะ” ฉือชั่นกระแอมกระไอทีหนึ่ง
“ท่านั่งของเขาไม่สุภาพเรียบร้อยยิ่งกว่าสาวใช้ที่ไร้มารยาทที่สุด จึงยากมากที่ข้าจะเชื่อว่าเป็นสาวใช้ที่มาจากวังองค์หญิงใหญ่ แล้วตอนเขาเอ่ยถึงเรื่องคุณหนูฉือไปร่วมงานสังสรรค์ของชุมนุมฟู่ซานก็ตัวแข็งเกร็ง สายตาหลุกหลิก นี่เป็นอาการตอบสนองที่พบบ่อยๆ ตอนคนพูดปด แต่ที่ทำให้ข้าแน่ใจเต็มที่กลับเป็นยาขี้ผึ้งน้ำค้างแข็งเมฆาสองตลับนั้น”
“ยาขี้ผึ้งสองตลับจะมีพิรุธอะไรได้”
“มีพิรุธสองจุด”
“สองจุด?” ฉือชั่นฟังแล้วพิศวงงงงวย กระทั่งยาขี้ผึ้งน้ำค้างแข็งเมฆายังจับผิดได้ถึงสองจุด แม่นางน้อยผู้นี้ผิดมนุษย์มนาไปแล้วกระมัง
“จุดแรกเป็นชนิดของยาขี้ผึ้งน้ำค้างแข็งเมฆา ยาขี้ผึ้งสองตลับที่เด็กรับใช้ท่านนำมาให้นั้นเป็นชนิดเดียวกับที่แม่ทัพเซ่ามอบให้ข้าซึ่งล้วนเป็นของชั้นเลิศ หากเป็นคุณหนูฉือจริงๆ จะส่งของขวัญมาให้ข้าก็อาจจะเป็นไปได้ แต่มอบยาขี้ผึ้งชั้นเลิศเช่นนี้ ข้ารู้ตัวดีว่ามิได้มีอัธยาศัยไมตรีดีถึงเพียงนั้น”
“เซ่าหมิงยวนมอบยาขี้ผึ้งให้เจ้าเหมือนกัน?!” ฉือชั่นทำเสียงดังขึ้น
เฉียวเจางงงัน “…” นี่เป็นจุดสำคัญหรือ
“เจ้าใช้หรือยัง”
เฉียวเจาส่ายหน้า
“เช่นนั้นจุดที่สองเถอะ”
“จุดที่สอง เป็นคราบรอยนิ้วมือจากเหงื่อออกติดอยู่บนตลับยาขี้ผึ้ง ดูจากสัณฐานแล้วไม่คล้ายเป็นของสตรี”
ฉือชั่นหลุบตาลงมองมือตนเองโดยไม่รู้ตัว เรื่องนี้นางยังรู้ได้อีกหรือ ตอนนั้นเขาถือไว้นานไปครู่เดียวเอง
เอ่อ…น่าจะแค่ถือไว้จนเป็นลมแดดกระมัง
คุณชายฉือลุกขึ้นยืนอย่างเสียหน้าเป็นอันมาก “เข้าใจแล้ว ข้าไปล่ะ”
“ข้าไปส่งท่าน”
ฉือชั่นคิดจะบอกปัดตามความเคยชินจนต้องรีบหยิกตนเองทีหนึ่งแล้วห้ามใจไว้
เฉียวเจาตามไปส่งฉือชั่นถึงนอกจวนสกุลหลี
“เจ้ากลับเข้าไปเถอะ”
“ข้าจะไปซื้อขนมที่ร้านน้ำชาแห่งนั้น ท่านพ่อข้าชอบกินขนมเปี๊ยะชาเขียวของที่นั่น”
ฉือชั่นมองไปทางร้านน้ำชาที่อยู่ไม่ไกลนักแล้วกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นข้าจะซื้อไปลองชิมด้วย”
แม่นางเฉียวยิ้มน้อยๆ “ได้สิ”
นางหมดปัญญาจะทำอะไรกับคุณชายฉือผู้กระทำการใดโดยไม่กริ่งเกรงใครหน้าไหนได้ ก็ให้แม่ทัพเซ่าสหายรักของเขาช่วยดูแลสั่งสอนสักหน่อยเถอะ หาไม่แล้วนางคงไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขแน่