หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 2
บทที่ 2
ถนนหนทางในเมืองไม่นับว่ากว้างขวาง เฉียวเจาก้มหน้าเดินตามหลังโจรค้าทาสอย่างเชื่อฟัง พร้อมกับจับสังเกตความเคลื่อนไหวรอบด้านทางหางตาตลอดเวลา
มีอยู่ครั้งสองครั้งที่ดูเหมือนเขาจะคลายความระแวดระวังลง นางต้องบังคับตนเองให้ทนต่อการล่อใจให้หลบหนี
ครั้นแลเห็นเขาเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ โดยไม่ตั้งใจ เฉียวเจาก็เย็นวาบๆ ในอก
ไม่ผิดจากที่คาดไว้จริงๆ ในที่ที่ผู้คนขวักไขว่เฉกนี้ บุรุษผู้นี้มีแต่จะยิ่งจับตาดูนางเข้มงวดขึ้น ภายนอกทำทีผ่อนคลาย เพียงหมายดูว่านางอยู่ในโอวาทจริงๆ หรือแสร้งทำก็เท่านั้นเอง
เขาหยุดเดินกะทันหัน ชี้หอสุราแห่งหนึ่งริมถนนพลางบอก “พวกเรากินที่นี่เถอะ”
เฉียวเจาไม่ขยับกาย
เขาขมวดคิ้ว รำพึงในใจว่า หรือแม่นางน้อยยังไม่ถอดใจ
“เข้าไปไวๆ อีกประเดี๋ยวยังต้องรีบเดินทาง” เขาพูดเร่งพร้อมกับยื่นมือไปฉุดเฉียวเจา
แม่นางน้อยยกมือชี้นิ้วไปทางหอสุราสูงสามชั้นด้านหน้าไม่ไกลนัก กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มละไมจับใจประหนึ่งสาโทหวานล้ำที่ค่อยๆ หมักบ่มในใจทีละน้อยทีละนิด “ท่านบอกไว้ว่าจะพาข้าไปกินอาหารในหอสุราดีๆ แต่ที่นี่ไม่ดีเจ้าค่ะ”
เขาทำหน้าบึ้งตึง
ที่นั่นเป็นหอสุราที่ดีที่สุดของเป่าหลิงเชียวนะ กินมื้อหนึ่งมิใช่ถูกๆ
ระหว่างที่เขาชั่งใจอยู่นี้ ดวงตาใสกระจ่างของแม่นางน้อยมีน้ำตาเอ่อคลอเบ้าทันใด นางพูดอย่างดื้อดึง “ท่านพูดปด ไหนบอกว่าจะพาไปที่หอสุราดีๆ หอสุราแห่งนี้ดูไม่โอ่อ่าเลยสักนิด!”
ตอนนี้เป็นเวลากินอาหารพอดี มีคนเข้าๆ ออกๆ มากพอดู แม่นางน้อยพูดเสียงดังขึ้นนิดเดียวก็มีคนหันมามองไม่น้อยทันที เสี่ยวเอ้อร์ที่ยืนอยู่หน้าประตูได้ยินถ้อยคำนี้อย่างเห็นได้ชัด สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนเป็นบูดบึ้ง สาวเท้าเดินออกมาไล่คน
โจรค้าทาสทำหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย
เขานึกไปถึงอาภรณ์ชั้นดีบนตัวเด็กสาวตอนถูกตนล่อลวงในงานเทศกาลกำเนิดบุปผา* ที่เมืองหลวง ก็ประจักษ์แก่ใจอยู่แล้วว่าถ้าแม่นางน้อยมิได้มาจากตระกูลสูงศักดิ์ก็ต้องเป็นครอบครัวเศรษฐี ฉะนั้นจะไม่เห็นหอสุราข้างทางนี้อยู่ในสายตาก็เป็นเรื่องปกติ
“ท่านเคยให้สัญญาเองนะ ข้าจะกินที่หอสุราแห่งนั้น ใครจะไปรู้ว่าร้านนี้สะอาดหรือไม่ ถ้าเกิดกินแมลงวันเข้าไป…”
เสี่ยวเอ้อร์ของหอสุราก้าวฉับๆ มาถึงเบื้องหน้าแล้วกล่าวอย่างโมโหฮึดฮัด “ไปๆ ไม่กินก็อย่าขวางหน้าประตู”
เขาพูดพลางถลึงตามองโจรค้าทาสอย่างดุดัน “อบรมสั่งสอนลูกประสาอะไรกัน”
เฉียวเจาหาได้สนใจไม่ว่าอีกฝ่ายพูดจาเช่นไร นางร้องอุทานคำหนึ่งด้วยความตกใจ “อี๋! ดูสิ พี่เสี่ยวเอ้อร์ผู้นี้ยังมีคราบน้ำมันติดอยู่ตามง่ามนิ้ว ผ้าเช็ดเหงื่อที่พาดคออยู่ก็ดำปี๋…”
สุ้มเสียงของนางอ่อนหวานไพเราะ มาตรว่าจะพูดรัวเร็ว แต่คนที่เข้าออกหอสุรายังคงได้ยินอย่างชัดเจน ชั่วประเดี๋ยวเดียวก็มีคนสองคนลังเลใจครู่หนึ่ง จากแต่เดิมที่คิดจะเข้าไปกินอาหารก็เปลี่ยนใจเดินไปร้านข้างๆ
หอสุรานี้ไม่ใหญ่โต เถ้าแก่เนี้ยที่ออกมาดูให้รู้เรื่องได้ฟังคำกล่าวนี้ก็ดึงไม้นวดแป้งที่เหน็บไว้กับเอวออกมาแล้ววิ่งปรี่เข้าใส่
เฉียวเจาอายุยังน้อย เถ้าแก่เนี้ยย่อมไม่ถือสาหาความด้วย นางเงื้อไม้นวดแป้งเล็งตรงไปที่โจรค้าทาส
เขาเห็นท่าไม่ดี จึงฉุดเฉียวเจาที่พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุดออกวิ่งหนีไป
ทั้งคู่วิ่งไปจนถึงหน้าหอสุราโดยไม่หยุดพักหายใจ เขาโกรธจนพูดไม่ออก ได้แต่ชี้หน้าเฉียวเจา
นางตีหน้าซื่อเอ่ย “ข้าหิวแล้วเจ้าค่ะ”
โจรค้าทาสพ่นลมหายใจเฮือกหนึ่ง
ช่างเถิดๆ แม้สุราอาหารในหอจุ้ยเซียนจะราคาแพง แต่หากขายแม่นางน้อยผู้นี้แล้วก็ถอนทุนคืนได้หมด งานใกล้สำเร็จรอมร่อ อย่าให้เกิดปัญหาอื่นแทรกขึ้นเป็นการดี
“เข้าไปเถอะ” เขามองนางตาขวาง
ทั้งสองแต่งกายธรรมดาๆ เสี่ยวเอ้อร์ของร้านจึงมิได้พาขึ้นไปชั้นบน แต่ให้นั่งลงที่โต๊ะว่างในโถงกลาง
“จะกินอะไรดีขอรับ”
โจรค้าทาสยังไม่ปริปาก เสียงอ่อนหวานก็ดังขึ้น “เป็ดยัดไส้เจ้าค่ะ”
เสี่ยวเอ้อร์นิ่งงันชั่วครู่แล้วอดมองไปทางโจรค้าทาสไม่ได้
“ข้าจะกินเป็ดยัดไส้เจ้าค่ะ” เฉียวเจามองไปทางเขาเหมือนกัน สายตาของนางฉายแววดึงดัน
เขาชักมึนเวียนศีรษะ เอ่ยถามเสี่ยวเอ้อร์ “มีอาหารจานนี้หรือไม่”
“มีน่ะมีขอรับ แต่ว่าต้องรอเป็นเวลานานสักหน่อย”
เขาชิงโบกมือพลางบอกก่อนเฉียวเจาจะอ้าปากพูด “เอาจานนี้ แล้วก็ของว่างอะไรก็ได้สักสองอย่างกับสุรา”
ไม่นานนักสุราอาหารที่โจรค้าทาสสั่งก็ถูกยกมาวางบนโต๊ะ เขาหยิบตะเกียบขึ้นแล้วเริ่มกิน ฝ่ายเฉียวเจากลับนั่งหลังตรงรอไปเรื่อยๆ
ราวสองเค่อ* ต่อมา บนโต๊ะเหลือแค่จานกับถ้วยวางระเกะระกะ เป็ดยัดไส้ถึงยกเข้ามาในที่สุด
“เจ้าลูกบังเกิดเกล้า กินเสียสิ!” เขาเบาเสียงลงพูดอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
เฉียวเจาดึงผ้าเช็ดหน้าจากแขนเสื้อแล้วขอน้ำสะอาดถ้วยหนึ่งจากเสี่ยวเอ้อร์ จากนั้นจึงเอาผ้าชุบน้ำเช็ดมือ
โจรค้าทาสอดพูดบ่นไม่ได้ “จะมัวพิถีพิถันอะไรนักหนา ก่อนหน้านี้นอนกลางดินกินกลางทรายก็ไม่เห็นเป็นไรเลยมิใช่รึ”
เฉียวเจาช้อนตาขึ้นพร้อมคลี่ยิ้มพริ้มพราย “ถ้าสะดวก ก็ต้องให้ตนเองสบายขึ้นแน่นอนเจ้าค่ะ”
รอยยิ้มที่เบ่งบานสดใสกะทันหันนี้ทำให้โจรค้าทาสตาพร่าไป เขาลอบจุปากด้วยความทึ่ง
มิใช่ธรรมดาๆ เสียแล้ว แม่นางน้อยเพิ่งอายุเท่านี้ เพียงแค่ยิ้มก็เกือบทำให้ข้าเคลิบเคลิ้มไปแล้วหรือนี่
เขานิ่งเฉยมองดูเฉียวเจากินอาหารอย่างไม่เร็วไม่ช้าเกินไป ยิ่งพิศยิ่งพึงใจ
นิสัยวางท่าเป็นผู้ลากมากดีเกินวัยของแม่นางน้อยนี้ พอนางเติบใหญ่ก็จะเป็นที่ถูกใจของคนพวกนั้น หน่วยก้านดีชั้นนี้ ย่อมขายได้ราคางามเป็นธรรมดา ครั้นคิดไปเช่นนี้ คล้ายว่าการรอคอยมิได้น่าเบื่อหน่ายปานนั้นแล้ว
ท่าทีของเขาไม่เหนือความคาดหมายของเฉียวเจา สิ่งที่นางต้องการก็คือได้กินอาหารมื้อนี้ช้าๆ เมื่อเขารู้สึกว่านางมีราคา อีกทั้งเพราะงานใกล้สำเร็จเลยไม่อยากให้เกิดอุปสรรคอื่นใดอีก เป็นธรรมดาที่จะมีน้ำอดน้ำทนกับนางมากขึ้น
เฉียวเจาละเลียดกินทีละคำเล็กๆ อย่างเชื่องช้า บางครั้งก็จะตวัดสายตาผ่านโถงใหญ่ไปหยุดที่บันไดทางขึ้นไปชั้นสองชั่วพริบตาเหมือนไม่ตั้งใจดุจแมลงปอแตะผิวน้ำ
ไม่รู้ว่าเฝ้ารออยู่นานเท่าใดแล้ว ยามที่โจรค้าทาสเริ่มหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น เสียงฝีเท้าก็ดังมาจากหัวมุมบันได มีคนสามคนย่ำบันไดไม้ลงมาข้างล่างอย่างว่องไว
คนทั้งสามละม้ายหินแม่เหล็กดึงดูดสายตาคนในโถงใหญ่ไปทันใด รอบด้านพลันตกอยู่ในความเงียบ ชั่วขณะนี้แม้แต่โจรค้าทาสที่เฝ้าระวังจับตาดูเฉียวเจาทุกฝีก้าวยังลืมกะพริบตา จับจ้องบุรุษชุดสีม่วงหนึ่งในนั้นจนตาเขม็ง
บุรุษผู้นั้นมีเรือนกายสูงโปร่ง ผิวกายขาวเนียนปานหยก รูปหน้าคมคายละเมียดละไมดุจเครื่องกระเบื้องชั้นดี รอยยิ้มในสีหน้าและแววตาราวกับแผ่รัศมีเรืองรองเต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์มีชีวิตชีวา ท่วงท่างามสง่าผึ่งผายเป็นธรรมชาติโดยมิต้องประดิษฐ์ปั้นแต่ง
“สือซี เห็นทีว่าวันหน้าจะออกมาข้างนอกพร้อมกับเจ้าไม่ได้แล้วจริงๆ” บุรุษชุดสีน้ำเงินข้างกายบุรุษชุดสีม่วงเอ่ยเสียงเบา
“นั่นสิ ขอแค่เจ้าปรากฏตัว ไม่ว่าชายหนุ่มหญิงสาวเด็กน้อยหรือคนแก่ต่างมองแต่เจ้าคนเดียว ข่มรัศมีพวกข้าให้กลายเป็นพวกขี้เหร่อัปลักษณ์ไปเลย” บุรุษชุดสีเขียวอีกคนกล่าวเสริมขึ้น
นัยน์ตาของบุรุษชุดสีม่วงโค้งลงยามกล่าวด้วยรอยยิ้มพราย “ข้านึกว่าพวกเจ้าชินแล้วเสียอีก”
อีกสองคนกลอกตาขึ้นพร้อมกัน
ทั้งสามพูดคุยยิ้มหัวกันจนมาถึงโถงใหญ่แล้ว กำลังจะก้าวเท้าเดินทอดน่องออกไปด้านนอกพร้อมสายตาของคนในโถงที่มองตามพวกเขาไป
เฉียวเจายกยิ้มตรงมุมปาก
คนที่นางรออยู่ลงมาแล้วจนได้ ไม่เสียแรงที่นางจงใจนั่งทางฝั่งที่ติดกับทางเดินนี้
ตอนอยู่นอกหอสุรา ปราดแรกที่เห็นสามคนนี้เข้ามาในหอสุราแห่งนี้ นางก็รู้ว่าโอกาสที่รอคอยอยู่ตลอดมาถึงแล้ว
นางรู้จักบุรุษชุดสีม่วงผู้นั้นพอดี เขาเป็นบุตรชายโทนขององค์หญิงใหญ่ฉางหรง แซ่ฉือนามชั่น ชื่อรอง* สือซี ความประพฤติยังนับว่าพอใช้ได้
ถึงตอนนี้รูปโฉมโนมพรรณของนางจะเปลี่ยนไปแล้ว แต่ด้วยความหล่อเหลาของฉือชั่น อย่างน้อยก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะถูกลวนลาม
บางที…อาจเป็นฉือชั่นที่ต้องเป็นห่วงมากกว่า
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นในหัวก็เห็นพวกเขาสามคนเดินถึงหน้าประตูแล้ว เฉียวเจาไม่ลังเลใจอีกต่อไป นางโยนตะเกียบในมือทิ้งแล้วลุกขึ้นวิ่งทะยานไปตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
นางขยับตัวอย่างกะทันหัน ทุกคนยังไม่หายตะลึงในรูปโฉมอันหล่อเหลาโดดเด่นของฉือชั่น แลเห็นสาวน้อยนางหนึ่งไล่กวดตามไป ต่างคิดเหมือนๆ กันโดยมิได้นัดหมายว่า
มีสาวน้อยวิ่งไล่ตามดังคาด ไม่น่าประหลาดใจแม้สักนิดเลยจริงๆ
โจรค้าทาสยังผงกศีรษะหงึกๆ ตามไปด้วย แต่แล้วก็นิ่งขึงไปกะทันหัน
ประเดี๋ยวก่อน คนที่วิ่งไล่ตามนั่นเป็น…
เขาหน้าถอดสีไปถนัดตา ลุกขึ้นวิ่งไล่ตามไปยังไม่ถึงหน้าประตูก็ถูกเสี่ยวเอ้อร์ขวางหน้าไว้ “ท่านขอรับ ท่านยังไม่จ่ายเงินเลยนะ คิดจะกินแล้วชักดาบรึ ไม่รู้จักถามดูหรือว่าเจ้าของหอจุ้ยเซียนเป็นใคร”
โจรค้าทาสถูกเสี่ยวเอ้อร์ในร้านสกัดเอาไว้ เฉียวเจาเลยไล่ตามทันอย่างราบรื่นมาก
“รอก่อนเจ้าค่ะ…”
บุรุษทั้งสามชะงักเท้าหมุนกายกลับ เห็นเด็กสาววัยราวสิบสองสิบสามวิ่งไล่ตามมา อีกสองคนก็ยักคิ้วหลิ่วตาให้ฉือชั่นพร้อมกัน
ฉือชั่นเลิกคิ้วส่งยิ้มให้เฉียวเจาที่วิ่งมาตรงหน้า “น้องสาว มีธุระอันใดหรือ”
เอ่อ…แม้ว่าเขาจะมีเสน่ห์ล้นเหลือ แต่หากเด็กสาวอายุแค่นี้สารภาพรักกับเขา เขาก็ยืนกรานขอปฏิเสธนะ
เฉียวเจาไม่กล้ารอช้าสักชั่วเค่อเดียว
นางวางแผนมานานถึงเพียงนี้ก็เพื่อฉกฉวยเวลาชั่วครู่ที่โจรค้าทาสถูกเสี่ยวเอ้อร์ดึงตัวไว้ จะได้มีโอกาสเล่าเรื่องที่ถูกล่อลวงอย่างคร่าวๆ
เฉียวเจาสืบเท้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่งแล้วจับแขนเสื้อของฉือชั่นไว้จนแน่น นางแหงนหน้าพูดขอร้อง “ท่านอา ช่วยข้าด้วย”
บุรุษทั้งสามซึ่งรวมฉือชั่นอยู่ด้วยพากันชะงักค้างราวกับถูกสาปเป็นก้อนหินไปแล้ว
* เทศกาลกำเนิดบุปผา หรืออีกชื่อหนึ่งคือ เทศกาลบุปผาสะพรั่ง เป็นหนึ่งในเทศกาลดั้งเดิมของชาวฮั่น ตรงกับวันที่ 15 เดือน 2 ตามปฏิทินจันทรคติของจีน กิจกรรมที่ทำในเทศกาลนี้ได้แก่ การเซ่นไหว้เทพบุปผา การนำแถบผ้าสีแดงผูกกับกิ่งดอกไม้ การจับผีเสื้อ การเก็บดอกไม้
* เค่อ หน่วยนับเวลาของจีนที่มีมาตั้งแต่ในสมัยโบราณ เทียบเวลาประมาณ 15 นาที
* ชาวจีนสมัยโบราณมีชื่อเรียกขานหลากหลาย โดยทั่วไปมี ’นาม (หมิง 名)’ คือชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้แต่กำเนิด ’ชื่อรอง (จื้อ 字)’ เป็นชื่อที่อาจารย์ตั้งให้เมื่อเข้ารับการศึกษา มักสอดคล้องกับนาม หรือเพิ่มคำด้านหน้าให้เหมือนกันในหมู่พี่น้องเพื่อบ่งบอกรุ่นในวงศ์ตระกูล นอกจากนี้ ผู้มีความรู้ มีตำแหน่งหน้าที่อาจตั้ง ’ฉายา (เฮ่า 号)’ ของตนเองเพื่อใช้ในวงการ